เมื่อผ่านไปสามวัน ตงฟางเลี่ยที่ตัวยังอยู่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีก็ยังไม่ตอบอะไรกลับมา ทางวังสวรรค์ก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเช่นกัน เหมียวอี้ที่มีรายชื่อว่างอยู่หนึ่งแสนเรียกชิงเยว่และหลงซิ่นมาพบอย่างเป็นทางการ แต่ครั้งนี้ไม่ได้พบกันที่ห้องรับแขก แต่เป็นห้องทำงานของเหมียวอี้
พอเข้ามาข้างในแล้วเห็นเหมียวอี้นั่งแต่งกายเรียบร้อยอยู่หลังโต๊ะยาว ทั้งสองพอจะเดาอะไรบางอย่างได้แล้ว พอนึกว่าตัวเองกำลังจะหลุดพ้นจากเงามือของคนบางกลุ่มอย่างเป็นอย่างการ กำลังจะหลุดพ้นจากจุดที่ถูกขังอย่างเป็นทางการ ทั้งสองก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรนัก แต่กลับรู้สึกซับซ้อนในอารมณ์ถึงขีดสุด
ทั้งสองกุมหมัดคารวะอย่างเกรงใจ โดยที่ชิงเยว่เอ่ยถามว่า “ไม่ทราบว่าพวกเราสองคนได้อยู่หรือได้ไป?”
เหมียวอี้บอกว่า “ข้ายังคงถามเหมือนเดิม ทำไมพวกเจ้าต้องการมาพึ่งพาที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผี?”
ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง รู้ว่านี่แทบจะเป็นการสัมภาษณ์ด่านสุดท้ายแล้ว แต่จะให้ทั้งสองพูดเรื่องนี้ได้อย่างไรล่ะ? สุดท้ายหลงซิ่นก็ยังกล่าวช้าๆ ว่า “อยากจะมีโอกาสหวนกลับมาเป็นใหญ่อีกครั้ง!”
“หวนกลับมาเป็นใหญ่อีกครั้ง?” เหมียวอี้ถามเสียงเรียบ “เจ้าคิดว่าจวนแม่ทัพภาคตลาดผีจะให้โอกาสนี้กับเจ้าได้เหรอ?”
“ไม่แน่ใจ” หลงซิ่นตอบ
เหมียวอี้มองชิงเยว่ “แล้วเจ้าล่ะ?”
“ข้าก็คล้ายๆ กับเขา” ชิงเยว่ตอบ
เหมียวอี้จึงบอกว่า “ตอนแรกพวกเจ้าก็นับว่าตำแหน่งสูงอำนาจเยอะ ข้าอยากจะรู้ว่าทำไมตอนแรกพวกเจ้าถึงโดนลดตำแหน่งเป็นเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดิน เจ้าพูดก่อน!” เขาชี้ชิงเยว่
“พวกเราสองคนมาขอพึ่งพา อย่าบอกนะว่านายท่านไม่เคยสืบประวัติของพวกเราเลย?” ชิงเยว่ถาม
“ได้ฟังมาบ้างนิดหน่อย แต่ไม่รู้สาเหตุสำคัญชัดเจน” เหมียวอี้กล่าว
ชิงเยว่ยิ้มเย้ยตัวเอง แล้วก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรอีก เล่าต้นสายปลายเหตุให้ฟังอย่างละเอียดเสียตรงนั้นเลย
