เหยาซูเรียกเด็กทั้งสองคนมาข้างกายของตน หญิงสาวยิ้มก่อนจะพูดกับพวกเขาว่า “ต้าเป่า เอ้อเป่า หลายวันมานี้ต้องลำบากพวกเจ้าช่วยแม่ทำงานบ้าน หากไม่ใช่เพราะพวกเจ้า กิจการในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิของแม่เกรงว่าคงจะทำไม่สำเร็จลุล่วงเป็นแน่”
เด็กทั้งสองคนพากันยิ้มด้วยความขวยเขิน อาจื้อเป็นฝ่ายเริ่มถามด้วยสีหน้าสงสัยก่อนว่า “ท่านแม่ ข้าขอดูของที่ท่านทำได้หรือไม่ขอรับ?”
บ้านหลังนี้ไม่ใหญ่นัก สีผึ้งทาปากและไขทามือกองนี้ต่างก็เป็นของที่เหยาซูทำขึ้นในร้าน อาจื้อและอาซือจึงไม่เคยเห็นมาก่อน
เมื่อเหยาซูเห็นพวกเขามีความอยากรู้อยากเห็นจึงยิ้มและพูดว่า “ได้แน่นอน วิธีการทำสีผึ้งทาปากและไขบำรุงมือนี้ คล้ายกับชาดทาหน้าที่เราทำด้วยกันเมื่อปีก่อน แค่ใส่มันหมู และน้ำผึ้งเพิ่มลงไปเล็กน้อย พวกเจ้าอยากดูใช่หรือไม่?”
อาจื้อและอาซือต่างพากันพยักหน้าหงึกหงัก เด็กทั้งสองคนตามเหยาซูไปที่ร้านและกลายเป็น ‘ผู้ทดลอง’ กลุ่มแรกของผลิตภัณฑ์ทั้งสองชนิดนี้ไปโดยปริยาย
อาซือเป็นเด็กผู้หญิง ย่อมอ่อนไหวง่ายต่อความสวยความงามโดยธรรมชาติ เมื่อเห็นเหยาซูหยิบไขบำรุงมือออกมา จึงพูดขึ้นด้วยความตื่นตาตื่นใจ “ท่านแม่ กล่องในครั้งนี้งดงามมากเลยเจ้าค่ะ! งดงามกว่าครั้งที่แล้วอีก!”
เหยาซูยื่นกล่องให้ในมือให้ลูกสาว พร้อมยิ้มและพูดว่า “งดงามหรือไม่? เอ้อเป่าดูสิ หน้ากล่องแกะสลักเป็นรูปอะไร?”
เด็กสาวตัวน้อยรับกล่องไม้มาก่อนมองอย่างละเอียด หลังจากมองดูครู่หนึ่งแล้ว ก็เงยหน้าและพูดว่า “ดอกอิ๋งชุน! นี่คือดอกอิ๋งชุน[1] ข้าและท่านเคยเห็นมาก่อนหน้านั้น!”
อาจื้อเองก็มีสีหน้าอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน เขาสัมผัสกล่องไม้ที่อยู่ในมือของน้องสาว และถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “กล่องใบนี้ เหตุใดถึงได้เปลี่ยน….”
เขาพลิกดูอย่างเบามือ ลวดลายที่อยู่บนฝากล่องนั้นก็เปลี่ยนไป ดอกอิ๋งชุนที่กำลังผลิบานพลันหุบลงพร้อมกับตัวฝาปิดสนิท
“ว้าว!” อาซืออ้าปากร้องว้าวด้วยความตื่นเต้น มือเล็ก ๆ ได้บีบอีกครั้งไม่นานฝากล่องก็เปิดออก “ดอกไม้บานอีกแล้ว!”
ลูกเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้เอาชนะใจเด็กทั้งสองคนได้ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างก็เริ่มเล่นกล่องใบนั้นไม่หยุดหย่อน เดี๋ยวก็บีบเปิด เดี๋ยวก็ปิดลงอีกครั้ง สังเกตการเปลี่ยนแปลงของลวดลายอย่างใจจดใจจ่อ
เหยาซูพยักหน้า และถามพวกเขาว่า “เป็นอย่างไรบ้าง? ต้าเป่าและเอ้อเป่าเห็นอะไรบ้างหรือไม่?”
