บทที่ 84 ทำไมถึงดื้อรั้นขนาดนี้ตั้งแต่เด็ก
เมื่อก่อนตอนที่หลินเหราอยู่ที่บ้าน อาซือยังเด็กมากจึงจำอะไรไม่ค่อยได้ อาจื้อมองไปที่อาซือครู่หนึ่งแล้วยิ้มให้น้องสาว “เมื่อก่อนตอนท่านพ่อตีนกกระจอกกลับมาตัวหนึ่งคิดจะย่างเป็นอาหาร แต่สุดท้ายเจ้าก็ร้องไห้เอ่ยห้ามท่านพ่อ ทั้งยังต้องการเลี้ยงนกกระจอกไว้อีก แต่แล้วไม่กี่วันมันก็ตาย เจ้าลืมแล้วหรือ?”
แววตาของอาซือเต็มไปด้วยความงุนงง นางจำสิ่งใดไม่ได้ทั้งนั้น
เหยาซูยิ้มพลางลูบศีรษะของอาซือพร้อมกับปลอบใจนาง “ตอนนั้น เอ้อเป่ายังเด็กเลยจำไม่ได้เป็นเรื่องปกติ”
อาจื้ออยู่ในวัยที่ชอบพูดและแสดงถึงความอยากแสดงออกมาก เขากินข้าวไปพลางเล่าให้เหยาซูกับหลินเหราฟังว่าวันนี้เขากับน้องสาวทำอะไรบ้าง
“เช้านี้ท่านลุงพาพวกเราไปเขียนอักษรตัวใหญ่ เอ้อเป่าเรียนรู้และเขียนชื่อครอบครัวของเรา ต่อมาก็อ่านหนังสืออีกครู่หนึ่ง ตอนเที่ยงป้าสะใภ้รองผัดไข่ให้พวกเรากิน พอตอนบ่ายก็ออกไปเที่ยวเล่นกับญาติผู้พี่ทั้งสองคน…”
เหยาซูพลางนึกถึงบันทึกที่เหมือนสมุดบันทึกประจำวันเมื่อตอนที่นางนั้นอยู่ในโรงเรียนประถม ไม่เหมือนที่อาจื้อเล่าอยู่ตอนนี้หรอกหรือ
นางยิ้มและพูดกับเด็กน้อยว่า “ตอนนี้ต้าเป่าก็รู้จักตัวอักษรที่ใช้กันทั่วไปแล้ว เริ่มเขียนได้แล้วเช่นกัน เหตุใดไม่เขียนสิ่งที่ทำทุกวันหรือความคิดลงไปในสมุดบันทึกล่ะ”
พออาจื้อได้ยินว่าต้องเขียนให้มากขึ้นก็เริ่มรู้สึกไม่มีความสุขขึ้นมาทันที
แต่เหยาซูก็พูดขึ้นว่า “หลังจากเขียนเสร็จแล้ว แม่จะจัดเป็นเล่มให้ เรียกว่า ‘บันทึกประจำวัน’ แม้ผ่านไปนานเพียงใดเจ้าก็จะสามารถอ่านมันด้วยตัวเองได้”
อาซือที่ได้ยินดังนั้นก็พูดว่า “ข้าก็อยากเขียนบันทึกประจำวันเหมือนกันเจ้าค่ะ”
อาจื้อรีบพยักหน้า ‘อืม’
เด็กทั้งสองคนไม่เข้าใจความหมายของบันทึกประจำวันนัก แต่เนื่องจากมันเป็นเรื่องที่แปลกใหม่ จึงทำให้พวกเขาอยากลองเขียน
“ในเมื่อตัดสินใจที่จะเขียนแล้วก็ต้องอดทน ทุกวันต้องเขียนอย่างน้อยสองสามคำ อย่าหยุดเขียน มิฉะนั้นบันทึกประจำวันจะไม่มีความหมาย” เหยาซูกำชับทั้งสองคน
อาจื้อและอาซือพยักหน้าอย่างงง ๆ
ในสมัยนั้นหากเป็นขุนนางชั้นสูงที่ต้องการมีชื่อเสียง มักจะเชิญคนมาเขียนหนังสืออัตชีวประวัติของตัวเอง และส่วนมากจะให้นักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงเขียนแทน อาจื้อเคยอ่านชีวประวัติเหล่านั้นมาไม่น้อย
เขายิ้มพลางพูดว่า “เมื่อข้ามีชื่อเสียงข้าจะใช้บันทึกประจำวันนี้เป็นอัตชีวประวัติของข้า!”
