ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] – บทที่ 85 ปัญหาคืออะไร

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

บทที่ 85 ปัญหาคืออะไร?

เหยาซูตกใจจึงรีบเอ่ยว่า “ท่านแม่ เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ? เหตุใดท่านถึงร้องไห้เช่นนี้?”

“ข้ายังเหมาะที่จะเป็นแม่ของเจ้าอยู่อีกหรือ? คิดถึงตอนยังเล็ก เจ้าเป็นเด็กตัวน้อย ๆ ที่เติบโตมาในอ้อมแขนของข้า…ต่อมาก็ตบแต่งเป็นภรรยา ซ้ำร้ายยังถูกรังแก คนเป็นแม่แค่คิดก็ปวดใจแล้ว! ตอนนี้เมื่อเห็นว่ามีชีวิตดีขึ้น เหตุใดเจ้าถึงไม่ยอมมีชีวิตที่ดีอีกเล่า?”

เหยาซูเห็นผู้เป็นมารดาร้องไห้จึงรีบปลอบใจนาง “ไม่มีอะไรหรอกท่านแม่ ข้าจะไม่ยอมมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร ท่านคิดมากไปแล้วเจ้าค่ะ!”

หญิงชราเติบโตมาจากดินแดนทางใต้ ปกติแล้วนางมักจะทำตัวเป็นแม่ที่ใจดีเสมอมา ไม่เคยพูดอะไรให้ลูก ๆ ขุ่นเคืองหรือกังวลเลยแม้แต่คำเดียว เมื่อเห็นว่าเหยาซูไม่เชื่อฟังนาง นางก็เพียงเศร้าโศกและเสียใจลำพัง

แม่เฒ่าเหยาเบือนหน้าไปเพื่อไม่ยอมให้เหยาซูเห็นนางร้องไห้

“ท่านแม่…” เหยาซูรู้สึกปวดใจ “ท่านแม่ฟังข้านะเจ้าคะ เรื่องนี้มันไม่ใช่อย่างที่ท่านคิด”

“ไม่ใช่อย่างที่ข้าคิด? แล้วทำไมเมื่อวันก่อนข้าได้ยินเอ้อเป่าพูดว่าเจ้าไม่ต้องการอยู่กับอาเหราเล่า”

เหยาซูตกตะลึง นางคาดไม่ถึงว่าปัญหาจะเกิดขึ้นเพียงเพราะคำพูดนี้ “นั่นมันก่อนหน้านี้…”

แม่เฒ่าเหยาค่อย ๆ เช็ดน้ำตาแล้วพูดกับเหยาซูว่า “เจ้าอย่าโกหกข้าเลย เอ้อเป่าหลุดปากพูดออกมา ข้าจึงเรียกต้าเป่ามาถาม และเป็นเจ้าเองที่พูดออกมาว่าต้องการจะแยกทางกับอาเหรา”

เหยาซูรู้สึกปวดหัว คำพูดนั้นนางเป็นคนพูดจริง ๆ และนางเองก็มีแผนการอยู่ในหัวตลอดเวลา ดังนั้นจึงกลายเป็นว่าหญิงสาวต้องมาเกลี้ยกล่อมมารดาของตนและบอกกับแม่ว่าความจริงแล้วนางต้องการที่จะอยู่กับหลินเหรา

นางยังเด็ก เหตุใดนางจึงจะต้องผูกตัวเองไว้กับหลินเหรา ทำไมนางไม่สามารถมีความรักเป็นของตัวเองได้?

เมื่อเหยาซูพูดเช่นนี้แม่เฒ่าเหยาก็เงียบลงไม่พูดคำใด ในที่สุดนางก็หลั่งน้ำตาออกมาอีกครั้ง

นางใช้คำพูดที่มารดาทุกคนใช้เกลี้ยกล่อมลูกตัวเองเกลี้ยกล่อมเหยาซู

“อาซู แม่ทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า ตอนนี้แม่อายุมากแล้ว ย่อมไม่อยากเห็นเจ้าต้องทุกข์ทนทรมานอีก…ฟังคำแม่นะ ใช้ชีวิตกับอาเหราให้ดี ลูกทั้งสามคนก็จะได้มีความสุขไปด้วย แบบนี้ไม่ดีหรือ?”