ที่จริงสาเหตุก็ไม่ซับซ้อนเลย ในปีแรกๆ ตำหนักสวรรค์ยังไม่ได้มีสถานการณ์เหมือนอย่างทุกวันนี้ เพิ่งจะกวาดล้างหกลัทธิได้ไม่นาน สถานการณ์วุ่นวายกว่าตอนนี้มาก ไม่ได้สงบเหมือนตอนนี้เลย กำลังพลของสี่อ๋องสวรรค์ก็ถูกดึงตัวมาจากทัวสารทิศเช่นกัน ใครที่มีกำลังพลใต้สังกัดมากหน่อย ใครที่มีกำลังแข็งแกร่งมากหน่อยก็ย่อมอยากจะครอบครองผลประโยชน์ให้มากขึ้น แต่เพิ่งบุกยึดใต้หล้าได้ไม่นาน ถ้าวุ่นวายอย่างนั้นต่อไปก็จะเกิดปัญหาได้ง่าย ปรับปรุงกำลังพลใต้สังกัดอย่างเข้มงวดคือเรื่องที่กดดันอยู่ตรงหน้า ทัพใหญ่แต่ละสายจึงก่อตั้งกำลังพลลาดตระเวนขึ้น ทำหน้าที่ลาดตระเวนและปรับปรุงจัดระเบียบ ชิงเยว่ก็คือทูตลาดตระเวนฝั่งใต้ของฮ่าวเต๋อฟางที่คอยรับผิดชอบงานด้านนี้ ตอนนั้นสังหารคนไปแล้วไม่น้อย ซูอวิ้นที่เป็นพ่อบ้านคนปัจจุบันของฮ่าวเต๋อฟางก็ไม่ใช่ผู้หญิงจากตระกูลธรรมดาเช่นกัน อำนาจของตระกูลนางเทียบเท่ากับตำแหน่งโหวคนหนึ่งของตำหนักสวรรค์
ตอนที่ช่วงชิงใต้หล้า เพื่อที่จะช่วยเหลือฮ่าวเต๋อฟาง ซูอวิ้นจึงโน้มน้าวให้ตระกูลซูช่วยเหลือ ส่วนตระกูลซูก็ได้สร้างผลงานอย่างยากลำบากแล้วจริงๆ แต่หลังจากบุกยึดใต้หล้าได้แล้ว ตระกูลซูก็อาศัยความรักที่ฮ่าวเต๋อฟางมีต่อซูอวิ้น ต้องการจะเร่งขยายอำนาจแข่งกับเวลา เพราะใครก็รู้ทั้งนั้นว่าการฉวยโอกาสตอนที่สถานการณ์ยังไม่สงบขยายอำนาจได้ก่อนก็จะได้เปรียบ เมื่อสถานการณ์สงบเมื่อไร ถ้าอยากจะทำให้วุ่นวายอีกก็ไม่น่าจะเป็นไปได้แล้ว ชิงเยว่เตือนตระกูลซูหลายครั้งแล้ว แต่ตระกูลซูไม่แยแสคำเตือนของชิงเยว่เลย และการที่ตระกูลซูไม่ยอมหยุด ก็จะทำให้อำนาจฝ่ายอื่นอ้างได้เช่นกัน ว่าทำไมตระกูลซูทำอย่างนี้ได้แต่พวกเราทำไม่ได้? ด้วยความโมโห ชิงเยว่จึงวางกับดัก นำทัพใหญ่ล้างเลือดจวนตระกูลซู สังหารหมดทั้งตระกูลซู ฆ่าหมดไม่เหลือแม้แต่ไก่กับสุนัข ทว่าด้วยสาเหตุนี้เอง ชิงเยว่ทำให้ฮ่าวเต๋อฟางเดือดดาลแล้ว ข้อหาก็คือตอนวางแผนนางแอบอ้างชื่อฮ่าวเต๋อฟาง และถ่ายทอดคำสั่งปลอมเช่นกัน จึงถูกลดตำแหน่งเป็นเทพแห่งภูผาเสียเลย
เหมียวอี้ฟังแล้วแอบทอดถอนใจ ถามว่า “ข้าได้ยินว่าในปีนั้นซูอวิ้นยังไม่ได้เป็นพ่อบ้านของตระกูลฮ่าว ที่ซูอวิ้นผ่านเคราะห์ครั้งนั้นมาได้ เป็นเพราะเจ้าจงใจปล่อยไปเหรอ?”
