บทที่ 242 รู้ทัน
เช้าวันรุ่งขึ้นซูอันตื่นนอนและมุ่งหน้าไปยังสถาบันจันทร์กระจ่าง ตอนนี้เขาเป็นอาจารย์แล้ว เขาไม่รู้สึกว่าการเข้าชั้นเรียนเป็นเรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป ตรงกันข้าม เขาตั้งหน้าตั้งตารอคอยที่จะใช้อำนาจของตนในฐานะอาจารย์ทุกวัน!
ฉู่ฮวนเจาต้องการไปเรียนพร้อมกับซูอัน แต่ฉินหว่านหรูไม่ยินยอม นางรู้สึกว่าลูกสาวคนรองใกล้ชิดกับลูกเขยของนางมากเกินไป นางจึงสั่งให้ ฉู่ฮวนเจาพักรักษาอาการบาดเจ็บต่อที่คฤหาสน์
สำหรับฉู่ชูเหยียน นางแทบจะไม่ได้ไปสถาบันจันทร์กระจ่างตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้นางได้รับบาดเจ็บอยู่ นางเลยไม่ได้ไปกับซูอันเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้เองซูอันจึงต้องไปสถาบันตัวคนเดียวในวันนี้…เขาหันไปมองเฉิงโซวผิง ถึงแม้ว่าเขาจะเหงาเขาก็ไม่อาจมองว่าเฉิงโซวผิงเป็นเพื่อนได้จริงๆ!
เมื่อเช้าตรู่ ตระกูลฉู่ได้รับข่าวว่าเหมยเชาฟงได้หลบหนีออกจากเรือนจำ และด้วยความกังวล ฉู่จงเทียนจึงจัดผู้คุ้มกันมาให้ซูอันมากขึ้น ผู้คุ้มกันเหล่านี้มาจากกองทัพผ้าคลุมสีชาด พวกเขามีทักษะในการผสานการโจมตีร่วมกันเป็นค่ายกล ต่อให้พวกเขาต้องเผชิญกับศัตรูที่มีระดับการบ่มเพาะที่สูงกว่า พวกเขาก็ยังสามารถตรึงสถานการณ์ไว้ได้จนกว่ากำลังเสริมจะมาถึง…
ด้วยเหตุนี้ ซูอันจึงเดินทางไปถึงสถาบันจันทร์กระจ่างได้โดยไม่มีปัญหาใด ๆ อันที่จริงเขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเมื่อคิดว่าเหมยเชาฟงจะพยายามจู่โจมเขาระหว่างทาง แต่กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายขี้ขลาดตาขาวจนไม่กล้าโผล่หัวออกมา…
ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งโกรธ เขาไม่คิดว่าพวกคนที่จวนเจ้าเมืองจะไร้ความสามารถถึงขนาดพลาดท่าให้เหมยเชาฟงหนีออกจากเรือนจำไปได้ง่าย ๆ หากไม่ใช่เพราะว่าตระกูลเซี่ยอยู่ในฝ่ายของราชันฉี เขาคงจะคิดว่าทางจวนเจ้าเมืองตั้งใจปล่อยให้เหมยเชาฟงหนีไปได้…
เมื่อมาถึงสถาบัน ซูอันมองดูเหล่านักศึกษาสาวทรงเสน่ห์ที่เดินไปมาซึ่งมันทำให้เขารู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมาก ยังไงซะนี่เป็นภาพที่น่าพึงพอใจมากกว่าเห็นซือคุนและเหมยเชาฟงที่น่าขยะแขยง
เมื่อเห็นว่ายังมีเวลาก่อนเข้าไปสอนที่ชั้นเรียนนภา เขาจึงมุ่งหน้าไปยังเรือนพักของซางหลิวอวี้โดยตั้งใจจะใช้ข้ออ้างในการคืนเปลือกหอยบันทึกเสียงเข้าพบนาง
นี่เป็นอุบายที่เขาได้เรียนรู้จากเพื่อน ๆ ในชีวิตก่อนหน้านี้ เคล็ดลับที่ใช้กันบ่อยที่สุดอย่างหนึ่งที่พวกเขาเคยใช้ในการเข้าหาผู้หญิงคือการยืมสิ่งของบางอย่างเพื่อที่พวกเขาจะได้ขอเอาไปคืนในภายหลัง ทำหลาย ๆ ครั้งเข้าก็ใกล้ชิดกันไปเอง
เขาเดินเข้าไปยังเรือนพักของซางหลิวอวี้ด้วยท่าทางสบายใจและเคาะประตูเรือนของนาง เมื่อประตูเปิดออกในที่สุด เขาก็เห็น ซางหลิวอวี้ ที่แต่งตัวเรียบร้อยนั่งอยู่บนชิงช้าในลานบ้าน และมือของนางกำลังดีดพิณเบาๆ
ถ้าเขามาเร็วกว่านี้…น่าจะมีโอกาศได้เห็นนางในชุดนอนหรืออะไรสักอย่างที่น่ามองกว่านี้หรือเปล่า?
