บทที่ 7 คัมภีร์ลับม้วนแรก (ต้น)
“แน่นอนว่าข้ารู้” ผู้เฒ่ามี่ตอบกลับพลางลูบเคราของตัวเองโดยที่แววตาของเขาค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
“แล้วต้องทำอย่างไร?” ซูอันถามอย่างร้อนรน ไม่สังเกตเห็นท่าทีของผู้เฒ่าที่เปลี่ยนไปเลยสักนิด
ชายชรามองหน้าอีกฝ่าย จากนั้นจึงเอ่ยว่า “ผนึกถูกวางไว้ที่จุดสำคัญที่บอบบางมาก ถ้าหากเราทำลายมันจากภายนอกเข้าไป ร่างกายของเจ้าจะเสียหายแน่นอน ดังนั้นเจ้าต้องใช้พลังของตัวเองในการทำลายมัน เมื่อไหร่ที่ระดับการบ่มเพาะของเจ้าอยู่ในขั้นปรมาจารย์ และพลังปราณกลายเป็นพลังจิตวิญญาณ เจ้าก็จะสามารถปลดผนึกได้”
“ขั้นปรมาจารย์? มันคืออะไรกันผู้อาวุโส?” ซูอันเอ่ยด้วยสีหน้ามึนงง
ผู้เฒ่ามี่ที่ได้ยินแบบนั้นก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน “แม้แต่ความรู้พื้นฐานแค่นี้่เจ้าก็ยังไม่รู้เลยงั้นหรือ? เฮ้อ…มิน่าล่ะทำไมคนพวกนั้นถึงบอกว่าเจ้ามันไร้ค่า”
จากนั้นผู้เฒ่ามี่ก็เริ่มอธิบาย ซึ่งนั่นทำให้ซูอันได้เข้าใจระบบบ่มเพาะของโลกนี้มากขึ้น
ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่จะถูกแบ่งออกเป็น 9 ระดับ ระดับที่ 1 คือการเรียนการควบคุมลมหายใจเพื่อทำให้เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ดึงลมปราณธาตุเข้าสู่ร่างกาย สิ่งนี้เป็นตัวบ่งบอกว่าเจ้าได้เข้าสู่เส้นทางแห่งการบ่มเพาะแล้วจริง ๆ
ระดับที่ 2 คือการใช้ลมปราณในการปรับสภาพผิวหนัง ทำให้กระบวนการดูดซึมรวดเร็วขึ้น
ระดับที่ 3 คือการบ่มเพาะกล้ามเนื้อ
ระดับที่ 4 คือการบ่มเพาะเนื้อเยื่อ
ระดับที่ 5 คือการบ่มเพาะกระดูก
ระดับที่ 6 คือการบ่มเพาะไขข้อ
ระดับที่ 7 คือการบ่มเพาะโลหิต
ระดับที่ 8 คือการบ่มเพาะอวัยวะภายในและสร้างเครือช่ายเส้นลมปราณไปทั่วร่างกาย
และระดับที่ 9 คือการบ่มเพาะสมองและประสาทสัมผัสทั้งหมดเพื่อให้สามารถกักเก็บลมปราณได้ เมื่อผู้ฝึกตนสามารถกักเก็บกระแสลมปราณดิบในร่างกายไว้ในแก่นพลังลมปราณได้ ลมปราณพวกนั้นก็จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับแขนขาและกระดูก ทำให้บรรลุเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์ในที่สุด
ถ้าหากปรมาจารย์พวกนั้นบ่มเพาะจิตวิญญาณของตัวเองต่อไป พวกเขาก็จะบรรลุถึงขั้นปราชญ์และสามารถควบคุมชะตากรรมของทุกคนที่อยู่ต่ำกว่าระดับนี้ได้
เหนือขั้นปราชญ์จะเป็นขั้นเซียนปฐพี เพียงแค่โบกมือก็สามารถทลายภูเขาและพลิกทะเลได้ กลายเป็นดั่งเทพเจ้าในตำนาน
“บ่มเพาะผิวหนัง กล้ามเนื้อ กระดูกอย่างนั้นเหรอ? นั่นเป็นการจัดกระดับที่ค่อนข้างเรียบง่ายมากเลยนะ” ซูอันรำพึงกับตัวเองด้วยสีหน้าประหลาดใจ “แล้วต่อจากขั้นเซียนปฐพีล่ะ?”