อาจื้อยิ่งคิดยิ่งตื่นเต้น เขาหันหน้าไปคุยกับน้องสาวอย่างสนุกสนานแทบลืมกินข้าวเย็นไปเสียแล้ว
หลินเหรามองเด็กทั้งสองคนมีชีวิตชีวาก็อดที่จะชื่นชมเหยาซูไม่ได้
“อาซู เจ้าฉลาดมาก”
เหยาซูเลิกคิ้วขึ้นราวกับกำลังจะถามเขาว่าเหตุใดถึงพูดเช่นนี้
หลินเหราเอ่ยยิ้ม ๆ “เมื่อไม่กี่วันก่อนหลังจากดื่มเหล้าเสร็จ พี่รองรั้งข้าให้อยู่พูดคุยด้วย ตลอดครึ่งชั่วยามก็บ่นว่าเอ้อหลางยากที่จะจัดการ เขาออกไปเล่นกับต้าหลางทุกวัน ทุกครั้งที่เขากลับบ้าน พี่สะใภ้รองก็ตำหนิเขาว่าเขาไม่ช่วยดูแลลูก”
เมื่อเหยาซูนึกถึงสีหน้าเศร้าสร้อยของเหยาเฉาที่งดงามราวกับเทพเซียนนางก็อดหัวเราะไม่ได้
หลินเหรายังกล่าวต่อว่า “หากเจ้าเป็นแม่ของเอ้อหลาง เจ้าจะต้องสั่งสอนเขาได้อย่างดีเป็นแน่”
เหยาซูหัวเราะแล้วโต้กลับว่า “ข้าแค่ให้ต้าเป่าเขียนบันทึกประจำวันเท่านั้นเอง”
อาจื้อและอาซือที่กำลังพูดคุยกันอย่างตื่นเต้นจึงไม่ได้สนใจว่าท่านพ่อกับท่านแม่กำลังคุยเรื่องของตัวเองอยู่
เหยาซูมองไปที่เด็กทั้งสองคนแล้วหันมาพูดกับหลินเหราว่า “ต้าเป่าและเอ้อเป่ารู้ความ ต่อให้ดื้อซนไปบ้างก็ไม่ค่อยสร้างปัญหาให้กับผู้อื่น หากจะให้ข้าดูแลต้าหลางและเอ้อหลางด้วยก็คงปวดหัวเช่นกัน”
บางทีพ่อแม่ของเขาอาจจะมองลูกของเขาดี แต่เหยาซูยังรู้สึกว่าต้าเป่ากับเอ้อเป่านั้นฉลาดและเชื่อฟัง เป็นเด็กดีอย่างมาก
หลินเหราพยักหน้าเช่นกัน “ใช่แล้ว หากอาจื้อนั้นเหมือนกับเอ้อหลาง…”
เหยาซูก็พูดต่อ “ข้าเกรงว่าเราคงต้องรื้อบ้านทุกวัน บ้านของเราคงใหญ่ไม่พอ”
เมื่อพูดจบทั้งสองต่างมองหน้ากันแล้วหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย พวกเขาไม่ค่อยได้มีโอกาสนั่งโต๊ะอาหารและพูดคุยอย่างอบอุ่นเช่นนี้มาก่อน
ก่อนหน้านี้เมื่ออยู่ในตระกูลหลิน เด็ก ๆ จะไม่กล้าแม้จะส่งเสียงขณะนั่งกินข้าว แม่เฒ่าหวังมักจะดุด่าเสมอถ้าหากเด็กทั้งสองหยิบไข่ขึ้นมากิน
หลินเหราพลันนึกถึงอดีต เขารู้สึกว่าการแยกตัวออกจากตระกูลหลินนั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว
เหยาซูเบนความสนใจของนางไปที่เด็กทั้งสองคน “เอาล่ะ เจ้าเด็กทั้งสองคน ทำไมถึงหยุดกินข้าว รีบขยับตะเกียบเร็วเข้า”
อาจื้อและอาซือเริ่มลงมือกินข้าวอีกครั้ง
เหยาซูเห็นว่าจิตใจของลูกสาวไม่ได้จดจ่ออยู่กับมื้อเย็นจึงหยิบชามของนางขึ้นมาตักน้ำแกงปลาแล้วคีบอาหารใส่ลงไปอีกเล็กน้อย จากนั้นพูดกับเด็กน้อยอย่างอดทน “เอ้อเป่า กินข้าวอย่างว่าง่ายเสีย กินเสร็จแล้วตอนเย็นยังมีเวลาคุยกับพี่ชายอีกเยอะ”
เอ้อเป่าพยักหน้าก่อนจะยกชามขึ้นมากินอีกครั้ง
สาวน้อยพูดเสียงเบา ๆ “อาหารที่ท่านพ่อทำอร่อยมากเจ้าค่ะ!”
