บทที่ 361 โจมตีซือคุน!
บทที่ 361 โจมตีซือคุน!
“เจ้าออกไปเดี๋ยวนี้ ข้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้า!” เฉียวเสวี่ยอิงค่อย ๆ ฟื้นกำลังและผลักเขาออกไป “มีแค่แม่นางจี้อยู่ที่นี่ก็พอแล้ว”
“ก็ได้ ๆ ข้าจะรออยู่แถว ๆ นี้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็เรียกข้าแล้วกัน” ซูอันวางนางลงอย่างระมัดระวังก่อนจะเดินจากไป เจตนาไม่ซื่อของเขาจะชัดเจนเกินไปถ้าเขายืนกรานอยู่ที่นี่ต่อ
หลังจากที่ชายหนุ่มจากไป เฉียวเสวี่ยอิงก็เริ่มสวมเสื้อผ้าของนางอย่างรวดเร็ว ขณะที่นางพูดเบา ๆ “แม่นางจี้ เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้…”
จี้เสี่ยวซียิ้มเบา ๆ และตอบว่า “พี่เฉียว ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่บอกใคร”
“ขอบคุณ…” เฉียวเสวี่ยอิงไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงการถูกพิษจากงูเหลือมเกล็ดแดงหรือเรื่องที่นางเปลือยกายอยู่ในอ้อมแขนของซูอัน แต่จะเป็นเรื่องไหนนางก็ไม่กล้าถาม
หลังจากสวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว นางเริ่มสนทนากับจี้เสี่ยวซีโดยไม่สนใจซูอัน ซึ่งมันทำให้ชายหนุ่มสับสนอย่างมากว่าเขาไปทำอะไรให้นางขุ่นเคืองใจนัก?
หลังจากนั้นไม่นาน ฉู่ชูเหยียนก็กลับมา อันที่จริงนางไม่ได้เดินไปไหนไกลเกินไป ก่อนหน้านี้นางแค่ไม่รู้ว่าจะสู้หน้าซูอันได้อย่างไร…?
แต่เมื่อได้ยินว่ามีการต่อสู้ที่นี่ นางจึงรีบกลับมาเพราะกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น และเมื่อนางเห็นศพของงูเหลือมเกล็ดแดง นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
นางสอบถามเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ แต่ทั้งซูอันและเฉียวเสวี่ยอิงต่างให้คำอธิบายที่คลุมเครือ แม้แต่จี้เสี่ยวซีก็มีสีหน้าแปลก ๆ ซึ่งทำให้นางสงสัย แต่นางไม่ได้คาดเค้นให้คนอื่นพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นออกมา เพราะหญิงสาวไม่มีนิสัยชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นอยู่แล้ว
พวกเขาใช้เวลาสองวันถัดไปในการพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ ในไม่ช้า ก็เป็นวันที่การสำรวจมิติลับสิ้นสุดลง
ซูอันคิดว่าพวกเขาจะต้องกลับไปที่จุดเริ่มต้น แต่ในไม่ช้าชายหนุ่มก็รู้สึกสับสนว่าทำไมนักศึกษาคนอื่น ๆ ไม่กลับรวมตัวกัน อย่างไรก็ตาม ฉู่ชูเหยียนบอกเขาว่ามิติลับจะส่งพวกเขาออกไปโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเมื่อหมดเวลา และไม่จำเป็นต้องกลับไปทางประตูอีก
ในไม่ช้า ความรู้สึกไร้น้ำหนักที่คุ้นเคยได้โอบล้อมพวกเขาไว้จากนั้นสภาพแวดล้อมก็เริ่มบิดเบี้ยวเล็กน้อย ซูอันอดไม่ได้ที่จะคิดว่าการที่เขารู้สึกคุ้นเคยเป็นเพราะมีประสบการณ์หลายครั้งตอนที่เข้าสู่ผนึกปราบปรามวิญญาณ ว่าแต่…นั่นถือเป็นมิติลับซ้อนมิติลับงั้นเหรอ?
เมื่อรู้สึกตัว ซูอันก็ตระหนักว่าตัวเองกลับมาที่ภูเขาด้านหลังสถาบันจันทร์กระจ่างแล้ว ฉู่ชูเหยียน เฉียวเสวี่ยอิง และจี้เสี่ยวซีก็ยืนอยู่ข้าง ๆ เขา ส่วนนักศึกษาคนอื่น ๆ ก็ค่อยๆ ถูกเคลื่อนย้ายออกมาทีละคนสองคน
ซูอันมองไปรอบ ๆ ทันใดนั้นเขาก็เห็นร่างของซือคุน เมื่อนึกถึงทุกสิ่งที่ผ่านมา ความเกลียดชังก็พุ่งเข้ามาในหัวของเขา เขาพุ่งเข้าใส่ซือคุน ทันทีด้วยกระบี่ไท่เอ๋อร์ในมือ!
“ตายซะ ไอ้ลูกหมาซือคุน!”
