บทที่ 46 เด็กยังอยู่หรือ?
อีกด้านหนึ่ง
หลานชายตระกูลเหยาทั้งสองคนกำลังส่งเสียงกระซิบกระซาบ และเหยาต้าหลางก็เอ่ยกระซิบขึ้น “ดูชายคนนี้สิหน้าตาดุร้ายอย่างกับยมบาล เขาเป็นอาเขยของพวกเราหรือ”
เหยาเอ้อหลางตัดบทญาติคนพี่อย่างไม่พอใจ “ยมบาลอะไร ไม่เห็นจะดุตรงไหน เขาออกจะดูสง่างาม อีกอย่าง! เจ้าเคยเห็นยมบาลงั้นหรือ?”
ปกติทั้งสองมักจะมีความเห็นในทางเดียวกัน ทว่าวันนี้กลับเถียงกันไม่หยุด เมื่อได้พบอาเขยครั้งแรก
เมื่อครู่ต้าหลางได้พินิจพิเคราะห์ท่านอาเขยอย่างละเอียดตอนอยู่ในลานบ้าน เขาแต่งตัวไม่เหมือนกับชาวบ้านคนอื่น แขนที่แข็งแรงทั้งสองข้างสามารถอุ้มลูกพี่ลูกน้องของเขาได้อย่างง่ายดาย
เมื่อคิดถึงการกินของอาจื้อในช่วงเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ น้ำหนักของเขาก็เพิ่มขึ้น จนตอนนี้ก็มิใช่น้อย ๆ
ต้าหลางนั่งเงียบตกอยู่ในความคิดของตนเอง
บุรุษผู้นี้แข็งแกร่งเพียงใดกัน?
เมื่อเอ้อหลางได้ยินคำพูดของป้าสะใภ้ใหญ่ จึงรีบพูดแทรกขึ้นมาว่า “ข้าเองก็อยากสูงใหญ่และมีพละกำลังเหมือนกับท่านอาเขย!”
สะใภ้รองมองหน้าเล็ก ๆ ของบุตรชายแล้วอดนึกถึงเหยาเฉาไม่ได้ นางดึงหูลูกชายขึ้นมาเบา ๆ แล้วพูดว่า “นั่นขึ้นอยู่กับพ่อของเจ้าแล้ว!”
เมื่อคิดถึงรูปร่างหน้าตาเหมือนบัณฑิตของพ่อ เหยาเอ้อหลางก็ชะงักไป
สะใภ้ใหญ่มองน้องสะใภ้รองและหันไปปลอบใจเหยาเอ้อหลาง “อาเขยของเจ้าผ่านการฝึกฝนมามาก… หากเอ้อหลางกินข้าวเยอะ ๆ วันหน้าจะต้องมีแรงมากแน่นอน”
แต่พอคิดถึงน้องรองที่สุภาพเรียบร้อย ไม่ว่าจะปลอบใจอย่างไรก็รู้สึกอึดอัด
ในขณะนี้ทุกคนกำลังเฝ้ารอให้เหยาเฟิงไปรับน้องชายกับน้องสาวกลับมาบ้าน
หลินเหราได้รับการต้อนรับอย่างไม่เคยมีมาก่อนในตระกูลเหยา ยิ่งทำให้เขารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
แม่เฒ่าเหยาและพ่อเฒ่าเหยานั้นไม่จำเป็นต้องพูด พวกเขาไม่ได้ต้องการอะไรมากนัก ขอเพียงให้ลูกเขยกลับมาอย่างปลอดภัย ลูกสาวของพวกเขาจะได้ไม่เป็นม่ายและหลาน ๆ ก็จะมีพ่อ