เหยาซูหัวเราะและเกลี้ยกล่อมนาง “วันหน้าให้ท่านพ่อทำอาหารให้อีกดีหรือไม่”
อาซือดีใจมาก เด็กน้อยพยักหน้า “เจ้าค่ะ”
แม้แต่อาจื้อเองก็เห็นด้วย
เหยาซูเหลือบมองหลินเหรา ราวกับว่านางต้องการจะบอกว่าเด็ก ๆ เป็นคนพูดเอง
หลินเหรากลับไม่ว่ากล่าวอะไรก่อนเอ่ยขึ้นมา “ข้าหายไปเป็นเวลาหนึ่งปี ดังนั้นข้าควรจะทำอะไรสักอย่างเพื่อครอบครัวบ้าง อาซูเจ้าเองก็จะได้พักผ่อนเช่นกัน”
เหยาซูรู้สึกว่าตัวเองได้โยกย้ายงานบ้านไปให้หลินเหราทีละนิด นางรู้สึกผิดมากจึงรีบพูดขึ้นว่า “แค่เด็ก ๆ พูดเช่นนี้ท่านไม่ต้องจริงจังก็ได้”
หลินเหราเงยหน้าขึ้น แสงสีส้มจากตะเกียงน้ำมันส่องลงมาทางด้านข้างของเขาทำให้ดวงตาที่สงบนิ่งของชายหนุ่มเปล่งประกาย
เขายิ้มให้กับเหยาซู “ข้ารู้”
หัวใจของเหยาซูราวกับถูกกระตุกอย่างแรงและเริ่มเต้นระรัวอีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่าใบหน้าของเขายังคงดูลึกลับเหมือนเดิมทว่ากลับให้ความรู้สึกอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน บางทีใบหน้าของเขามักจะไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ แต่รอยยิ้มนั้นกลับทำให้หัวใจของผู้คนสั่นสะท้าน
เหยาซูบังคับตัวเองให้เบือนหน้าหนีและเริ่มกินข้าว แต่ในหัวกลับยุ่งเหยิงไปหมด ทั้งหมดเป็นเพราะรอยยิ้มของเขาเมื่อครู่แท้ ๆ
ไม่กี่วันถัดมาหลินเหราได้รับผิดชอบงานบ้านทั้งหมด แม้แต่งานเล็ก ๆ อย่างการล้างผักก็ยังไม่ยอมให้เหยาซูได้สัมผัส
บ่อยครั้งที่เหยาซูและลูก ๆ ตื่นขึ้นมาเห็นว่าเขาได้เตรียมอาหารเช้าไว้เรียบร้อยแล้ว
เช้านี้หลินเหราเติมน้ำในถัง ซักผ้าอ้อมที่สกปรกของซานเป่าและเตรียมกับข้าวของทุกคนอย่างเรียบร้อยทั้งอาหารกลางวันและอาหารเย็น อาหารของเขารสชาติไม่เลว งานบ้านทุกอย่างไม่ต้องถึงมือของเหยาซูเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นนางจึงว่างขึ้นมาทันที นางพาซานเป่าออกไปเดินเล่น บางครั้งก็ถามความคืบหน้าในการเรียนของอาจื้อและอาซือ จากนั้นก็ใช้เวลาครุ่นคิดเกี่ยวกับไขทามือและสีชาดทาแก้ม
เช้านี้เหยาซูพาลูกทั้งสามคนไปตระกูลเหยา อาจื้อและอาซือตรงเข้าไปในห้องหนังสือทันที ส่วนนางอุ้มซานเป่าเดินเข้าไปในห้องของแม่เฒ่าเหยา
เมื่อแม่เฒ่าเหยาเห็นลูกสาวมาหาก็แย้มยิ้ม ก่อนยื่นมือออกไปอุ้มซานเป่าที่อยูู่ในอ้อมแขนของเหยาซูพลางถามนางว่า “เหตุใดวันนี้ถึงมาได้ล่ะ”
ตั้งแต่ที่เหยาซูออกจากบ้านตระกูลเหยา นางก็ให้ลูกทั้งสองคนมาเรียนหนังสือกับเหยาเฟิงทุกวัน ยามว่างนางจะเก็บกวาดและทำงานบ้าน ในขณะที่นางวางซานเป่าไว้ในอ้อมแขนของแม่เฒ่าเหยา หญิงสาวก็กล่าวขึ้นว่า “งานบ้านทั้งหมดหลินเหราเป็นคนทำ ข้าจึงพาลูก ๆ มาเยี่ยมท่านแม่น่ะเจ้าค่ะ”
ซานเป่าอยู่กับผู้เป็นยายมาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้เมื่อพบหน้ากันเด็กน้อยจึงหัวเราะคิกคักอยู่ในอ้อมกอดของนางไม่หยุด
หญิงชราหยอกล้อหลานชายตัวน้อยด้วยสีหน้าประหลาดใจ “อะไรนะ อาเหราทำงานบ้านอย่างนั้นหรือ?”