นักศึกษาคนอื่น ๆ ทั้งหมดมัวแต่สนใจสิ่งที่พวกเขาได้รับจากมิติลับ และอาจารย์คนอื่น ๆ ก็ยุ่งอยู่กับการนับจำนวนคนเพื่อตรวจสอบจำนวนผู้บาดเจ็บล้มตาย ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีคนต่อสู้กันทันทีหลังจากถูกเคลื่อนย้ายออกจากมิติลับมา
ซือคุนรู้สึกแย่มากเมื่อเห็นว่าซูอันยังมีชีวิตอยู่ แต่จู่ ๆ เมื่อซูอันควงกระบี่เข้ามาหาเขา ก็ยิ่งตกตะลึงสุดขีดและชักอาวุธออกมาป้องกันตัวเองโดยสัญชาตญาณ
จากนั้นเพียงแค่ชั่วอึดใจ ฝูงชนก็ต้องตกตะลึงเมื่อได้เห็นภาพที่กระบี่ของซือคุนถูกตัดออกเป็นสองซีกต่อหน้าต่อหน้า ทุกคนโหวกเหวกโวยวายด้วยความตื่นตกใจ
นี่เป็นไปได้ยังไง!?
นี่เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อสำหรับพวกเขาเนื่องจากอาวุธของซือคุนเป็นอาวุธระดับปฐพี นอกจากนี้ ต่อให้ซือคุนจะถือแค่แท่งไม้ แต่ผู้บ่มเพาะระดับห้าอย่างเขาก็ไม่ควรจะเสียเปรียบซูอันขนาดนี้
ไม่มีทางที่พวกเขาจะจินตนาการได้ว่าความแข็งแกร่งและความเร็วที่แท้จริงของซูอันนั้นเทียบได้กับผู้บ่มเพาะระดับห้าแล้ว และกระบี่ไท่เอ๋อร์ก็เป็นอาวุธโบราณในตำนาน แม้ว่าจิตวิญญาณแห่งกระบี่ของมันจะได้รับความเสียหาย แต่อย่างน้อยมันก็เป็นอาวุธที่อยู่ในระดับสวรรค์อย่างแน่นอน…
ไม่ต้องพูดถึงว่ามันยังเกี่ยวกับสภาพจิตใจที่แตกต่างกันอย่างมากอีกด้วย คนหนึ่งพุ่งไปข้างหน้าด้วยความโกรธและเกลียดชังในขณะที่อีกคนกำลังรู้สึกผิดพลาดและตกใจ ด้วยเงื่อนไขเช่นนี้ มันจึงเป็นเรื่องปกติที่อาวุธของซือคุนจะถูกกระบี่ไท่เอ๋อร์ทำลายอย่างง่ายดาย
ซือคุนไม่คาดคิดว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างนี้เช่นกัน เขาได้แต่มองอย่างช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ขณะที่กระบี่ของซูอันพุ่งเข้ามาใกล้หน้าอกของเขาอย่างรวดเร็ว ร่างกายของเขาแข็งทื่อไปหมด ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นการโต้ตอบหรือหลบหนี
“รนหาที่ตาย!!!”
แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องตะโกนดังขึ้นมา และร่างที่เต็มไปด้วยแรงกดดันมหาศาลก็พุ่งเข้าหาซูอันอย่างประสงค์ร้าย
ซูอันไม่ต้องมองหาก็รู้ว่าคนที่ปกป้องซือคุนคือ ซือเล่อจื่อ เนื่องจากเขาได้รับการแจ้งเตือนจากคะแนนความโกรธแค้นที่เข้ามา
—
ท่านยั่วยุซือเล่อจื่อสำเร็จ
ได้รับคะแนนความโกรธแค้น + 444!
—
ทันใดนั้น ซูอันก็พบว่าตัวเองไม่สามารถหายใจได้ ช่องว่างของการบ่มเพาะระหว่างทั้งสองคนนั้นใหญ่เกินไป ในตอนนี้การจัดการกับผู้บ่มเพาะระดับแปดเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับเขา
ซูอันอยากจะหลบไปด้านข้าง แต่การขยับแม้แต่นิ้วเดียวภายใต้แรงกดดันของอีกฝ่ายนั้นเป็นเรื่องยาก เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงโคจรวิชาปฐมบทแรกเริ่มเพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับต้านทานการโจมตีจากซือเล่อจื่อ
แต่ในตอนนั้นเองที่เกิดเงาสีขาววาบผ่านมา
หากมีใครรู้ล่วงหน้าว่าซูอันจะโจมตีซือคุน คน ๆ นั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฉู่ชูเหยียน นางรู้ดีว่าเขาทำเพื่อล้างแค้นให้นาง
นางถูกบังคับให้ถึงจุดที่จบลงด้วยการทำลายเส้นลมปราณของตัวเอง และคงไม่สามารถรอดกลับมาได้ถ้าไม่บังเอิญเจอดอกบัวเร้นลักษณ์ ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องบังเอิญดี ๆ ทั้งหมดหลังจากนั้น นางคงกลายเป็นคนพิการไปแล้วในตอนนี้
ไม่ต้องพูดถึงว่าซือคุนถึงกับกล้าโลภในตัวนาง ทั้ง ๆ ที่เขารู้ว่ายังไงเสียนางก็ต้องพิการอยู่แล้ว
จริง ๆ แล้ว แม้ว่าซูอันจะไม่ได้โจมตีซือคุน แต่นางก็คงจะไม่ปล่อยให้ ซือคุนรอดไปได้เช่นกัน ดังนั้น เมื่อเห็นซูอันพุ่งเข้าไปหาซือคุน นางก็เดาได้ว่า ซือเล่อจื่อที่น่าจะอยู่ในบริเวณใกล้เคียงจะต้องสอดมือเข้ามาแน่นอน นางจึงเตรียมพร้อมเอาไว้เช่นกัน
ตูม!