เหยาซูเช็ดน้ำตาให้มารดาด้วยหัวใจที่เจ็บปวด

นางรู้ว่าผู้เป็นแม่หวังดีกับนางจริง ๆ และนางก็ซาบซึ้งในความรักของมารดาคนนี้ ทว่าใครจะไปรู้ถึงอนาคตล่ะ?

หรือนางจะต้องบอกมารดาว่าหลินเหราอาจจะไปแต่งงานกับคนอื่น?

“อาซู เจ้าบอกแม่มา อาเหราไม่ดีตรงไหน เจ้าถึงต้องใจร้ายจะหย่ากับเขา”

เหยาซูพูดอย่างจนปัญญา “ท่านแม่ ก่อนหน้านี้ข้าต้องการที่จะหย่า แต่หลินเหราไม่ต้องการที่จะแยกทางกับข้า…”

แม่เฒ่าเหยาซักถามต่อ “แล้วตอนนี้ล่ะ เจ้าจะไม่แยกจากกันแล้วใช่หรือไม่?”

หากถามคำถามนี้และต้องการให้นางตอบ คำตอบก็คือต้องการหย่าร้างกันแน่นอน ทว่าหญิงสาวจะบอกผู้เป็นมารดาว่าอย่างไรดี?

“ท่านแม่ ฟังข้านะเจ้าคะ เรื่องในอนาคตพวกเราไม่มีใครบอกได้ หากได้พบคนที่ตัวเองชมชอบจริง ๆ จะให้ทำอย่างไรล่ะเจ้าคะ?”

หญิงชราตื่นตัวทันที “อาซู เจ้าชอบคนอื่นงั้นหรือ?”

เหยาซูไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือควรร้องไห้ดี “ไม่ใช่ข้าแต่หมายถึงหลินเหราต่างหากเจ้าค่ะ!”

เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ในที่สุดแม่เฒ่าเหยาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นนางก็ส่ายหัวและพูดอย่างมั่นใจว่า “อาเหราไม่ใช่คนแบบนั้น”

เหยาซูกล่าวต่อว่า “ตอนนี้อาจไม่ใช่ แต่แล้วต่อไปในอนาคตล่ะเจ้าคะ? ท่านบอกว่าเขาเพิ่งกลับมาจากสนามรบ แม้แต่ท่านผู้ตรวจการก็ยังชื่นชม หากในวันหน้าเขาได้สร้างคุณงามความดีในสงครามอีก และมีคนชื่นชมมากขึ้นกระทั่งขุนนางชั้นสูงก็อยากตบแต่งบุตรีให้กับเขา แล้วจะทำอย่างไรเช่นไรเจ้าคะ?”

ในตอนเด็ก ๆ แม่เฒ่าเหยามักฟังละครงิ้วจะมีเรื่องบัณฑิตเข้าไปที่เมืองหลวงแล้วสอบจอหงวน พอสอบจอหงวนได้มักจะทิ้งภรรยาและลูก ๆ ส่วนตัวเองก็ไปแต่งงานกับคุณหนูหรือไม่ก็องค์หญิงอะไรสักอย่างหลังจากที่มียศฐาบรรดาศักดิ์แล้ว

เมื่อได้ฟังเรื่องนี้หญิงชราก็ค่อย ๆ ขมวดคิ้วและขบคิด

เดิมทีเหยาซูต้องการยืมคำพูดนี้เพื่อมาเกลี้ยกล่อมมารดา แต่ก็คิดไม่ถึงว่ากลับเพิ่มเรื่องกังวลใจให้กับนางอีก

นางได้แต่บอกมารดาว่า “ท่านแม่ ข้าพูดเหลวไหลไปเอง…เราจะรู้อนาคตได้อย่างไรเจ้าคะ? ท่านเองก็บอกว่าหลินเหราไม่ใช่คนแบบนั้นและข้าก็จะไม่หย่ากับเขาในตอนนี้! หากวันหน้ามีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นจริง ๆ ค่อยว่ากันก็ยังไม่สาย”

แม่เฒ่าเหยาลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “อาเหรานั้นเป็นคนซื่อตรงและมีความรับผิดชอบมาก ไม่เหมือนคนที่จะหย่าขาดกับภรรยาเพื่อตำแหน่งลาภยศ เจ้าอย่าคิดหรือพูดเรื่องนี้กับอาเหราเล่า คนฟังจะเสียใจ”

