บทที่ 295 ข้าคือจิ๋นซีฮ่องเต้!
คำพูดของซูอัน ที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ฉู่ชูเหยียนเบิกตาโพลงด้วยความตกตะลึง แม้แต่เฉียวเสวี่ยอิงก็ยังลืมตาขึ้นมามองว่าเขาคุยกับใคร?
ผู้หญิงสองคนมองไปรอบ ๆ แต่ไม่มีใครในบริเวณนั้นนอกจากพวกเขา และ…แม่ทัพผีดิบ
“จางฮั่น…เจ้าเรียกข้าว่าจางฮั่นเหรอ?!” แม่ทัพผีดิบตัวสั่นก่อนที่เขาจะตอบอย่างโหยหา “เป็นเวลานานแล้วที่ไม่มีใครเรียกข้าด้วยชื่อนี้! ข้าเกือบลืมชื่อของตัวเองไปแล้ว!”
เฉียวเสวี่ยอิงอ้าปากค้างจนกรามแทบจะตกลงไปถึงพื้น แม่ทัพผีดิบมีชื่อ แถมซูอันยังรู้อีก? โลกนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ฉู่ชูเหยียนก็ตกตะลึงเช่นกัน ซูอันได้สร้างความประหลาดใจให้กับนางมากมายในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ความลับของเขาปรากฏขึ้นเรื่อย ๆ มันกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของนาง นางตระหนักว่าที่ผ่านมานางไม่เคยได้รู้จักชายหนุ่มอย่างแท้จริงมาก่อนเลย
“เจ้ารู้ชื่อข้าได้อย่างไร?” จางฮั่นหันไปถามซูอัน ในแววตาเต็มไปด้วยความสงสัย
ซูอันยิ้มและพูดว่า “ถ้าข้าบอกว่าเราเป็นสหายกันในชาติที่แล้ว เจ้าจะเชื่อข้ามั้ย?”
บัดซบ! นี่เขาต้องเสียเงินอีก 100,000 ตำลึงเงิน…เพื่อใช้ทักษะ ‘เป็นมิตรกับเศรษฐี’
เขาได้เรียนรู้จากความล้มเหลวครั้งก่อนในการใช้ทักษะนี้กับซือคุน ความจริงก็คือ แม้ว่าเขาจะเป็นเพื่อนกับเป้าหมาย เขาก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนความตั้งใจของเป้าหมายได้ ดังนั้นเขาจึงต้องค่อย ๆ ตะล่อมอีกฝ่ายให้เข้าสู่จุดหมายแทนที่จะพูดออกมาตรง ๆ
“สหาย?” จางฮั่นตกตะลึงครู่หนึ่งก่อนที่จะหัวเราะออกมา “ข้า จางฮั่น ไม่เคยมีสหายมาก่อนและข้าจะไม่มีวันมีด้วย!”
แม้จะกล่าวคำพูดเหล่านั้น ซูอันก็สังเกตเห็นว่าใบมีดยักษ์ทั้งสองบนอากาศขยับไปด้านข้างเล็กน้อยโดยที่จางฮั่นคงไม่ทันรู้ตัว
เขาถอนหายใจเบา ๆ และพูดว่า “รู้ไหม มันมีคำ ๆ หนึ่งสำหรับคนอย่างเจ้า ซึ่งคำนั้นคือ ซึนเดเระ!*[1] เจ้าแน่ใจเหรอว่าไม่อยากมีสหาย? เจ้าจะต้องเหงาแน่ ๆ กับการเฝ้าสุสานไร้ชีวิตนี้เพียงลำพังมานมนานจริงไหม?”
จางฮั่นเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะถอนหายใจ “เหงา? เวลาไม่มีความหมายอะไรกับข้า ความเหงาจะนับว่าเป็นอะไรได้?”
ทั้งเฉียวเสวี่ยอิงและฉู่ชูเหยียนต่างชำเลืองมองกันและกันด้วยความงุนงง ฉากตรงหน้าพวกนางเข้าใจยากเกินไป ในส่วนลึกของสุสานใต้ดินแห่งนี้ ซูอันกำลังถกเถียงเชิงปรัชญากับผีดิบตัวหนึ่งจริงหรือ?