เสียงระเบิดดังขึ้น ซือเล่อจื่อยืนนิ่งอยู่ด้านหน้าซือคุน ในขณะที่ฉู่ชูเหยียนกอดซูอันเอาไว้ พวกนางถูกแรงกระแทกไถลมากว่าสามสิบเมตรก่อนที่นางจะตั้งตัวได้ในที่สุดโดยมีเลือดสด ๆ ไหลออกมาจากริมฝีปากของนาง
แม้ว่าระดับบ่มเพาะของนางจะใกล้ถึงระดับเจ็ดแล้ว แต่นางก็ยังอ่อนแอกว่าซือเล่อจื่อที่เป็นผู้บ่มเพาะระดับแปดอยู่ถึงสองระดับ!
ซูอันรีบถาม “เจ้าเป็นยังไงบ้าง?!”
ข้าจะทำอย่างไรถ้านางบาดเจ็บสาหัสอีกครั้งหลังจากที่ข้าเกือบจะไม่สามารถรักษานางได้? เอ่อ…นี่ข้าไม่ได้กำลังหาเหตุผลที่จะ แค่ก ๆ… ข้าหมายถึงทำกิจของสามีภรรยาเพื่อช่วยเหลือนางอีกครั้ง?
ฉู่ชูเหยียนส่ายหัวและตอบว่า “ไม่ แค่บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น”
“อ้อ…” ซูอันรู้สึกผิดหวัง
ปฏิกิริยาของเขาทำให้ฉู่ชูเหยียนสับสน สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับซูอัน ทำไมเขากลับดูไม่พอใจเมื่อนางบอกว่าตัวเองไม่เป็นไร?
ฝูงชนที่อยู่รายรอบก็ยิ่งคึกคักและเริ่มกระซิบกระซาบกันเอง
“เป็นอย่างที่ข้าคิดจริง ๆ ผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งที่สุดของสถาบันจันทร์กระจ่างของเราอย่างคุณหนูใหญ่ตระกูลฉู่ จะสามารถยืนหยัดต่อสู้กับผู้บ่มเพาะระดับแปดได้!”
“ไม่น่าใช่หรอก เห็นกันอยู่ชัด ๆ ว่าผู้บ่มเพาะของตระกูลซือออมมือให้นาง ไม่อย่างนั้น ผู้บ่มเพาะระดับแปดย่อมสามารถสังหารผู้บ่มเพาะระดับห้าได้อย่างง่ายดายเหมือนกับการเชือดไก่!”
“ใช่ ดูเหมือนว่าตระกูลซือจะยอมอ่อนข้อให้นาง”
นอกจากนี้ยังมีเสียงไม่พอใจปะปนอยู่ในฝูงชนด้วย
“เจ้าพูดราวกับว่าตระกูลซือกล้าที่จะแตะต้องคุณหนูฉู่ จริง ๆ งั้นแหละ! นี่เราอยู่ในเมืองจันทร์กระจ่างนะ! หากตระกูลซือกล้าแตะต้องคุณหนูฉู่ ไม่ต้องพูดถึงความโกรธของอ๋องฉู่ แม้แต่สถาบันเองก็คงไม่ยอมให้เรื่องนี้จบลงไปง่าย ๆ!”
ในขณะเดียวกัน ซือเล่อจื่อมองไปที่ฉู่ชูเหยียนด้วยสีหน้าตกใจ เขารู้ดีว่าตัวเองไม่ได้มีโอกาสที่จะจัดการซูอันได้ง่าย ๆ ดังนั้น เมื่อมีโอกาสที่จะเอาชีวิตของซูอัน เขาจึงต้องรีบคว้าเอาไว้
แต่ฉู่ชูเหยียนเข้ามาขัดขวาง เขาแปลกใจว่าทำไมนางถึงสามารถรับการโจมตีของเขาได้โดยมีอาการบาดเจ็บแค่เพียงเล็กน้อย นี่นางเป็นผู้บ่มเพาะระดับห้าจริง ๆ เหรอ? ทำไมถึงรู้สึกเหมือนว่านางกำลังเข้าใกล้ระดับที่เจ็ดแล้ว?