อาจื้อและอาซือกอดพ่อของพวกเขาด้วยความยินดี เรื่องที่คนภายนอกพูดคุยกันอยู่ไม่ได้อยู่ในสายตาของพวกอีกต่อไป
สะใภ้ทั้งสองของตระกูลเหยาเองก็ความสุขเช่นกัน แม้แต่หลานชายทั้งสองของตระกูลเหยาก็มองท่านอาเขยอย่างอยากรู้อยากเห็น อยากจะเข้าไปพูดคุยทว่าก็ไม่กล้า
แม่เฒ่าเหยานั่งอยู่กับหลินเหราเป็นนานสองนาน พวกเขาพูดคุยเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งหมด ครั้นเมื่ออยู่ในค่ายทหารกินดีอยู่ดีหรือไม่ พักผ่อนตอนกลางคืนเป็นอย่างไร ลำบากมากหรือไม่ คิดถึงบ้านหรือเปล่า
แม่เฒ่าเหยาและพี่สะใภ้ทั้งสองต่างซักถามด้วยความกังวล
หลินเหราไม่ได้พูดอะไรมาก ทว่าเมื่อพวกเขาถามมา ชายหนุ่มก็ตอบคำถามทุกคนอย่างยินดี
แต่ก่อนเขามีนิสัยเย็นชา จึงถูกรังเกียจมาตั้งแต่เด็ก ๆ
ทว่าตอนนี้ ที่บ้านตระกูลเหยากลับมีคนคอยห่วงใยเขาราวกับเป็นคนในครอบครัวจริง ๆ ทำให้ในใจของเขารู้สึกสับสนยิ่งขึ้น
“ท่านแม่บอกว่านางรู้สึกว่าท่านพ่อปกป้องพวกเรามาตลอด!”
ดวงตาของอาซือเป็นประกาย เด็กหญิงนั่งอยู่บนตักขวาของหลินเหรากล่าวทั้งรอยยิ้ม “ท่านแม่ไม่ได้โกหกพวกเราจริง ๆ!”
หลินเหราพลันใจเต้นแรง ความคิดของเขาลอยเตลิดไปไกล นางพูดเช่นนั้นจริง ๆ หรือ? ไม่ใช่ว่านางไม่อยากสนใจเขาหรอกหรือ…
เมื่อเอ่ยถึงเหยาซูและลูก ๆ แม่เฒ่าเหยาก็อดที่จะตาแดงจมูกแดงไม่ได้ “ตอนนี้ภรรยาของเจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว นางพาลูก ๆ ออกไปอาศัยเพียงลำพัง วันนี้นางเข้าไปในเมืองเพื่อทำการค้า”
“ทุกคนบอกว่าเจ้าตายอยู่ในสนามรบ อาซูกับลูก ๆ มีชีวิตที่ยากลำบาก ตอนนั้นต้าเป่าสามารถจำความได้แล้ว เจ้าลองถามเขาดูเถิดว่าตระกูลหลินปฏิบัติต่อมารดาของพวกเขาอย่างไร!”
พ่อเฒ่าเหยาที่อยู่ด้านข้างจึงพูดเกลี้ยกล่อมว่า “เขากลับมาก็ดีแล้วเจ้ายังจะร้องไปไยกัน! หนทางข้างหน้าของพวกเขายังอีกยาวไกล อย่าได้เป็นกังวลเลย”
เมื่อหลินเหราได้ยินคำพูดของแม่เฒ่าเหยา คิ้วของเขาก็ขมวดแน่น จ้องมองไปที่ลูกชายคนโตในอ้อมแขนและถามขึ้นเป็นครั้งแรก “อาจื้อ เกิดอะไรขึ้น?”