อย่างไรก็ตาม จางฮั่นก็รู้สึกตัวในไม่ช้า มันจ้องไปที่ซูอันด้วยดวงตาที่ลุกโชนราวกับดวงอาทิตย์ในขณะที่ถามว่า “เจ้าเป็นใครกันแน่? เจ้ารู้จักชื่อข้าได้อย่างไร?”
“ผู้หญิงที่ชื่อหมี่ลี่เคยบอกข้าเอาไว้” ชายหนุ่มตอบกลับ
เขาพูดอย่างระวังกับแม่ทัพผีดิบเผื่อจะได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากปฏิกิริยาของมัน
“หืม?” เสียงอุทานที่ฟังดูประหลาดใจดังมาจากส่วนลึกของใต้สระน้ำ อย่างไรก็ตาม มันเบามากจนคนอื่นนอกจากซูอันแล้วไม่มีใครได้ยินเลย
“ฝ่าบาท? ไม่ เป็นไปไม่ได้!” จางฮั่นส่ายหัว มันรู้สึกเหมือนเพิ่งรู้บางสิ่งที่น่ากลัว
“ฝ่าบาท?” ดวงตาของซูอัน เป็นประกายขึ้นในขณะที่เขาจำเกร็ดประวัติศาสตร์ในชีวิตก่อนหน้านี้ได้
หลังจากที่กลายเป็นศัตรูกับอาณาจักรจิน ในไม่ช้าอาณาจักรฉิน ก็เสนอการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ทางการเมืองกับอาณาจักรฉู่ เพื่อร่วมมือกันโจมตีอาณาจักรจินและพันธมิตร ซึ่งเป็นเรื่องประจวบเหมาะที่อาณาจักรฉู่นั้นเป็นศัตรูกับอาณาจักรจินอยู่แล้ว ดังนั้นอาณาจักรฉู่จึงไม่ได้คิดนานเลยก่อนที่จะตัดสินใจตกลงร่วมมือ
อีกร้อยปีถัดมา อาณาจักรฉินและอาณาจักรฉู่ได้สานสัมพันธ์กันโดยการแต่งงานระหว่างกัน ฮองเฮาแห่งแคว้นฉินมักจะเป็นเจ้าหญิงที่มาจากอาณาจักรฉู่ และพวกผู้ชายที่เป็นเชื้อพระวงศ์ของอาณาจักรฉู่ก็มักจะใช้แซ่ ‘เซี่ยง’ ในขณะที่ผู้หญิงใช้แซ่ ‘หมี่’
‘หมี่’ เป็นแซ่ที่หายากอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงง่ายที่จะเชื่อมโยงกับอาณาจักรฉู่
อย่างไรก็ตาม เจ้าหญิงของอาณาจักรฉู่ที่แต่งงานกับราชวงศ์ฉิน ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีบทบาทอะไรสักเท่าไหร่ ตามทฤษฎีแล้ว มีเพียงสองคนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะถูกเรียกได้อย่างเต็มปากว่าเป็นจักรพรรดินีอย่างแท้จริง*[2]
อย่างไรก็ตาม จากสิ่งที่เขารู้ ทั้งจิ๋นซีฮ่องเต้และฉินเอ้อร์ซี ก็ไม่มีบันทึกทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับจักรพรรดินีของพวกเขา
“เจ้ารู้นามของนางได้อย่างไร? ไม่น่าจะมีใครในโลกนี้ที่รู้ว่านางเป็นใคร! เจ้าเป็นใครกันแน่?” แม่ทัพผีดิบรีบวิ่งมาหาซูอัน ขณะที่มันพูดด้วยน้ำเสียงที่ร้อนรน
ต่อหน้าแม่ทัพผีดิบในระยะใกล้ทำให้ชายหนุ่มหายใจลำบาก ซูอันกลืนน้ำลายอย่างหวาดกลัว ขณะที่หัวใจของเขาสั่นเทาด้วยความลังเล ควรลองเสี่ยงดูหรือไม่?
