บทที่ 18 เจ้าช่วยแบกของไปส่ง
เหยาเล่ยยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน ปัดเศษไม้บนร่างเบา ๆ ก่อนที่จะเรียกทั้งสองเข้าบ้าน “ท่านปู่สามหูไม่ค่อยดี เข้ามาคุยในบ้านเถอะ!”
บ้านของปู่เหยาสามยังคงดูเงียบสงัด ทว่าภายในมีเครื่องไม้เครื่องมือของช่างไม้มากมาย แม้กระทั่งมีดแกะสลักก็มีทั้งเล็กใหญ่ห้าถึงหกเล่ม
ปู่เหยาสามเพิ่งกินข้าวเสร็จ กำลังงีบหลับหลังพิงกำแพง
เหยาเล่ยเดินเข้าไปและปลุกเขาเบา ๆ “ปู่เหยาสาม พี่เฟิงกับน้องสาวเขามาแล้วขอรับ”
เมื่อชายชราได้สติ เขาก็เห็นเหยาเฟิงและเหยาซูยืนอยู่ไม่ไกล เขาลุกขึ้นและกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าอายุมากแล้ว เลยเผลอนอนหลับไป รีบเข้ามานั่งก่อนสิ!”
เหยาเล่ยจัดโต๊ะและเก้าอี้อย่างคล่องแคล่ว พร้อมเชิญสองพี่น้องตระกูลเหยาเข้ามานั่ง เหยาซูกล่าวกับชายชราอย่างจริงใจ “ลำบากท่านปู่แล้วเจ้าค่ะ”
คิดว่าหลายวันมานี้ปู่เหยาสามคงใช้เวลาไม่น้อยในการแกะสลักกล่องให้กับนาง ไม่เช่นนั้นคงไม่งีบหลับตอนกลางวันแสก ๆ
ปู่เหยาสามโบกมือ “ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก คนเราต้องทำมาหากินแค่นี้เรื่องเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องพูดถึงมัน”
เหยาเฟิงหยิบถุงเส้นบะหมี่ที่ทำจากแป้งข้าวโพดขึ้นมาแล้วส่งให้กับเหยาเล่ย บอกให้เขาเข้าไปในครัวแล้วเก็บมันให้กับชายชรา
ปู่เหยาสามกล่าวตำหนิขึ้นทันที “มาก็มาแต่ตัวก็พอ ไม่จำเป็นต้องเอาของมามากมาย! หากครั้งต่อไปยังทำเช่นนี้อีกก็ไม่ต้องมา!”
เหยาเฟิงเพียงแค่หัวเราะ ทว่าไม่ได้พูดอะไร
หลังจากทักทายกัน ปู่เหยาสามก็หยิบกล่องที่แกะสลักเสร็จแล้วออกมาให้กับเหยาซู “สาวน้อย เจ้าดูสิว่างานแกะสลักของปู่สามนั้นถูกใจเจ้าหรือไม่?”
กล่องบรรจุชาดสี่สิบกล่องที่ผ่านการแกะสลักลวดลายแตกต่างกันได้ถูกบรรจุไว้ในกล่องขนาดใหญ่สี่กล่อง
เหยาซูหยิบขึ้นมากล่องหนึ่ง วางบนฝ่ามือนางเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียด
เพียงแค่เห็นกล่องเล็กขนาดเท่าฝามือถูกแกะสลักด้วยลวดลายที่สวยงาม บนฝากล่องสลักดอกไม้ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ นกโผบิน เต่าทองและปลาหยวนเป่าราวกับมีชีวิต ส่วนกล่องเรียบ ๆ ถูกเคลือบด้วยสีแดงเข้ม ด้านล่างมีอักษร ‘เหยา’ สลักอยู่
ทั้งวัสดุและการแกะสลักเหมือนดั่งกับภาพวาดของนาง นี่แหละคือสิ่งที่นางต้องการ!
เหยาซูกล่าวด้วยความชื่นชม “ฝีมือของท่านปู่สามยอดเยี่ยมจริง ๆ เจ้าค่ะ!”