อาจื้ออายุเจ็ดขวบหลังจากปีใหม่ที่ผ่านมา เขาพูดจาเฉลียวฉลาดความคิดชัดเจน พูดคำสองคำก็สามารถอธิบายความคับข้องใจที่ตระกูลหลินทำกับพวกเขาได้อย่างชัดเจน “หลังจากที่ท่านพ่อไปรบ ท่านย่าบังคับให้ท่านแม่ทำงานทุกวัน หากไม่ทำงานจะไม่ให้กินข้าว ในวันที่ท่านแม่อุ้มท้องน้องชาย ท่านย่ายังให้ท่านแม่ไปทำอาหาร เก็บกวาดลานบ้าน เลี้ยงหมู และยังต้องไปทำสวนบ่อย ๆ หากท่านแม่ทำไม่ดี ท่านย่าก็จะด่าและตีท่านแม่…แม้แต่เอ้อเป่ายังต้องตัดหญ้าให้หมู หนึ่งตะกร้าใหญ่ ๆ เพื่อจะได้กินข้าว”
เด็กหญิงตัวน้อยกอดพ่อของตนพลางพยักหน้าเช่นกัน “ใช่แล้ว! ท่านย่ามักจะด่าพวกเรา ด่าทุกวัน เห็นทุกครั้งก็เอาแต่ด่า”
เมื่อหลินเหราได้ยินคำพูดของเด็ก ๆ ดวงตาของเขาหม่นหมองลงและไฟมืดก็ลุกโชนขึ้นในใจ
ในการเกณฑ์ทหารหรือปลดประจำการของราชสำนัก ชาวบ้านสามารถจ่ายเงินชดเชยได้ ทว่าเมื่อพวกเขามาถึงหมู่บ้านตระกูลหลิน ครอบครัวของเขาไม่ยอมเสียเงินแม้แต่เหรียญเดียว เพื่อเก็บไว้ให้กับหลินหงใช้ในการสอบข้าราชการ
วันนั้นเขาเองก็ต้องถูกเกณฑ์เข้ากองทัพ โดยมีเงื่อนไขว่าทางการจะดูแลครอบครัวและลูก ๆ ของเขาให้ดี คาดไม่ถึงว่าแม่หวังจะดูแลภรรยาและลูก ๆ ของเขาเช่นนี้
หลินเหราและเหยาซูเป็นสามีภรรยากันมาหลายปี แม้ทั้งคู่จะไม่ได้มีความรู้สึกอะไรต่อกัน แต่เขาก็รู้จักภรรยาเป็นอย่างดี
เหยาซูเป็นคนหยิ่งยโสและถูกเลี้ยงดูมาโดยตระกูลเหยา นางจะสู้กับแม่ของตนได้อย่างไร?
เมื่อคิดได้เช่นนั้นหลินเหราจึงไม่สามารถละเลยความรู้สึกผิดในใจได้อีกต่อไป เขาอุ้มลูกน้อยแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “พ่อไม่ดีเอง…ต่อไปนี้พ่อจะคอยปกป้องพวกเจ้ามิให้พวกเจ้าทนทุกข์ทรมานกับความข้องใจใด ๆ อีก”
อาซือยังคงเยาว์วัย แววตาของนางแสดงออกถึงความดีใจเพราะการกลับมาของผู้เป็นบิดา
ส่วนอาจื้อนั้นนอกจากรู้สึกตื่นเต้นแล้ว ในขณะเดียวกันเขาก็ยังคงใช้ความคิดตลอดเวลา ไม่กล้าปริปากเอ่ยคำใด
ในเมื่อพ่อของเขากลับมาแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถอาศัยอยู่ในบ้านใหม่ของพวกเขาได้? แต่พวกเขาไม่อยากกลับไปบ้านตระกูลหลิน!
เมื่อคิดได้เช่นนี้อาจื้อจึงกอดเอวของบิดาแน่นขึ้นแล้วพูดว่า “ท่านพ่อ พวกเราอยู่บ้านของพวกเราได้หรือไม่ บ้านใหม่ของพวกเรามีขนาดใหญ่ สะอาดสะอ้าน อีกทั้งยังอบอุ่น!”