ชิงเยว่ตอบว่า “ข้าไม่เคยปล่อยนางไป ตอนนั้นถึงแม้ซูอวิ้นจะไม่ใช่พ่อบ้านของจวนตระกูลฮ่าว แต่ก็ถูกฮ่าวเต๋อฟางเก็บไว้ข้างกายแล้ว และเบื้องหลังก็มีตระกูลซูยุยงส่งเสริม ตระกูลซูจงใจจับคู่ให้ซูอวิ้นกับฮ่าวเต๋อฟาง ถ้าซูอวิ้นได้หลายเป็นหวังเฟยเมื่อไร ผลประโยชน์ที่ตระกูลซูจะได้ก็เด่นชัดมาก ดังนั้นทุกคนของตระกูลซูจึงหวังให้เรื่องดำเนินต่อไป ถึงทำให้ซูอวิ้นพ้นเคราะห์ครั้งนั้นไปได้ หรือพูดได้อีกอย่างว่า ถ้าตอนนั้นตระกูลซูไม่ถูกกำจัด ตำแหน่งในปัจจุบันก็ไม่ธรรมดาแน่นอน และซูอวิ้นก็ยากที่จะต้านการผลักดันของตระกูลซู เกรงว่าความสัมพันธ์ของซูอวิ้นกับฮ่าวเต๋อฟางคงไม่เป็นเหมือนอย่างทุกวันนี้ คงกลายเป็นหวังเฟยไปนานแล้ว ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่เรียกว่าพ่อบ้านบ้าบออะไรนี่หรอก”
เหมียวอี้เลิกคิ้ว สาเหตุที่ความสัมพันธ์ระหว่างฮ่าวเต๋อฟางกับซูอวิ้นนั่นกลายเป็นเหมือนทุกวันนี้ สงสัยจะเป็นผลงานของท่านนี้ทั้งหมด ถ้ารับคนแบบนี้ไว้ จะไม่เท่ากับตัวเองรับคนที่ถูกคนอื่นแค้นเอาไว้หรอกหรือ? แต่เขาก็ยังถามอย่างแปลกใจอีกว่า “อาศัยอิทธิพลของซูอวิ้น ทำไมยังไม่ฆ่าล้างแค้นเจ้าอีกล่ะ ทำไมปล่อยเจ้ารอดมาจนถึงทุกวันนี้?”
ชิงเยว่แสยะยิ้ม “คงไม่ใช่เพราะนางไม่อยากฆ่าข้าหรอก แต่ถ้าฆ่าข้าแล้วคงจะไปชี้แจงกับพวกลูกน้องไม่ได้ หลังจากตระกูลซูถูกกวาดล้าง ก็ส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อกำลังพลแต่ละสายของฮ่าวเต๋อฟาง และทำให้ตอนหลังฮ่าวเต๋อฟางลดการปรับปรุงกำลังพลแต่ละสายไปเยอะมาก ตอนนั้นข้านึกว่าตัวเองได้สร้างผลงานใหญ่แล้ว ก็เลยไม่ถือสาที่ฮ่าวเต๋อฟางลดตำแหน่งข้าเป็นเทพแห่งภูผา นึกว่าในสักวันหนึ่งฮ่าวเต๋อฟางจะต้องใช้งานข้าอีกครั้ง ข้าก็เลยรอมาตลอดไง รอจนกระทั่งใต้หล้าลืมการมีตัวตนของข้าไปแล้ว ไม่เห็นฮ่าวเต๋อฟางจะมีความเคลื่อนไหวอะไรเลย รอจนข้าท้อแท้สิ้นหวัง ข้าถึงได้รู้ว่าความคิดของข้าในปีนั้นมันไร้เดียงสาขนาดไหน ข้าเองก็เข้าใจเช่นกัน ว่าสำหรับฮ่าวเต๋อฟาง ต่อให้ข้าจะสร้างผลงานใหญ่แค่ไหน แต่ก็ไม่สำคัญเท่าซูอวิ้นอยู่ดี แล้วข้าก็ไม่มีทางไป ตราบใดที่ฮ่าวเต๋อฟางยังอยู่ ทัพใต้ก็ไม่มีทางปล่อยข้าออกไป ถ้าถือวิสาสะหนีไปเอง ข้าก็รับผลที่ตามมาไม่ไหว ข้ารอมาหลายปีขนาดนี้แล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าจะรอจนมีโอกาสหลุดพ้น…นี่ก็คือเหตุผลที่ข้ามาขอพึ่งพาจวนแม่ทัพภาคตลาดผี แม่ทัพภาคหนิวยังสงสัยอะไรอีกหรือเปล่า?”