ซางหลิวอวี้ยิ้มอย่างพอใจขณะที่นางรับเปลือกหอยคืนมาจากซูอัน
“ในช่วงสองวันที่ผ่านมาทั่วเมืองวุ่นวายไปหมด ดูเหมือนชื่อของเจ้าจะดังไปทั่วเมืองจันทร์กระจ่างซะแล้ว”
“เจ้าดูไม่แปลกใจอะไรเลยนี่!” ซูอันตั้งข้อสังเกต
แค่การมองผู้หญิงตรงหน้าอย่างเงียบ ๆ มันก็เพียงพอที่จะทำให้ ซูอัน รู้สึกเติมเต็ม ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมผู้คนถึงเรียกสิ่งนี้ว่า ‘อาหารตา’
“คนที่สามารถแต่งทำนองเพลงในเปลือกหอยนี้ไม่มีทางจะเป็นคนขี้ขลาดได้” ซางหลิวอวี้ลูบพิณของนางเบา ๆ อย่างผ่อนคลาย
ซูอันหัวเราะ “เจ้านี่ตาแหลมจริง ๆ! ข้ามีความแข็งแกร่งมากมายที่แอบซ่อนไว้ ในไม่ช้าเจ้าจะรู้เองว่าข้ายังมีดีอะไรอีกเยอะ!”
“…” ซางหลิวอวี้
นางไม่รู้ว่าจะโต้ตอบอย่างไร เสียงพิณของนางแปร่งไปเล็กน้อยตามความรู้สึกของนางเอง
ซูอันอยู่ต่ออีกสักพักก่อนจะลาจากมา ระหว่างทางกลับเสียงพิณที่นางบรรเลงยังคงติดหูเขาอยู่ ซูอันเดินไป ฮัมเพลงไปอย่างสบายใจ
ไม่นานหลังจากกลับมาที่ห้องเรียน จู่ ๆ ก็มีนักศึกษาคนหนึ่งยัดกระดาษโน้ตใส่มือเขาแล้วพูดว่า “อาจารย์ชางบอกให้ข้าส่งสิ่งนี้ให้ท่าน!”
ซูอันตกตะลึง เขาคลี่กระดาษและอ่านข้อความ เจอกันที่ศาลาจากนี้อีกสองชั่วโมง…
หืม? นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของฉากสารภาพรักในตำนานที่ข้าเคยเห็นบ่อยมากในซีรี่ย์และอนิเมะ?
อย่างไรก็ตาม เขารีบโยนความคิดนั้นทิ้งไป เรื่องนี้มันมีบางอย่างทะแม่ง ๆ ก็เราเพิ่งเจอกันไปเมื่อกี้ที่เรือนพักของนาง ทำไมตอนนี้นางถึงจะชวนข้าออกไปหาที่ศาลา?
ไม่ว่าเขาจะหลงตัวเองแค่ไหน เขาก็ไม่คิดว่าเสน่ห์ของเขาจะมากพอที่จะทำให้ซางหลิวอวี้เป็นฝ่ายรุกด้วยการสารภาพรัก…
ที่สำคัญกว่านั้น ไม่มีทางที่ซางหลิวอวี้จะบอกให้นักศึกษาส่งกระดาษโน้ตถึงเขาและบอกว่ามาจากนางเพราะนางหลีกเลี่ยงข่าวลือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเขามาโดยตลอด
เขานึกถึงเรื่องที่เหมยเชาฟงหลบหนีออกจากคุกในช่วงเช้าตรู่ ซูอันจึงเดินมุ่งหน้าตรงไปที่ตึกสำนักงานของสถาบันอย่างมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองคิด
ไม่นานนักเขาก็มาถึงและขอเข้าพบเจียงลั่วฝู นางนั่งบนเก้าอี้ขาเรียวยาวของนางวางอยู่บนกระถางดอกไม้ตรงหน้าอย่างสบายๆ
สีเทาอ่อน!
มันวิเศษมากที่สีถุงน่องของ เจียงลั่วฝูเปลี่ยนไปตลอดทุกวัน ดูเหมือนว่าการมีเรียวขาที่สวยงามเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ทุกสิ่งในห้องนี้ช่างน่ารื่นรมย์
ไม่ เขาไม่ใช่คนโรคจิต! เขาแค่ดูเรียวขานั่นให้ไอ้เจ้าเว่ยสั่วก็แค่เท่านั้นเพื่อที่จะได้ตอบคำถามของเขาได้เมื่อเวลามันมาถามเขา
“ข้ากำลังจะไปหาเจ้าอยู่พอดี” ก่อนที่ซูอันจะเอ่ยเรื่องที่เกิดขึ้นแก่เจียงลั่วฝู นางก็พูดแทรกขึ้นมาก่อนที่เห็นหน้าเขาแล้ว
“ครูใหญ่เจียงมีเรื่องอะไรกับข้างั้นเหรอ?” ซูอันถามด้วยความประหลาดใจ
“มันเป็นเรื่องของทางเข้ามิติลับหยกจรัส” เจียงลั่วฝูตอบขณะที่นางไขว่ห้างอย่างสบาย ๆ ราวกับว่านางไม่รู้ว่าท่าทางแบบสบาย ๆ ของนางดึงดูดผู้ชายอย่างไร “เจ้าต้องการเข้ามิติลับในฐานะนักศึกษาหรืออาจารย์?”