เหยาซูเห็นว่าในที่สุดนางก็สามารถเกลี้ยกล่อมมารดาได้ หญิงสาวจึงไม่ลังเลอีกต่อไป ถอนใจด้วยความโล่งอกแล้วพูดว่า “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ ต่อไปข้าจะไม่เอ่ยเรื่องนี้กับเขาอีก”

หญิงชรามองดูลูกสาวของตัวเอง และถอนหายใจอีกครั้ง “เฮ้อ อาเหรามีลูกดี ๆ แบบนั้นเหตุใดถึงมีภรรยาอย่างเจ้าได้!”

เหยาซูหัวเราะและถามมารดากลับว่า “ทำไมหรือท่านแม่ ท่านต้องการจะบอกว่าข้าเป็นคนไม่ดีแต่เขาเป็นคนดีอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”

แม่เฒ่าเหยาถูกนางถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เมื่อซานเป่าที่อยู่ในอ้อมกอดเห็นเหยาซูหัวเราะ เด็กน้อยคิดว่านางกำลังหยอกล้อกับเขา อยู่ดี ๆ ซานเป่าก็หัวเราะคิกคักขึ้นมา

เหยาซูกล่าวต่อ “ท่านแม่ ดูสิเจ้าคะ ซานเป่าชอบข้ามาก!” พูดจบแม่เฒ่าเหยาก็รู้สึกว่ามือของนางนั้นอุ่น ๆ จึงก้มหน้ามามองที่เด็กทารก ปรากฏว่าซานเป่านั้นฉี่รดออกมา

หญิงชรายัดซานเป่าเข้าไปในอ้อมกอดของเหยาซู แล้วหันไปหยิบผ้าอ้อมอันใหม่พลางพูดว่า “พวกเจ้าทั้งสองคนนี่ช่างเหมือนกันจริง ๆ ปล่อยให้ข้าได้พักผ่อนสักวันสองวันก็ไม่ได้!”

เหยาซูกลับรู้สึกว่าบุตรชายของนางนั้นทำได้ดีมาก การพูดคุยสะดุดลงด้วยการกระทำของเด็กน้อย ไม่เช่นนั้นนางคงไล่ถามตนเองเรื่องการหย่าร้างไปอีกสักพัก

นางยิ้มพลางเผยว่า “ไม่ใช่ว่าไม่ได้อุ้มซานเป่ามาหลายวันแล้วท่านบ่นว่าคิดถึงไม่ใช่หรือเจ้าคะ ข้าได้ยินต้าเป่าและเอ้อเป่าพูดว่าท่านแม่อยากให้อุ้มซานเป่ามาเยี่ยมบ้าง”

หญิงชรายังคงรู้สึกว่าตัวเองเพิ่งร้องไห้ต่อหน้าลูกสาว นางจึงรู้สึกขายหน้าเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ใครคิดถึงพวกเจ้ากัน ข้ายุ่งตลอดทั้งวัน”

เหยาซูหัวเราะ “ถึงแม้ท่านแม่ไม่ต้องการ แต่ซานเป่าก็ยังคงคิดถึงท่านแม่นะเจ้าคะ”

นางพูดพลางก้มหน้าลงไปใกล้แก้มของทารกแล้วหยอกล้อ

“เด็กดี เจ้าว่าแม่พูดถูกไหม หืม? เจ้าชอบที่แม่พาเจ้ามาที่บ้านยายใช่หรือไม่”

ซานเป่าหัวเราะไม่หยุด

แม่เฒ่าเหยาถือผ้าอ้อมสะอาดในมือหวังช่วยเหยาซูเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก จู่ ๆ นางก็นึกขึ้นได้ “ตอนนี้อาเหราได้กลับมาแล้ว ถึงเวลาตั้งชื่อให้กับซานเป่าแล้วสิ”

เดิมทีเหยาซูคิดจะบอกมารดาว่าหลินเหราได้ตั้งชื่อให้กับซานเป่าแล้ว แต่กลับรู้สึกว่า ‘หลินซ่ง’ ไม่น่าฟัง ทว่านางกลับไม่กล้าแสดงความไม่พอใจต่อหลินเหราอีกแม้แต่น้อยเพราะเกรงว่าแม่เฒ่าเหยาจะพูดถึงเรื่องที่ผ่านมาอีก