“ต่อจากเซียนปฐพี?” ชายชราแหงนหน้ามองดวงดาวบนฟ้า แววตาของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง “หากเป็นไปตามที่ข้าคาดการณ์ คนผู้นั้นคงสามารถท่องไปตามดวงดาวและได้รับชีวิตอันเป็นนิรันดร์อย่างแท้จริง แต่เท่าที่ข้ารู้มาในประวัติศาสตร์ทั้งหมดที่ผ่านมาจะไม่เคยมีใครที่สามารถไปถึงขั้นนั้นได้”
ซูอันไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก สำหรับตอนนี้… เขายังอยู่ไกลจากจุดนั้นมาก ดังนั้นเขาจึงรีบกลับมาพูดเรื่องที่ตัวเองให้ความสนใจแทน “แต่มีคนเคยบอกว่าข้านั้นไร้ความสามารถ นอกอย่างนี้ข้ายังอายุมากเกินไปสำหรับการเริ่มต้นบ่มเพาะ เช่นนั้นข้าจะสามารถบรรลุขั้นปรมาจารย์ได้อย่างไรกัน?”
ผู้เฒ่ามี่มองชายหนุ่มตรงหน้าครู่หนึ่งจากนั้นจึงเอ่ยออกมา “มันไม่มีประโยชน์ที่เจ้าจะฝึกฝนด้วยเคล็ดวิชาปกติ แต่ตัวข้าก็บังเอิญมีเคล็ดวิชาโบราณแปลก ๆ ที่ได้มาตอนยังหนุ่มอยู่วิชาหนึ่งซึ่งมันบังเอิญเหมาะกับเจ้าอย่างพอดิบพอดี…”
“แปลกยังไง?” ใจของชายหนุ่มเต้นเร็วขึ้น
ผู้เฒ่ามี่จึงอธิบาย “ผู้ฝึกตนทั่วไปมักจะใช้หินพลังธาตุ หรือที่เรียกกันว่าหินธาตุ รวมทั้งโอสถและสมุนไพรมากมายในการดูดซึมพลังธรรมชาติและใช้มันในการเสริมสร้างร่างกาย เป้าหมายก็เพื่อสร้างเส้นลมปราณในร่างกาย แต่ด้วยความสามารถของเจ้าต่อให้ไม่พูดถึงความจริงที่ว่าเจ้าอายุมากเกินไปแล้ว ต่อให้ใช้หินพลังธาตุจำนวนมหาศาล… อย่างมากที่สุดเจ้าก็สามารถฝึกฝนได้ถึงแค่ระดับ 3 เท่านั้น และเมื่อคำนึงถึงความหายากของหินพลังธาตุมันก็คงไม่มีใครที่ยอมเสียมันให้กับคนที่ไม่มีอนาคตอย่างเจ้าบ่มเพาะแน่นอน”
“แต่เคล็ดวิชาของข้าไม่เหมือนกัน มันคือการเสริมสร้างโดยผ่านการถูกทำลาย ถ้าเจ้าอยากจะบรรลุมัน ข้อกำหนดเพียงอย่างเดียวก็คือเจ้าจะต้องโดนอัดซ้ำ ๆ ยิ่งเจ้าถูกอัดแรงมากเท่าไหร่เจ้าก็ยิ่งทะลวงระดับต่อไปง่ายขึ้นเท่านั้น”
ซูอันรู้สึกราวกับว่าตัวเองถูกหมุนจนงงไปหมด “ทำไมเคล็ดวิชาที่ท่านพูดถึงมันดูบ้าบอสิ้นดี? มีอย่างที่ไหนกันโดนอัดเพื่อให้ทะลวงระดับ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ชายชราตวาดกลับด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว “ไอ้เด็กโง่!! เคล็ดวิชาชั้นยอดนี้คือเคล็ดวิชาเดียวในโลกที่สามารถทำให้เจ้าเป็น…แค่ก! แค่ก!”
ไม่ทันกล่าวจบ เมื่อรู้ตัวชายชราก็รีบเปลี่ยนเรื่องทันที “ทำให้เจ้าเป็นผู้ไร้เทียมทาน…สรุปเจ้าจะฝึกมันหรือไม่ฝึก แต่ข้าเตือนเอาไว้ก่อนว่านี่เป็นโอกาสเพียงโอกาสเดียวของเจ้า!”