เขารู้ว่าแม้ว่าแม่ทัพผีดิบจะมองว่าเขาเป็นเพื่อน แต่ก็ไม่น่าเป็นไปได้ที่จะปล่อยฉู่ชูเหยียนไป ดังนั้นเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลองดู
ถ้าข้าพูดถูก ทุกอย่างจะดี ถ้าข้าพูดผิด ท้ายที่สุดมันจะลงเอยด้วยความตายของทุกคน
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ถามว่าข้าเป็นใครงั้นเหรอ?” ซูอันระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
เฉียวเสวี่ยอิงหันไปมองเขาด้วยท่าทางงุนงง เจ้านี่ไม่เคยกลัวว่าจะดูโง่เลยหรือไง?
“ข้าคือผู้ที่อยู่เหนือ สามราชาห้าจักรพรรดิ*[3] ก่อนก้าวขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์แรกของโลก! ข้ามีนามว่า จิ๋นซีฮ่องเต้, อิ่งเจิ้ง!*[4]” ซูอัน พูดขึ้นพร้อมกับเชิดหน้าทำท่าทำทางภาคภูมิในศักดิ์แห่งราชวงศ์ของตน
“ข้าจะไม่รู้ชื่อจักรพรรดินีของข้าได้อย่างไร?”
ในพื้นที่ที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของสุสานใต้ดิน ภายในโลงศพคริสตัลขนาดใหญ่ ร่างของหญิงสาวสวยคนหนึ่งที่ถูกประดับประดาด้วยเครื่องประดับที่จักรพรรดินีเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์สวมใส่แต่เพียงผู้เดียว นางลืมตาและสบถอย่างรุนแรงทันที “ไอ้เวรนั่น! มันกล้าดียังไงถึงแอบอ้างเป็นสามีข้า!”
ทางด้านของจางฮั่นมันตกตะลึงอย่างยิ่ง ก่อนจะเดินโซเซถอยหลังไปสองสามก้าวด้วยความตกใจก่อนจะพึมพำอย่างแผ่วเบา “ฝ่าบาท?”
เฉียวเสวี่ยอิงถึงกับงงงัน นางไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่พวกเขาพูดได้เลย
จักรพรรดิไหน? จิ๋นซีฮ่องเต้? ทำไมข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน? โชคดีที่ไม่มีใครอื่นที่นี่ มิฉะนั้น หากมีข่าวว่าเขาประกาศตัวเองเป็นจักรพรรดิ ตระกูลฉู่ทั้งหมดจะต้องถูกประหารชีวิตพร้อมกับเขา
มีเพียงฉู่ชูเหยียนเท่านั้นที่ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น นางจำได้ว่าได้ยินชื่อเหล่านั้นจากบันทึกทางประวัติศาสตร์ในสถาบันการศึกษา แต่มีรายละเอียดน้อยมากที่ระบุไว้ในนั้น โลกนี้ไม่ได้มีพงศาวดารหรืออะไรให้ศึกษามากนัก
“จางฮั่น ทำไมเจ้าไม่คุกเข่าต่อหน้าข้า!” ซูอันคำรามอย่างน่าเกรงขาม ทั้งที่ในใจประหวั่นพรั่นพรึง นี่ข้าเล่นใหญ่เกินไปหรือเปล่า?
“เสนาบดีวัง จางฮั่น ขอถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงอายุยืนหมื่นปี หมื่น ๆ ปี!”
แม่ทัพผีดิบคะเนเอาจากความรู้สึกใกล้ชิดระหว่างซูอันกับมันก่อนหน้านี้ว่าเป็นความจริง มันจึงคุกเข่าและก้มลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวทั้งสองตกใจมากจนลูกตาแทบหลุดออกจากเบ้า ไม่น่าเชื่อว่าผู้ที่ทรงพลังอย่างแม่ทัพผีดิบกำลังทำความเคารพต่อซูอัน
ฉู่ชูเหยียนตกอยู่ในห้วงความคิด แม่ทัพผีดิบระบุว่าตนเองเป็นเสนาบดีพระราชวัง ซึ่งเป็นหนึ่งในเก้าเสนาบดีใหญ่ เขามีหน้าที่เก็บภาษีที่ดินและจัดการห้องนิรภัยของราชวงศ์ รับผิดชอบในการบำรุงรักษาสวนของจักรพรรดิ ห้องของจักรพรรดิ และเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอาคารทั้งหมด
ผู้ที่จะอยู่ในตำแหน่งนี้ได้อย่างน้อย ๆ จะต้องมีระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ระดับเก้าขึ้นไป นั่นจึงอธิบายได้ว่าทำไมแม่ทัพผีดิบถึงแข็งแกร่งมาก นอกจากนี้ยังอธิบายได้ว่าทำไมสถานที่นี้จึงคล้ายกับสุสานของราชวงศ์
แต่เกิดอะไรขึ้นกับอาซู? เขาคือ อิ่งเจิ้ง ที่เขาอ้างว่าตัวเองเป็นจริง ๆ งั้นหรือ?