เหมียวอี้ไม่ได้ตอบนาง แต่มองไปที่หลงซิ่นแทน “เจ้าล่ะ?”
หลงซิ่นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเย้ยตัวเองเช่นกัน “สาเหตุของนางเกิดจากผู้หญิง สาเหตุของข้าก็เกิดจากผู้หญิงเหมือนกัน…” เขาเล่าสถานการณ์ของตัวเองให้ฟังอย่างละเอียด
ในปีนั้นเขาเป็นท่านโหวที่ได้เข้าประชุมในราชสำนัก มีอยู่วันหนึ่งลูกน้องแจ้งมาว่าในอาณาเขตมียอดหญิงงามแบบที่หาพบได้ยากในโลกนี้ ต้องการจะนำตัวมาเป็นของขวัญให้เขา แต่ใครคิดว่าโจวอ้าวหลินลูกชายของโจวจ้าวรู้ข่าวมาจากไหนก็ไม่รู้ โจวอ้าวหลินจึงให้คนมาบอกเขาว่า หวังว่าเขาจะตัดรักนี้ได้ ตอนแรกเขาก็ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องสำคัญอะไร แต่จนกระทั่งผู้หญิงคนนั้นมาอยู่ตรงหน้า ถึงได้พบว่าเป็นยอดหญิงงามที่หาพบได้ยากจริงๆ เขาโปรดปรานมาก จึงไม่สนใจโจวอ้าวหลิน รับนางมาเป็นอนุภรรยาเสียเลย ทว่าทิวทัศน์อันงดงามอยู่ได้ไม่นาน มีอยู่วันหนึ่งอนุภรรยาคนนั้นของเขาออกไปท่องเที่ยว แล้วจู่ๆ ก็ถูกชิงตัวไป ผู้คุ้มกันคนหนึ่งที่รอดพ้นเคราะห์ครั้งนั้นมาได้บอกว่าจำได้ว่าหนึ่งในคนที่ชิงตัวนางไปเป็นลูกน้องคนสนิทโจวอ้าวหลิน หลงซิ่นเดือดดาลมาก เรื่องบางเรื่องสามารถทนได้ แต่ผู้หญิงของตัวเองโดนแย่งไปจะทนได้อย่างไร เขาถึงไปเรียกร้องความยุติธรรมที่จวนตระกูลโจว ตอนนั้นโจวจ้าวยังไม่ได้เป็นจอมพลสายมะแม เป็นเพียงเทพประจำดาวเท่านั้น และเป็นผู้บังคับบัญชาของหลงซิ่นด้วย
แต่ใครจะคิดว่าโจวอ้าวหลินจะปฏิเสธลูกเดียว ไม่ยอมรับว่าทำเรื่องนี้ ตอนนั้นโจวจ้าวสีหน้าแย่มาก สิ่งที่ทำให้หลงซิ่นยิ่งคับแค้นก็คือ หลังจากครั้งนั้นอนุภรรยาของเขาก็ตัดขาดการติดต่อไปเลย เป็นตายอย่างไรไม่รู้ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะถูกปิดปากไปแล้ว หลังจากจบเรื่องนั้นก็มีเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ แอบโน้มน้าวเขาไม่ให้ก่อเรื่องอีกแล้ว บอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่โจวจ้าวจะยอมรับเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับยอมรับเรื่องที่ตัวเองให้ท้ายลูกชายแย่งตัวผู้หญิงของลูกน้องน่ะสิ? ถึงตอนนั้นโจวจ้าวจะเผชิญหน้ากับกลุ่มลูกน้องได้อย่างไร? แต่เขาเป็นชายชาตรี