เหยาซูนั่งข้างมารดายิ้มพลางพยักหน้า “เจ้าค่ะ เขากล่าวว่าตนไม่ได้กลับบ้านเป็นเวลาหนึ่งปี ควรใช้โอกาสนี้ทำสิ่งต่าง ๆ ให้ครอบครัวมากขึ้น”
แม่เฒ่าเหยาได้ยินคำพูดนี้ก็ถอนหายใจ “ก่อนหน้านี้แม่รู้ว่าเจ้าไม่พอใจเรื่องแต่งงาน แล้วดูตอนนี้ดูสิถึงแม้ว่าจะเคยลำบากมาก่อน แต่หลังจากแยกตัวออกมาจากตระกูลหลิน การแต่งงานกับหลินเหราก็ไม่ได้เลวร้ายนัก”
เหยาซูไม่อยากรับคำกล่าวนี้จึงกล่าวเพียงว่า “พี่ใหญ่กับพี่รองดีต่อพี่สะใภ้ทั้งสองหรือไม่เจ้าคะ?”
หญิงชราเห็นท่าทางของลูกสาวพลางนึกถึงตอนที่เหยาซูทะเลาะกับที่บ้าน ในใจทั้งเป็นกังวลทั้งโมโห
สีหน้าของนางดูจริงจังในขณะที่นางพูดออกมา “ก่อนหน้านี้เมื่อตอนที่เจ้าแต่งงานกับตระกูลหลิน พี่ชายคนรองของเจ้าไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเจ้า ตอนนี้ดูเหมือนว่าหลินเหราจะมีความสามารถพอ หลังจากกลับมาจากสนามรบแล้วข้าได้ยินมาว่าเขาได้รับตำแหน่งในจวนผู้ตรวจการ ตอนนี้เขาจะไม่คู่ควรกับเจ้าได้อย่างไร อีกทั้งเขายังแยกตัวจากตระกูลหลินแล้วเอาใจใส่เจ้าทุกวิถีทาง…พูดตามตรงแม่รู้สึกว่าเจ้าเองก็ทำกับเขาเกินไปในบางครั้ง”
เหยาซูรู้สึกหมดหนทางเล็กน้อย แต่นางไม่อาจทำราวกับว่านางนั้นมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับหลินเหราได้
“ท่านแม่ ข้าไม่มีความคิดเช่นแต่ก่อนแล้วเจ้าค่ะ ได้โปรดอย่ากังวลไปเลย”
อย่างไรก็ตามแม่เฒ่าเหยาไม่เชื่อนางจึงขมวดคิ้วมุ่น ดวงตาแดงก่ำเกือบจะร้องไห้ออกมา
“บอกข้ามาซิว่าทำไมเจ้าถึงได้ดื้อรั้นตั้งแต่เด็กนัก”
………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
พี่เหราเริ่มกลายเป็นพ่อบ้านไปทีละน้อย เห็นแล้วหวั่นไหวใช่ไหมล่ะอาซู
สาเหตุที่เจ้าของร่างเดิมดื้อตั้งแต่เด็กเป็นเพราะอะไรกันนะ?
ไหหม่า(海馬)