หลินเหรายกมือขึ้นปลอบใจลูก ๆ ของตนเองราวกับสัมผัสได้ถึงความไม่สบายใจของลูก ๆ “รอให้ท่านแม่ของพวกเจ้ากลับมา พวกเราค่อยกลับบ้านกัน”
แม่เฒ่าเหยาปาดน้ำตาแล้วกระซิบกับชายชราว่า “ทุกคนบอกว่าหลินเหราเป็นเด็กนิสัยเย็นชา เมื่อก่อนเราแค่เห็นว่าเขาไม่ค่อยสุงสิงกับผู้อื่น แต่ดูสิ สุดท้ายแล้วเขายังสงสารภรรยาและลูกของเขา”
ชายชราพยักหน้า “ข้าได้เห็นมันกับตาแล้ว แน่นอนว่าไม่ด้อยไปกว่ากัน แต่คนของตระกูลหลินนั้น…เฮ้อ!”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้พ่อเฒ่าเหยาได้แต่ส่ายหัว
สุดท้ายแล้วในวันนั้นแม่สื่อก็หลอกลวงพวกเขา แม่สื่อบอกว่าคนที่ต้องการมาสู่ขอคือลูกชายคนที่สามของตระกูลหลิน ในอนาคตเขาจะต้องเป็นคนที่ยิ่งใหญ่แน่แท้และเป็นบัณฑิตคนหนึ่งของหมู่บ้านตระกูลหลิน พ่อเฒ่าเหยาเองก็เคยเห็น หลินเหราเข้า ๆ ออก ๆ โรงเรียนอยู่เช่นกัน รับรู้ว่าเขาก็เรียนรู้หนังสือมาไม่น้อย
ทว่าคิดไม่ถึงว่าครอบครัวตระกูลหลินจะใจแคบเพียงนี้ ลูกชายคนโตของพวกเขามีความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ แต่กลับลำเอียงไปทางลูกชายคนเล็ก หลินหง ความยากลำบากทั้งหมดตกอยู่ที่หลินเหรา เขาทำงานทุกอย่างไม่ว่าจะทำสวนทำไร่หรือทำอะไรก็ตาม บางครั้งแม่เฒ่าเหยายังอดคิดไม่ได้เลยว่าลูกชายคนโตของตระกูลหลินคนนี้อาจไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของพวกเขา
เขากระซิบกับแม่เฒ่าเหยาว่า “สถานการณ์ในตอนนี้แตกต่างจากเมื่อก่อนมาก”
“นั่นไม่ใช่เรื่องที่ดีหรอกหรือ?”
พ่อเฒ่าเหยายิ้ม ทว่าไม่ตอบอะไร หากไม่ใช่เรื่องใหญ่เขาจะไม่คุยเรื่องนี้กับภรรยา
ในขณะที่พวกเขากำลังนั่งคุยอยู่นั้น เสียงร้องโยเยก็ดังมาจากเตียงเตา หูของหลินเหราได้ยินอย่างชัดเจน และรีบหันไปมองทิศทางของเสียง
“พวกเราลืมซานเป่าไปได้อย่างไร!”
เมื่อเห็นว่าหลานตื่นแล้ว แม่เฒ่าเหยาพลันนึกขึ้นได้ “หลินเหรา เจ้ายังไม่เคยเห็นซานเป่าใช่หรือไม่”
เขาอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะพูดด้วยเสียงเบา “ซานเป่า?”
ชาวบ้านมักไม่ค่อยให้ความสำคัญเกี่ยวกับการเลี้ยงลูก พวกเขาทำไร่ทำนาอย่างหนัก หากเกิดข้อผิดพลาดเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำให้แท้งลูกได้ง่ายดาย
เขามาที่นี่เป็นเวลานานแล้ว แต่ไม่เห็นแม่เฒ่าเหยาเอ่ยถึงลูกอีกคนของเขา ทำให้หลินเหราคิดว่าลูกคนเล็กของเขานั้นแท้งไปแล้ว
………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ไปอยู่บ้านใหม่กันเถอะ จะได้อยู่กันพร้อมหน้าทั้งพ่อแม่ลูก
แต่เหยาซูที่ไม่ใช่เหยาซูเจ้าของร่างจะยอมรับสามีคนนี้ไหมนะ
ไหหม่า(海馬)