“แน่นอน! ข้าฝึก!” วินาทีนี้ซูอันเป็นเหมือนกับคนจมน้ำที่เพิ่งคว้าเศษซากไม้เอาไว้ได้ เพื่ออนาคตที่ดีในชีวิตของเขา ต่อให้เป็นเคล็ดวิชาที่แปลกประหลาดที่สุดเขาก็พร้อมที่ลองเสี่ยงฝึกดู
“แต่…ท่านกับข้า เราไม่เคยเจอกันมาก่อน ทำไมท่านถึงใจดีกับข้านัก?”
ผู้เฒ่ามี่ถอนหายใจออกมายาวเหยียด “เหตุผลเดียวก็คือเพราะว่าข้าจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้อีกไม่นานนัก และข้าก็ไม่ต้องการให้เคล็ดวิชานี้ต้องถูกฝังไปพร้อมกับร่างของข้า”
เมื่อซูอันได้ยินแบบนั้นก็เข้าใจในทันที “มันจะเป็นไปได้หรือไม่ที่ข้าจะขอรู้ชื่อของท่าน? ในอนาคตต่อจากนี้ ข้าจะพาเคล็ดวิชานี้ไปสู่จุดที่สูงขึ้นและข้าจะทำให้แน่ใจว่าชื่อเสียงของท่านจะไม่สูญสลายไปอย่างแน่นอน” วินาทีนี้ชายหนุ่มมั่นใจแล้วว่าชื่อ ‘ผู้เฒ่ามี่’ ไม่ใช่ชื่อจริงของคนตรงหน้า
“เจ้าเรียกข้าว่าผู้เฒ่ามี่เหมือนเดิมเถอะ หึหึ…แค่ได้ยินสิ่งที่เจ้าเอ่ยออกมาข้าก็ดีใจมากแล้ว ดูเหมือนว่าข้าจะเลือกถูกคน” ชายสูงวัยหัวเราะออกมาอย่างมีเลศนัย “เอาคัมภีร์ม้วนนี้กลับไป แล้วค่อย ๆ ทำความเข้าใจมัน หากมีอะไรที่ไม่เข้าใจ เจ้าก็ค่อยมาถามข้า”
ชายสูงวัยโยนคัมภีร์ม้วนสีทองให้อีกฝ่าย จากนั้นจึงหันหลังและเดินจากไป ในใจของเขาเต็มไปด้วยความยินดีในที่สุดหลังจากที่ผ่านมาหลายปี ในที่สุดเขาก็เจอผู้รับมอบที่เหมาะสม!
เมื่อหลายสิบปีก่อน เขาได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจลับบางอย่างของสำนักซึ่งมีหลายครั้งที่เขาเกือบเอาชีวิตไม่รอดก่อนที่จะเจอคัมภีร์ลับม้วนนี้ในที่สุด แต่หลังจากได้มันมาเขาก็เลือกที่จะไม่ส่งมอบมันให้กับทางสำนัก กลับกันเขาฆ่าสหายของตัวเอง แกล้งตาย จากนั้นก็ซ่อนตัวและฝึกฝนมันอย่างลับ ๆ ทว่าความลับไม่มีในโลก ทางสำนักดูเหมือนจะรู้เรื่องนี้และมีแนวโน้มว่าจะมาหาเขาที่นี่ในอีกไม่ช้านี้
แต่การที่เขายังไม่ได้บรรลุเคล็ดวิชาที่น่าอัศจรรย์นี้มันจึงทำให้เขาไม่สามารถต่อสู้กับพวกคนที่ตามล่าเขาได้ ท้ายที่สุดเขาจึงตัดสินใจที่จะใช้วิธี ‘จักจั่นทองย้ายร่าง’ ซึ่งเป็นทักษะการย้ายร่างที่เขาเคยได้เรียนรู้มาตั้งแต่สมัยหนุ่ม ๆ
ร่างกายของชายสูงวัยในตอนนี้กำลังทรุดโทรมและอ่อนแอลงเรื่อย ๆ เขาอยากจะย้ายไปร่างใหม่นานแล้ว และอันตรายที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่ก็ทำให้เขาสามารถตัดสินใจได้เร็วขึ้น แต่การยึดร่างนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เงื่อนไขแรก…ร่างเป้าหมายจะต้องฝึกฝนเคล็ดวิชาเดียวกันกับเขา เมื่อนั้นเขาก็จะสามารถถ่ายเทรากฐานฝึกฝนของตัวเองใส่ไปในร่างของเป้าหมายได้
เงื่อนไขที่สอง…เป้าหมายจะต้องมีร่างกายที่มีหยินเด่นเป็นพิเศษ…