หลังจากซูอันเอาชนะหยวนเหวินตงและหยวนเหวินจี้ในการประลองไม่มีใครตั้งคำถามถึงคุณสมบัติของเขาในการเข้าสู่มิติลับอีกต่อไป
“แน่นอนว่าข้าต้องการเข้าไปในฐานะอาจารย์!” ซูอัน ตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
การเป็นอาจารย์มันดูดีสำหรับเขา และเขาสามารถใช้ประโยชน์จากฐานะอาจารย์ได้อีกด้วย
“ในฐานะอาจารย์ เจ้าจะต้องรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของนักศึกษาในมิติลับ” เจียงลั่วฝูกล่าวต่อ
ซูอันตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดนี้ เขาจะเข้าไปในมิติลับหยกจรัสเพื่อตามหาดอกบัวเร้นลักษณ์ ดังนั้นมันคงไม่สะดวกถ้าเขาจะต้องดูแลนักศึกษาคนอื่น ๆ ดังนั้นเขาจึงโต้แย้งอย่างรวดเร็ว “จุดประสงค์ของนักศึกษาที่เข้าไปในมิติลับคือการฝึกฝนตัวเองไม่ใช่หรือ? ถ้าเราคอยปกป้องพวกเขาจากอันตรายมันก็ถือเป็นการผิดจุดประสงค์น่ะสิ เด็ก ๆ จะไม่มีวันเติบโตถ้าเราเอาแต่ซุกพวกเขาไว้ใต้ปีกของเราเหมือนลูกนก!”
“เด็กๆ?” เจียงลั่วฝูพูดไม่ออก เขาเองก็เป็นนักศึกษาเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? เขาเองก็เป็นเด็กเหมือนกันไม่ใช่เหรอไง? นางถอนหายใจ ก่อนอธิบายเรื่องนี้
“มิติลับเต็มไปด้วยอันตราย มีผู้บาดเจ็บล้มตายทุกครั้งเสมอที่เปิดมิติลับซึ่งเป็นเหตุให้สถาบันการศึกษาทุกแห่งต้องกำหนดข้อจำกัดบางประการ ผู้ที่สามารถไปมาได้อย่างอิสระในมิติลับได้มีเพียงผู้บ่มเพาะระดับห้าและผู้บ่มเพาะระดับสี่ที่ถูกเลือกเท่านั้น ที่เหลือต้องติดตามกลุ่มที่นำโดยอาจารย์”
หลังจากเข้าใจอย่างคร่าว ๆ ในที่สุดซูอันก็พยักหน้าและกล่าวว่า “ไม่มีปัญหา คงไม่มีนักศึกษาคนไหนเลือกกลุ่มของข้าอยู่ดี”
“…” เจียงลั่วฝู
ลืมไปเลยว่ากระบวนการคิดของคนคนนี้แตกต่างจากคนอื่น ๆ จริง ๆ ฮ่าฮ่า
“ไม่เป็นไร งั้นเรามาเริ่มเรื่องที่สองกันดีกว่า” เจียงลั่วฝูกล่าว “สถาบันต้องการให้เจ้าดูแลธุรกิจทั้งหมดของสำนักดอกบ๊วยแทนเรา เจ้าคงเข้าใจว่าเราเป็นสถาบันการศึกษา มันไม่เหมาะที่เราจะจัดการกับธุรกิจใต้ดินแบบนี้”
ซูอันรู้สึกขบขัน “ข้ามอบตั๋วหนี้ให้ท่านแล้วไม่ใช่หรือไง? ท่านควรจะเป็นคนดูแลเรื่องพวกนี้เองสิมาโยนให้ข้าได้ยังไง?
“คดีของเจ้าจบลงด้วยการส่งเหมยเชาฟงเข้าคุก สำนักดอกบ๊วยกำลังใกล้จะล่มสลายแล้ว และตอนนี้มีคนจำนวนมากกำลังจับจ้องธุรกิจที่ร่ำรวยของสำนักดอกบ๊วยอยู่ อย่างไรก็ตามพวกเขายังคงคุมเชิงกันและกันอยู่ ดังนั้นจึงยังไม่มีฝ่ายไหนสามารถเคลื่อนไหว” เจียงลั่วฝูพูดขึ้น
“อย่างไรก็ตาม มันแตกต่างสำหรับเจ้า ทุกคนรู้ดีว่าสำนักดอกบ๊วยเป็นหนี้เจ้า 7,500,000 ตำลึงเงิน ดังนั้นเจ้าจึงมีสิทธิชอบธรรมที่จะเข้าครอบครองธุรกิจของพวกเขาได้ทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้น…สถาบันจันทร์กระจ่างจะให้การสนับสนุนเจ้าอยู่เบื้องหลัง ทุกสิ่งจะกลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับเจ้า”
“นี่ท่านกำลังจะให้ข้ายืมชื่อตระกูลฉู่ สำหรับเรื่องนี้ใช่ไหม?” ซูอันถามกลับ