“เจ้าจะตรึงร่างข้าไว้อีกนานแค่ไหน?” ซูอันกล่าวอย่างเย็นชา
“ข้าน้อย ไม่กล้า!” จางฮั่นรีบปลดพันธนาการรอบตัวชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว แต่ในใจก็ยังคิดสงสัยว่าทำไมจักรพรรดิถึงอ่อนแอนัก?
เมื่อลองเดาความคิดของมันแล้ว ซูอันจึงกล่าวเสริมว่า “ข้าเพิ่งฟื้นความทรงจำและยังไม่ได้พลังกลับคืนมา เจ้าลุกขึ้นได้!”
จางฮั่นพอใจกับคำอธิบาย มันพยักหน้ารับรู้ “ขอบพระทัยฝ่าบาท! ดูเหมือนว่าซูฟูจะประสบความสำเร็จในการตามหายาอายุวัฒนะมาถวายฝ่าบาท ขอแสดงความยินดี ฝ่าบาท!”
ซูอันตกตะลึง
ว้าว นี่มันน่าเหลือเชื่อจริง ๆ มันเหมือนกับที่ข้าเคยอ่านเกี่ยวกับเรื่องของราชวงศ์ฉินในชีวิตก่อนหน้านี้… ว่าแต่ราชวงศ์ฉิน เมื่อในอดีตในโลกของข้ามีผู้บ่มเพาะที่น่าเกรงขามด้วยเหมือนกันหรือเปล่า?
มีบางอย่างผิดปกติซะแล้ว!
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากชายหนุ่มได้ขึ้นขี่หลังเสือแล้ว ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปให้ถึงจุดหมาย ดังนั้นเขาจึงถอนหายใจและพูดว่า “เหตุผลคืออะไร? ทำไมราชวงศ์ฉินที่ยิ่งใหญ่ของข้าถึงได้ล่มสลายลง!”
จางฮั่นคุกเข่าลงบนพื้นอย่างรวดเร็วและร้องออกมา “ฝ่าบาท! ข้าน้อยสมควรตาย ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง!”
[1] *เป็นคำจำกัดความของบุคลิกภาพแบบหนึ่งที่มักจะปรากฏในอนิเมะและมังงะ หมายถึง บุคลิกที่เมื่อแรกเริ่มจะไม่เป็นมิตร ดุ และเย็นชา แต่มาภายหลังกลับเปลี่ยนเป็น อ่อนไหว อ่อนหวาน ดูนุ่มนวล
[2] *ความแตกต่างระหว่างอาณาจักรฉิน และราชวงศ์จิน ก่อนที่จะรวมที่ราบตอนกลางได้สำเร็จ บรรดาอาณาจักรน้อยใหญ่ต่างตั้งอาณาจักรของตนเองขึ้นมาและผู้ปกครองต่างใช้คำนำหน้าตัวเองว่ากษัตริย์และราชินี แต่หลังจากที่อาณาจักรฉินรวบรวมแผ่นดินได้เป็นปึกแผ่นแล้วผู้ปกครองอาณาจักรฉินเปลี่ยนคำนำหน้าตนเองเป็นจักรพรรดิและจักรพรรดินีแทน
[3] *พวกเขาเป็นผู้ปกครองในตำนานของจีนโบราณ จิ๋นซีฮ่องเต้เชื่อว่าตัวของเขาเองอยู่เหนือผู้คนทั่วหล้า ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงนำคำสองคำมารวมกันเพื่อเน้นตำแหน่งที่สูงของเขา
[4] *จิ๋นซีฮ่องเต้ ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ฉินในขณะที่ อิ่งเจิ้ง เป็นชื่อเกิดของเขา