นางจึงยิ้มและพูดว่า “ตั้งชื่อแล้วเจ้าค่ะ ชื่อว่า หลินเซิน”

มันไม่ใช่คำที่คลุมเครือ ซึ่งแม่เฒ่าเหยาก็แปลความหมายของคำนี้ได้ทันที คิดไปคิดมานางก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เลว ฟังแล้วธรรมดามากแต่เมื่อลองคิดดูให้ดีกลับมีความหมาย”

สองแม่ลูกหยอกล้อหลานไปพร้อม ๆ กันแล้วพูดเรื่องอื่นอีกสักพัก ไม่นานช่วงเช้าก็ผ่านไป

เมื่อเหยาซูบอกว่านางจะกลับบ้าน มารดากลับยังอยากให้อยู่กินข้าวด้วยกัน แต่นางยิ้มพลางพูดว่า “หลินเหรายังรออยู่ที่บ้าน รอให้ข้าและลูก ๆ กลับไปกินข้าวด้วยกันเจ้าค่ะ”

หญิงชราได้แต่พยักหน้าและปล่อยให้เหยาซูกลับไป

นางคิดไปคิดมาก็รู้ว่าในใจของบุตรสาวนั้นยังคงคิดถึงลูกเขยอยู่ ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันมานานหลายปีแล้วจะบอกได้อย่างไรว่าอยากหย่าขาดจากกัน?

แต่ก็ควรจะเตือนลูกเขยให้ตื่นตัวบ้างและทดสอบความจริงใจของเขา อาเฉาเป็นคนที่ฉลาดที่สุด วันหลังรอให้เขากลับมาบ้านนางจึงหวังจะให้เขาคุยเรื่องนี้กับลูกเขย

เหยาซูเรียกอาจื้อและอาซือ จากนั้นสามแม่ลูกก็เดินกลับบ้านด้วยกัน

อาจื้อถามขึ้นว่า “ท่านแม่ ทำไมเราไม่กินข้าวที่บ้านท่านยายล่ะขอรับ”

อาซือเองก็เงยหน้าขึ้นมองเช่นกัน ดวงตาฉายแววสงสัย

เหยาซูหัวเราะ “พวกเจ้าสองคนลืมอะไรไปหรือเปล่า ท่านพ่ออยู่บ้านคนเดียว หรือจะให้เขากินข้าวกลางวันคนเดียวรึ?”

อาจื้อส่งเสียง ‘อือ’ ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดว่า “ท่านแม่ ท่านดีจริง ๆ”

เหยาซูไม่เข้าใจ “หืม? เจ้าว่าอะไรนะ?”

แต่อาซือกลับเข้าใจความหมายที่พี่ชายอยากจะพูด จึงอธิบายให้ฟังว่า “ท่านแม่รู้ว่าท่านยายคิดถึงซานเป่ากับท่านแม่ ตอนเช้าก็พาน้องชายมาหาท่านยาย ท่านแม่รู้ว่าท่านพ่ออยู่บ้านคนเดียวจึงพาพวกเรากลับบ้านไปกินข้าวกับท่านพ่อ ท่านแม่ดีต่อข้าและพี่ชายมาก ดังนั้นท่านแม่จึงเป็นคนดีเสมอเจ้าค่ะ”

อาจื้อยิ้มและกล่าว “น้องสาวพูดถูกต้อง”

เหยาซูตกตะลึง นางไม่คิดว่าอาซือจะพูดได้แบบนี้ และไม่คิดว่าในใจของเด็กทั้งสองคนนั้นจะคิดแบบนี้เช่นเดียวกัน

เหยาซูที่กำลังอุ้มเด็กทารกอยู่พลันหัวเราะขึ้นมา “พวกเจ้าล้วนเป็นคนที่แม่รักมากที่สุด ถ้าไม่ดีกับพวกเจ้าแล้วจะให้แม่ไปดีกับใครอีกเล่า”

เด็กสองคนจับมือและมองหน้ากัน จากนั้นจึงพูดว่า “พวกเราจะเป็นเหมือนท่านแม่ในอนาคต”