มีหรือจะทนความอัปยศได้ ถ้าทนไหวจริงๆ ในถายหลังจะไม่ถูกคนลอบกัดตลอดไปหรอกเหรอ? ผลก็เลยเป็นอย่างที่เห็น ปัญหาต่างๆ รุมเร้าเข้ามา กดขี่ข่มเหงเขาไม่หยุดหย่อน กดดันให้เขายอมรับผิด เพียงแต่เขาไม่ได้ถูกลดให้อยู่ตำแหน่งต่ำสุดเหมือนชิงเยว่ ตอนแรกถูกลดจากตำแหน่งโหวเป็นหัวหน้าภาค แล้วลดเป็นแม่ทัพภาคต่อ แล้วค่อยเป็นผู้บัญชาการใหญ่ จนกระทั่งสามปีก่อนก็ถูกลดเป็นเทพแห่งผืนดิน
หลังจากฟังจบ ในใจเหมียวอี้ก็แอบพึมพำว่า ถ้ารับเจ้าหมอนี่ไว้ก็เท่ากับล่วงเกินจอมพล ผีหลอกแล้ว
แต่จะว่าไปแล้ว เขาเองก็เข้าใจชัดเจนเช่นกัน ว่าถ้าสองคนนี้ไม่ประสบกับเรื่องแบบนี้ ต่อให้ตีให้ตายก็ไม่มีทางยอมมาขอพึ่งพาเป็นลูกน้องเขาอยู่ดี
หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เหมียวอี้ก็บอกว่า “สามวันก่อนข้าบอกไว้แล้ว ว่าหลังจากรับพวกเจ้า พวกเจ้าจะต้องเริ่มจากยศปัจจุบันของตัวเอง”
“พวกเราไม่ได้ความจำแย่ขนาดนั้น ย่อมจำได้อยู่แล้ว” ชิงเยว่กล่าว
เหมียวอี้หยิบแผ่นหยกแต่งตั้งตำแหน่งขึ้นมาบนโต๊ะ แล้วกล่าวอย่างใจเย็น “ถ้ารับพวกเจ้าสองคน ที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีตอนนี้ยศพวกเจ้าต่ำสุด จะให้คนที่ยศสูงกว่าพวกเจ้าไปเฝ้าประตูไม่ได้หรอก จะให้พวกเจ้าสองคนไปเฝ้าประตูใหญ่จวนแม่ทัพภาค พวกเจ้าเต็มใจหรือเปล่า?”
“…” ชิงเยว่กับหลงซิ่นพูดไม่ออกโดยสิ้นเชิง สีหน้าบิดเบี้ยวแล้ว เฝ้าประตูใหญ่งั้นเหรอ? ให้พวกเราสองคนไปเฝ้าประตูใหญ่ เจ้าช่างพูดออกมาได้นะ
เหมียวอี้ลูบแผ่นหยกแต่งตั้งตำแหน่ง ค่อยๆ เหลือบตาขึ้นมองทั้งสองโดยไม่ได้พูดอะไร ได้แต่มองอยู่อย่างนั้น รอคอยคำตอบ
สุดท้ายชิงเยว่ก็กล่าวอย่างคับแค้น “นับว่าเจ้าโหด! ตราบใดที่เจ้าไม่กลัวว่าจะรับคนโหด ข้าก็ไม่มีความเห็นแย้งอะไร”
เหมียวอี้นำแผ่นหยกมาร่ายอิทธิฤทธิ์เขียนทันที เขียนเสร็จลงตราอิทธิฤทธิ์ตัวเองแล้วโยนให้ชิงเยว่เสียเลย “ตั้งแต่นี้ไป เจ้าคือคนของจวนแม่ทัพภาคตลาดของข้าแล้ว”
ไม่มีท่าทีลังเลใดๆ รวดเร็วฉับไวมาก
ชิงเยว่รับแผ่นหยกมาตรวจอ่านในมือ หลังจากแน่ใจแล้วว่าเป็นของจริง บนใบหน้าก็เริ่มแสดงอารมณ์ดีใจและโศกเศร้าปนกัน คนนอกไม่มีทางรู้ได้ว่านางรู้สึกอย่างไร
หลงซิ่นมองของในมือชิงเยว่ แล้วสุดท้ายก็กัดฟันตอบว่า “ดี!”
เหมียวอี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง เขียนแผ่นหยกอีกแผ่นแล้ว จากนั้นโยนให้เขา ใช้สองมือจับโต๊ะขณะที่มองทั้งสอง มองเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร รอคอยอีกแล้ว
ทั้งสองที่อารมณ์สงบลงเล็กน้อยยังคงรู้สึกเหมือนฝันไป ถูกขังมาหลายปีขนาดนี้ ได้หลุดพ้นแล้วจริงๆ เหรอ? ถึงแม้พวกเขาจะมาอย่างเฝ้าคอย แต่ก็นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเหมียวอี้จะกล้ารับพวกเขาไว้ ยิ่งนึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะตัดสินใจเร็วขนาดนี้
เมื่อรออยู่นานแล้วไม่ได้ยินเสียงอะไร เหมียวอี้ก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบช้าๆ ไม่ได้สั่งอะไรทั้งสอง และไม่ได้เร่งให้ทั้งสองออกไปด้วย
ค่อยเป็นค่อยไป ทั้งสองเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว หลังจากสบตากันแวบหนึ่ง สุดท้ายก็ก้มหน้ากุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยคารวะท่านแม่ทัพภาค!”
ในที่สุดเหมียวอี้ก็วางถ้วยน้ำชาในมือ “พาพวกเขาไปประตูใหญ่จวนแม่ทัพภาค”
“…” หยางเจาชิงที่ยืนอยู่ด้านข้างตลอดงงนิดหน่อย มองเหมียวอี้ด้วยความเหลือเชื่อ จะให้ทั้งสองไปเฝ้าประตูใหญ่จริงเหรอ? ล้อเล่นแรงเกินไปหรืเปล่า? ในดวงตาเขาฉายแววสอบถามเพื่อความแน่ใจ
“ทำไม? เจ้าอยากไปช่วยพวกเขาเฝ้าประตูเหรอ?” เหมียวอี้เอียงหน้ามองมา
“…” หยางเจาชิงพูดไม่ออก ได้แต่กุมหมัดรับบัญชา แล้วยื่นมือเชิญทั้งสองให้ตามพวกเขาออกไป
หลังจากในห้องเหลือเหมียวอี้อยู่คนเดียว เหมียวอี้ถึงได้ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง แล้วหลับตาลงช้าๆ
ผ่านไปไม่นาน อวิ๋นจือชิวก็มาเพราะได้ยินข่าว นางสาวเท้าเดินบุกเข้ามา แล้วอุทานถามว่า “ได้ยินเจาชิงบอก เจ้าให้ชิงเยว่กับหลงซิ่นไปเฝ้าประตูจวนแม่ทัพภาคเหรอ?”
“เจาชิงนี่ควบคุมปากตัวเองไม่ค่อยได้เลยนะ” เหมียวอี้ลืมตาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “ก็พวกเขายศต่ำสุดในบรรดาคนที่นี่ ถ้าไม่ให้พวกเขาเฝ้าแล้วจะให้ใครเฝ้า?”
อวิ๋นจือชิวกลอกตา “อย่ามาพูดเลย มีคนของกองทัพองครักษ์เฝ้าอยู่ ยังต้องให้พวกเขาไปเฝ้าด้วยเหรอ?”
“คนของกองทัพองครักษ์ก็คือคนของกองทัพองครักษ์ คนในจวนแม่ทัพภาคก็คือคนของจวนแม่ทัพภาค ถ้าจวนแม่ทัพภาคที่สง่าผ่าเผยไม่มีใครเลยสักคน มันใช่เรื่องซะที่ไหน?” เหมียวอี้ลุกขึ้นยืน เดินอ้อมโต๊ะยาวออกมา จับมือเรียวสวยของอวิ๋นจือชิวมาตบเบาๆ “ขนาดนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์มาอยู่ที่นี่แล้วยังต้องเฝ้าประตูแต่โดยดี ต้องทำให้คนที่มาทีหลังได้เห็นสิ ว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกเขาจะมาวางมาด หลังจากนี้จะต้องลดปัญหายุ่งยากได้แน่นอน สองเทพเฝ้าประตูที่ดีขนาดนี้ ถ้าไม่ใช้งานก็น่าเสียดายจริงๆ ฮูหยินเอ๋ย เรื่องดูแลบ้านข้าสู้เจ้าไม่ได้ แต่เรื่องคุมกองทัพข้าเข้าใจดีกว่าเจ้า ข้ารู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่”
…………………………