แม้แต่เหยาเฟิงที่ไม่ชอบสนใจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ยังถือกล่องเล็ก ๆ ที่แกะสลักเป็นเต่าทองแล้วกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “แม้แต่ในเมืองข้าก็ยังไม่เคยเห็นช่างแกะสลักที่ดีเช่นท่านปู่สามมาก่อนเลย”
ชายชราไม่ได้ถ่อมตัว เพียงกล่าวออกมาว่า “ข้าปู่สามอยู่กับไม้มาทั้งชีวิต ฝีมือของคนอื่นจะเทียบกับข้าได้อย่างไร เมื่อก่อนเพียงแค่การแกะสลักดอกโบตั๋นก็ทำให้คนเป็นคู่รักรักกันได้…”
จากนั้นเขาก็ถอนหายใจอีกครั้ง “สุดท้ายแล้วพวกเจ้าก็ยังเป็นบัณฑิตที่มีความรู้ ความสามารถสูง จึงสามารถวาดรูปออกมาได้งดงามเช่นนี้ ข้ารู้อยู่แล้วว่าหลังจากที่ทำกล่องชาดทาหน้านี้เสร็จ ก็ถือว่าความสำเร็จมาถึงครึ่งทางแล้ว”
ขณะที่กำลังพูดอยู่ เหยาเล่ยก็เดินเข้ามาพอได้ยินประโยคนี้จึงพูดแทรกขึ้นมาว่า “ท่านปู่สามพูดถูก! รายละเอียดภาพวาดของอาซู แม้แต่ลวดลายเต่าทองและก้นกล่องก็ออกแบบมาอย่างชัดเจน ทำให้คนที่แกะสลักไม่เป็นอย่างพวกเรายังสามารถเข้าใจได้…”
เมื่อเหยาเฟิงได้ยินน้องสาวของตนเองถูกชื่นชม เขายิ่งมีความสุขยิ่งกว่ามีคนชมตนเองเสียอีก ทว่าปากของเขายังคงพูดด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนว่า “ภาพวาดของอาซูทั้งหมดนางเรียนรู้ด้วยตัวเอง นางชอบอ่านหนังสือในเวลาว่าง ทักษะการวาดภาพของนางเลยดีขึ้นมา”
เหล่าบัณฑิตแคว้นเหยียนล้วนรักงานเขียน และเคารพในภาพวาด ดังนั้นภาพวาดของเหยาซูยังนับไม่ได้ว่าเป็นการวาดภาพที่สวยที่สุด
แต่เพียงชาวบ้านเหล่านี้ไม่รู้เรื่อง พวกเขาแค่มองว่าสวยก็คือสวยแล้ว
ปู่เหยาสามถลึงตาใส่ พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “คนรักเรียนก็มีอยู่มากมาย วาดได้ดีก็คือวาดได้ดี แล้วจะแบ่งแยกดีกับไม่ดีได้อย่างไร!”
ระหว่างที่พูด ปู่เหยาสามก็ให้เหยาเล่ยไปหยิบกล่องอีกร้อยกล่องที่ยังไม่ได้แกะสลักออกมาแล้วพูดกับเหยาซูว่า “กล่องพวกนี้เป็นเสี่ยวเล่ยทำด้วยตัวเองทั้งหมด เจ้าลองดูสิ”
การทำกล่องที่ไม่ได้แกะสลักคือพื้นฐานต่ำสุดของช่างไม้ อย่างแรกคือกล่องหนึ่งร้อยกล่องมีขนาดเท่ากัน นอกจากนี้ฝากล่องและตัวกล่องต้องแนบสนิท สุดท้ายตัวกล่องต้องทาสีขัดมันอย่างสม่ำเสมอ
เหยาซูยิ่งมองยิ่งพอใจ นางพลิกกล่องและพบว่ามีคำว่า ‘ เหยา’ ขนาดเล็กอยู่ด้านล่างของกล่อง
เหยาเล่ยยิ้มอย่างเขินอายเล็กน้อย “ปู่เหยาสามบอกข้าว่าคำว่าเหยามาจากหมู่บ้านตระกูลเหยา และข้าก็เห็นว่าลุงแกะสลักลงบนกล่องทุกกล่อง ข้าจึงตัดสินใจแกะสลักมันขึ้นมาด้วยน่ะ”
เหยาซูยิ้มขอบคุณ “ขอบคุณท่านพี่เล่ยมาก ที่ท่านทำนั้นดีแล้ว”
เหยาเล่ยมองมาที่เหยาซู ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่สวยพร้อมรอยยิ้มของนาง ทำให้ชายหนุ่มซื่อ ๆ คนหนึ่งหน้าแดงขึ้นมาทันทีจนเขาไม่รู้ว่าจะวางมือและเท้าอย่างไรดี
“นี่คือสิ่งที่ข้าควรทำ น้องสาวเจ้าไม่ต้องเกรงใจไป”
ปู่เหยาสามเหลือบมองไปที่เหยาเล่ย และไม่ได้พูดอะไรออกมา
เหยาซูไม่ได้ตระหนักถึงความแปลกประหลาดในพฤติกรรมของเหยาเล่ย หญิงสาวคิดเพียงว่าเขาเป็นเพียงชาวบ้านที่ซื่อสัตย์คนหนึ่งเท่านั้น
เหยาเฟิงหยิบเงินออกมาสี่ตำลึงเงินมอบให้กับปู่เหยาสาม จากนั้นทุกคนก็พูดคุยกันอีกเล็กน้อย
เพียงครู่เดียว เหยาซูก็ขอตัวกลับเพราะเป็นห่วงซานเป่าที่อยู่ที่บ้าน
“เจ้าสองคนจะขนของทั้งหมดกลับบ้านไปได้อย่างไร?” ปู่เหยาสามหันหน้าไปสั่งเหยาเล่ย “เจ้าตัวใหญ่ช่วยแบกของพวกนี้กลับไปให้พวกเขาหน่อย”
เหยาเล่ยรีบตอบ “ได้ขอรับ”
ระหว่างทางกลับบ้าน เหยาเฟิงไม่ได้พูดอะไร ส่วนเหยาซูคิดอยู่ในใจว่าชาดทาหน้าที่นางทำก่อนหน้านี้สามารถบรรจุลงไปในกล่องพวกนี้ได้กี่กล่อง ในขณะเดียวกันเหยาเล่ยก็แอบชำเลืองมองไปที่เหยาซูเป็นครั้งคราว
บรรยากาศนั้นเงียบสงัด ซึ่งมันค่อนข้างเงียบมากเกินไป
ในที่สุดเหยาเฟิงก็เอ่ยปากพูดก่อน “เสี่ยวเล่ย ช่วงนี้บ้านของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
…………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
มองน้องสาวเขาแบบนี้ระวังพี่ชายเขาทุบนะเจ้าหนุ่ม
ไหหม่า(海馬)