เหยาซูพยักหน้าพลางถอนใจ

นางไม่เคยมีความรักในยุคปัจจุบัน อีกทั้งยังไม่เคยแต่งงานหรือมีลูก แต่นางมักจะอยู่กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เติบโตขึ้นมา สำหรับนางแล้วนั้นเด็ก ๆ เป็นทั้งคนแปลกหน้าและคนคุ้นเคย

ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเด็กบางคนมีความระมัดระวังโดยธรรมชาติ เด็กบางคนชอบเล่นซน ในขณะที่เด็กบางคนชอบที่จะทำร้ายคนอื่น ๆ ด้วยเจตนาร้าย เหยาซูค่อย ๆ ค้นพบว่าพฤติกรรมของเด็ก ๆ แต่ละคนเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ของพวกเขา

เด็กที่ระมัดระวังตัวมักจะเป็นเด็กที่เคยถูกพ่อแม่หลอกและนำมาทิ้ง เด็กที่ชอบเล่นซนไม่เคยถูกคนดูแลและอยากดึงดูดความสนใจของผู้ใหญ่ ส่วนเด็กที่ชอบทำร้ายคนอื่นมักจะเคยผ่านประสบการณ์อันเลวร้ายที่คาดไม่ถึงจากผู้ใหญ่

การเจริญเติบโตของอาจื้อและอาซือนั้น นางในฐานะแม่ควรรับผิดชอบอย่างมากที่สุด โชคดีที่จนถึงตอนนี้สิ่งที่นำมาสู่เด็ก ๆ ส่วนใหญ่มีผลในเชิงบวก ซึ่งทำให้นางรู้สึกสบายใจเล็กน้อย

นางเองก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ตนได้ข้ามมิติมา ตามเส้นทางเดิมของนิยายต้นฉบับ วันข้างหน้าเด็กทั้งสามคนจะเป็นวายร้ายโดยไม่มีข้อยกเว้น

ทว่าทำไมล่ะ?

ธรรมชาติของพวกเขาก็เป็นคนดีและหลินเหราก็ถือว่าเป็นพ่อที่ดี ดังนั้นปัญหามันเกิดจากอะไร? ทำไมเด็กดีถึงโตขึ้นกลายเป็นวายร้ายไปได้?

หรือว่าปัญหาก็คือในอนาคตพวกเขาจะอยู่กับ ‘แม่’ อีกคน?

……………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ถ้าลูกนิสัยดี พ่อก็นิสัยดี แต่ลูกโตมากลับเป็นคนไม่ดี ก็คงเป็นที่สภาพแวดล้อมในบ้านคนที่ได้ชื่อว่าเป็นนางเอกนิยายแล้วล่ะค่ะ

หรือว่าถ้าจะป้องกันไม่ให้เกิดอะไรแบบนี้ อาซูจะต้องไม่หย่ากับอาเหรากันนะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

Status: Ongoing
เหยาซูเสียชีวิตเนื่องจากเครื่องบินตก ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองได้มาอยู่ในร่างตัวละครหนึ่งในนิยายที่ตัวเองกำลังอ่าน!หญิงสาวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกและมาเกิดใหม่ในนิยายยุคโบราณที่ตนเองกำลังอ่าน หลังฟื้นขึ้นมาจึงพบว่าตนเองอยู่ในร่างของ เหยาซู มารดาของวายร้ายทั้งสามในเรื่อง กลายเป็นแม่ม่ายลูกติดโฉมสะคราญที่ผู้คนต่างชี้หน้าบอกว่าเป็นตัวซวยทำให้สามีต้องตาย เมื่อได้ทราบว่าชีวิตของลูก ๆ ต้องเผชิญกับการดูถูก นางจึงทนไม่ไหวเก็บข้าวของหอบลูกกลับบ้านเก่า เริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกและครอบครัวทางแม่ของตน ด้วยคิดว่าหากสั่งสอนลูกดี ๆ พวกเขาคงไม่กลายเป็นตัวร้าย จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของนางได้กลับมา พวกเขาจึงได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง แต่แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าตามนิยายต้นฉบับสามีของตนจะตกหลุมรักสตรีอื่น จึงคิดหาวิธีที่จะหย่าขาดกับเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท