บทที่ 116 เริ่มการโต้กลับ (ปลาย)
สีหน้าของ ฉู่ชูเหยียน เปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที “ข้าไม่ชอบที่เจ้าชอบพูดพล่ามไร้สาระหน้าตายแบบนี้จริง ๆ การพูดความจริงสักครั้งมันจะทำให้เจ้าสิ้นใจหรือไง? ข้าบอกเอาไว้เลยว่าต่อหน้าข้าเจ้าอาจพูดแบบนี้ได้แต่ถ้าอยู่ต่อหน้า เพ่ยเหมียนหมาน เจ้าห้ามพูดอะไรแบบนี้เด็ดขาดไม่งั้นนางเอาเจ้าตายแน่!”
ท่านยั่วยุ ฉู่ชูเหยียน สำเร็จ ได้รับคะแนนความโกรธแค้น +99!
เมื่อพูดจบ ฉู่ชูเหยียน ก็เดินนำหน้าไปด้วยสีหน้าหงุดหงิด ซึ่ง เสวี่ยเอ๋อร์ก็รีบวิ่งตามไปทันทีพร้อมกับหันหน้ามาแลบลิ้นด้วยความสะใจให้กับซูอันครู่หนึ่ง
ซูอัน ทำได้เพียงถอนหายใจยาว พลางบ่นพึมพำในใจ ‘เห็นไหมข้าบอกแล้วว่าเจ้าต้องไม่เชื่อ! เฮ้อ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับโลกนี้กัน? เวลาข้าพูดโกหกทุกคนกลับเชื่อ แต่พอถึงเวลาที่ข้าพูดความจริงทุกคนกลับคิดว่ามันเป็นเรื่องโกหกไปซะอย่างนั้น!’
แต่เมื่อเขาคิดถึงเรื่องคะแนนที่เขาได้จาก ฉู่ชูเหยียน ซูอันก็รู้สึกประหลาดใจ ดูเหมือนว่าการได้คะแนนจากนางเป็นเรื่องที่ยากจริง ๆ แม้ว่าเขาจะพูดเป็นนัยถึงเรื่องชู้สาว แต่นางก็ยังให้คะแนนความโกรธเขาแค่ 99 แต้มเท่านั้น ผู้หญิงคนนี้เป็นคนจริง ๆ หรือว่าเป็นมนุษย์น้ำแข็งกันแน่?
แต่แล้วหลังจากที่คิดเรื่อยเปื่อยอยู่สักพัก ซูอัน ก็พบว่าผู้หญิงทั้งสองคนเดินนำเขาไปไกลแล้ว มันทำให้เขาต้องรีบวิ่งตามพวกนางให้ทัน
เมื่อเดินกันไปได้อีกพักหนึ่งในที่สุด ฉู่ชูเหยียน ก็ดูเหมือนจะอารมณ์เย็นลงเล็กน้อย นางลังเลสักพักก่อนจะเอ่ยถามกับเขา “เจ้าคงลำบากอยู่เหมือนกันใช่ไหมในระหว่างที่อยู่ในคฤหาสน์?”
ซูอัน รู้สึกประหลาดใจกับคำถามของนาง เขาเลิกคิ้วและถามกลับทันที “ทำไมจู่ๆเจ้าถึงถามคำถามนี้?”
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากำลังวางแผนจะซื้อบ้านข้างนอก” ฉู่ชูเหยียน ตอบกลับ
ซูอัน โกรธจนแทบเส้นเลือดฝอยในสมองแตก
ไอ้สารเลว เฉิงโซวผิง! ไหนว่าเจ้าบอกว่าจะไม่บอกเรื่องกับคนอื่น! ไอ้เด็กเวรเอ๊ย เมื่อครู่นี้ข้ายังรู้สึกผิดอยู่เลยที่ข้าไม่ได้ชวนมันออกมาด้วยเพื่อให้มาเดินคู่กับเสวี่ยเอ๋อร์
ฮึ่ม! ในเมื่อเจ้าทรยศข้าแบบนี้งั้นในอนาคตก็อย่าหวังอะไรจากข้าอีก ไอ้เด็กเวร!!
“ข้าแค่อยากรู้ราคาบ้านเรือนในเมืองเฉย ๆ เท่านั้นเอง เจ้าไม่ต้องสนใจหรอก” ซูอัน ตอบกลับด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน ตอนนี้เขายังคงต้องการความช่วยเหลือจากนาง ดังนั้นมันคงไม่เหมาะเท่าไหร่หากเขาจะยอมรับว่าเขาพร้อมที่จะทิ้งตระกูลฉู่ไปได้ทุกเมื่อเมื่อเขาพร้อม
ฉู่ชูเหยียน ตอบกลับด้วยการพยักหน้า และก็เงียบไปอีกครั้ง จากนั้นทั้งสามคนก็เดินไปตามถนนโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ไม่นานหลังจากนั้น ทั้งสามคนก็มาถึงทางเข้าตึกที่สว่างไสวและเต็มไปด้วยผู้คน ซูอัน หันไปหา ฉู่ชูเหยียน และพูดว่า “ที่นี่แหละ”
ฝูงชนจำนวนมากเข้าและออกจากตึกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นภาพที่ยืนยันได้ดีว่ากิจการภายในตึกนี้รุ่งเรืองขนาดไหน
ฉู่ชูเหยียน เหลือบมองแผ่นโลหะที่แขวนเอาไว้บนทางเข้าซึ่งเขียนคำว่า ‘บ่อนโกยเงิน’ เมื่อรู้แบ้วว่าสถานที่แห่งนี้คือบ่อนการพนันสีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นมืดหม่น “นี่เจ้าพาข้ามาที่บ่อนการพนัน?”
ซูอันพยักหน้า “ถูกต้อง!”
ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินมาว่าสำนักดอกบ๊วยเป็นองค์กรใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในเมืองจันทร์กระจ่าง และแหล่งที่มารายได้ของสำนักดอกบ๊วยก็มาจากการเรียกเก็บค่าคุ้มค่าจากร้านค้าต่างๆและการปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยสูง แต่ทั้งสองธุรกิจก็ยังไม่ทำเงินไม่ดีเท่าบ่อนของพวกเขาเอง
เงินเป็นรากฐานของทุกองค์กร และความขัดแย้งส่วนใหญ่ก็เกิดจากเรื่องเงินเช่นกัน เนื่องจากตระกูลฉู่ ไม่สามารถใช้อำนาจในการแก้ไขปัญหาได้ เขาจึงทำได้เพียงทำสงครามการเงินกับสำนักดอกบ๊วยเท่านั้น เขาวางแผนที่จะทำแหล่งรายได้ที่ใหญ่ที่สุดสำนักดอกบ๊วย เขามั่นใจว่าถ้าแหล่งรายได้นี้ถูกทำลายไปสำนักดอกบ๊วยจะไม่ต่างอะไรจากคนพิการแน่นอน
อย่างไรก็ตาม การกระทำนี้มันจะส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อสำนักดอกบ๊วยเป็นอย่างมากซึ่งแน่นอนว่ามันจะต้องทำให้สำนักดอกบ๊วยระเบิดอารมณ์ขึ้นมาแน่นอน และนั่นจะเป็นชนวนเหตุให้สำนักดอกบ๊วยจะต้องงัดวิธีทางรอดทุกอย่างออกมาใช้ ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องพา ฉู่ชูเหยียน มาด้วยเพื่อปกป้องชีวิตอันมีค่าของเขา
หากไม่พูดถึงเรื่องที่ ฉู่ชูเหยียน มีระดับการบ่มเพาะอยู่ในระดับ 5 สถานะของนางก็เป็นถึงคุณหนูใหญ่ของตระกูลฉู่ ดังนั้นไม่ว่าสำนักดอกบ๊วยจะหาญกล้าสักแค่ไหน พวกมันก็คงไม่กล้าทำอะไรเกินเลยแน่นอน
ต้องรู้เอาไว้ว่าถึงแม้ตระกูลฉู่จะถูกกดดันจากหลายทิศทางในตอนนี้ แต่ถ้ามีใครกล้าทำร้ายสมาชิกในตระกูลของพวกเขา พวกเขาย่อมจะไม่ยอมแน่นอนและยิ่งโดยเฉพาะที่คน ๆ นั้นคือคุณหนูใหญ่ของตัวเอง
หากเกิดอะไรขึ้นมากับคุณหนูใหญ่ของพวกเขาจริง ๆ ต่อให้ราชสำนักจะเข้ามายุ่งเกี่ยว อ๋องฉู่ ก็คงไม่สนใจอะไรอีกแล้ว
“เจ้าไม่รู้หรือว่าตระกูลฉู่ ของเรามีกฎห้ามสมาชิกในตระกูลทุกคนไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับการพนัน?” ฉู่ชูเหยียน พูดขึ้นด้วยสีหน้าขุ่นเคือง
“มีกฎแบบนั้นด้วยเหรอ? ทำไมเป็นงั้น?” ซูอัน แสร้งทำเป็นไม่รู้
อันที่จริง เขาสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมตระกูลฉู่ ถึงต้องมีกฎเกณฑ์เช่นนี้ เขาเองก็เคยอ่านเรื่องเกี่ยวกับกฎระเบียบของตระกูลใหญ่ต่าง ๆ ในโลกมากมาย แต่เขาก็ยังไม่เคยได้ยินว่าตระกูลไหนจะออกกฎที่เฉียบขาดถึงขนาดสั่งห้ามคนของตัวเองเล่นการพนันอย่างสิ้นเชิงแบบนี้
ฉู่ชูเหยียน ตอบคำถามอย่างใจเย็น “ก่อนหน้านี้ตระกูลฉู่ ของเรามีบรรพบุรุษอยู่คนหนึ่งที่นับได้ว่าบ้าพนันเป็นอย่างมาก บรรพบุรุษผู้นั้นหมกมุ่นอยู่กับการพนันจนเกือบจะทำให้ทรัพย์สมบัติของตระกูลทั้งหมดมลายหายไป หลังจากเหตุการณ์นั้นต้องใช้เวลาอีกหลายชั่วอายุคนกว่าที่ตระกูลของเราจะกลับมามั่งคั่งและมั่นคงเหมือนเดิม อย่างไรก็ตามผลพวงจากคราวนั้นทำให้ธุรกิจและศักดินาของเราลดหายไปมากกว่าครึ่งของที่เคยเป็น ซึ่งถ้าไม่มีเรื่องนั้นเกิดขึ้นป่านนี้ทั้งเมืองจันทร์กระจ่างก็คงจะเป็นของพวกเราทั้งหมด”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ ซูอัน ก็พอจะเดาได้ว่าเมื่อก่อน ธุรกิจต่าง ๆ ในเมืองคงน่าจะเคยเป็นของตระกูลฉู่ทั้งหมด ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นมันก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่ปัจจุบันตระกูลฉู่จะมีชื่อเสียงที่โด่งดังมากกว่าตระกูลอื่น ๆ ขนาดนี้
“นี่คือเหตุผลว่าทำไมตระกูลฉู่ถึงได้มีกฎห้ามสมาชิกทุกคนเล่นการพนัน ส่วนเจ้าแม้ว่าเจ้าจะไม่ใช่สมาชิกของตระกูลฉู่อย่างเต็มตัว แต่เจ้าถือสถานะเป็นสามีในนามของข้า ดังนั้นเจ้าต้องปฏิบัติตามกฎนี้ด้วย”
สามีในนามก็ยังคงเป็นสามี ทำไมเจ้าต้องเน้นคำว่า ‘ในนาม’ ขนาดนั้น? ซูอันบ่นอยู่ในใจ
ตามที่คาดไว้ เขาคิดเอาไว้แล้วว่า ฉู่ชูเหยียน จะต้องพูดอะไรแบบนี้ดังนั้นเขาจึงเตรียมคำพูดมารองรับล่วงหน้าเอาไว้แล้ว “แต่ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อเล่นการพนัน ข้ามาที่นี่เพื่อตอบโต้กลับพวกที่จะเอาชีวิตข้า ข้าเชื่อว่าตระกูลฉู่คงไม่มีกฎใดที่ห้ามสมาชิกของตัวเองไม่ให้ตอบโต้กลับศัตรูถูกต้องไหม?”