เด็กทั้งสองคนได้สัมผัสกับของเล่นไม้มาไม่น้อย แม้แต่อาซือเองก็ยังเล่นกลเก้าห่วงได้อย่างชำนาญ
พวกเขาสองคนหันหน้าเข้าหากันพลางช่วยกันขบคิด ทั้งยังพูดคุยกันเจื้อยแจ้วเป็นเวลานาน ปรึกษาหารือจนกระทั่งได้ข้อสรุปหนึ่งออกมา
“ฝากล่องใบนี้มีสองชั้น! ในตอนที่ปิด ทั้งสองชั้นจะซ้อนทับกัน ดอกอิ๋งชุนจึงหุบลง เมื่อเปิดฝากล่อง ชั้นที่อยู่ล่างสุดจะถูกปิดไว้ แสดงให้เห็นเพียงชั้นเดียว ดอกอิ๋งชุนก็เลยผลิบาน…”
เหยาซูคลี่ยิ้ม พร้อมกับลูบไปบนศีรษะของเด็กน้อยทั้งสองคนอย่างเบามือพลางเอ่ยชม “ต้าป่าและเอ้อเป่าฉลาดที่สุด!”
อาซือเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่เปล่งประกายเต็มไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธาที่มีต่อมารดา “ท่านแม่ ความคิดนี้ท่านเป็นคนคิดมันออกมาใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
เหยาซูยิ้มพลางพยักหน้า “แม่ยังมีความคิดสนุก ๆ อีกมากมาย รอพ่อเจ้าว่างเมื่อไร แม่และพ่อจะพาพวกเจ้าไปทำงานฝีมือด้วยกัน”
เฮ้อ บางครั้งที่เห็นหลินเหราและเด็กทั้งสองคนต่างพูดคุยกันน้อยลง ก็มักจะเป็นกังวลว่าต่อไปเรื่องราวจะค่อย ๆ เป็นไปตามที่นิยายต้นฉบับได้เขียนไว้
หากทำเช่นนี้อาจจะทำให้ความสัมพันธ์ของเด็ก ๆ และพ่อแม่ใกล้ชิดกันมากขึ้น คงจะทำให้อาซือและอาจื้อรู้ว่าพ่อของตัวเองนั้นรักเขามาก
อื้อ ทว่า การปราบโจรนั้น…
ดูเหมือนว่าตามต้นฉบับเดิม การพบกันครั้งแรกของนางเอกในเรื่องและหลินเหราก็คือช่วงเวลานี้
เด็กทั้งสองคนต่างส่งเสียงโห่ร้องอย่างมีความสุข จากนั้นก็หอบเอากล่องไม้ลายดอกอิ๋งชุนไปเล่น
แท้จริงแล้วนับตั้งแต่ชาดทาหน้าที่ขายหมดเกลี้ยงในช่วงฤดูหนาวเป็นต้นมา เหยาซูก็ครุ่นคิดอยู่ตลอดว่าจะขายสีผึ้งทาปากและไขบำรุงมือในอนาคตอย่างไร
ของทั้งสองอย่างล้วนเป็นสินค้าแปลกใหม่ ระดับคุณภาพชีวิตในเมืองชิงถงก็ถือว่าไม่เลวนัก แหล่งที่มาของลูกค้าไม่มีวันขาดแคลน เพียงแต่หากคิดจะขายในราคาสูง ก็ต้องอาศัยความคิดที่ชาญฉลาดยิ่งกว่าเดิม
ในยุคสมัยปัจจุบันที่นางจากมา หญิงสาวเลือกวิชาโทด้านการออกแบบ ลูกเล่นเล็ก ๆ ง่าย ๆ ล้วนไม่คณามือนาง แต่เรื่องยากก็คือการวาดมันลงบนกระดาษ ไหนจะต้องสื่อสารกับช่างฝีมือที่ทำกล่องไม้อีก
โชคดีที่ช่างฝีมือของหมู่บ้านตระกูลเหยาต่างก็เป็นคนที่นางคุ้นเคย ท่านปู่เหยาสามเองก็ทำงานไม้มาตลอดชีวิต นางพูดเพียงเล็กน้อยเขาก็สามารถเข้าใจได้ทันท่วงที
กล่องไม้ในครั้งนี้มีการผลิตกล่องที่มีลูกเล่นเล็ก ๆ จำนวนยี่สิบกล่อง และยังมีลายแกะสลักธรรมดาอีกสี่สิบกล่อง ส่วนอีกสองร้อยกล่องนั้นต่างเป็นกล่องไม้เคลือบเงาไม่มีลายแกะสลัก
ไขบำรุงมือต้องใช้กล่องขนาดใหญ่ สีผึ้งทาปากต้องใช้กล่องขนาดเล็ก หลังจากบรรจุเสร็จไปแล้วสองร้อยหกสิบกล่อง ก็ยังเหลือจำนวนของอีกไม่น้อย ซึ่งมันได้ถูกเปลี่ยนเป็นตัวทดลองที่ตั้งอยู่ในร้าน นี่นับเป็นขั้นตอนหนึ่งในการดึงดูดลูกค้า
เมื่อเหยาซูเห็นว่าเด็กทั้งสองคนชื่นชอบกล่องไม้จนไม่สามารถวางมือได้ ก็รู้ทันทีว่าการทดลองในครั้งนี้สำเร็จแล้ว
นางยิ้มและพูดว่า “เอาละ ต้าเป่าและเอ้อเป่าลองใช้ไขทามือสิว่าเป็นอย่างไรบ้าง…”
อาจื้อพยักหน้า และเปิดฝาใช้นิ้วชี้แตะเพียงเล็กน้อย ก่อนจะทามันบนหลังมือของน้องสาว
อาซือเลื่อนหลังมือมาตรงปลายจมูกอย่างระมัดระวัง เด็กน้อยก้มลงดมเล็กน้อย และแล้วดวงตาคู่นั้นก็เปล่งประกายทันใด “ท่านแม่ นี่มันกลิ่นดอกอิ๋งชุนนี่เจ้าคะ!”
เหยาซูกุมมือเล็ก ๆ ของอาซืออย่างอ่อนโยน ใช้ฝ่ามือพลิกคว่ำหลังมือของลูกสาว หลังจากที่น้ำมันจากไขเริ่มละลายด้วยอุณหภูมิบนมือของเธอ นางก็ปาดและเกลี่ยให้ทั่ว
“เรียบร้อย” เหยาซูยิ้มเล็กน้อย “เอ้อเป่ารู้สึกอย่างไรบ้าง?”
ไขบำรุงมือสีขาวที่อยู่บนมือของเด็กหญิงตัวน้อยได้ละลายหายไปหมดสิ้น มือเล็ก ๆ ที่ขาวเนียนนั้นก็ดูเหมือนจะเปล่งปลั่งขึ้น อาซือมองซ้ายทีมองขวาที จากนั้นก็ดมกลิ่นอีกครั้ง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยความดีใจว่า “รู้สึกดีมากเลยเจ้าค่ะ! มือของข้าหอมมากด้วย!”
เหยาซูใช้วิธีการเดิมวนซ้ำอีกครั้ง ด้วยการทาไขบำรุงมือลงบนมือของอาจื้อ
ซึ่งเห็นได้ชัดว่าอาจื้อนั้นอยากรู้อยากเห็นมากกว่าตื่นเต้นเสียอีก จากนั้นครุ่นคิดเกี่ยวกับส่วนประกอบของไขบำรุงมือที่เหยาซูเคยบอกกับเขา พลางพึมพำว่า “ทามือทุกวัน มันไม่ยุ่งยากเกินไปหรือขอรับ?”
มือของเด็กผู้ชายหยาบกร้านมาก ประกอบกับแผลเปื่อยจากความเย็นในช่วงฤดูหนาวก่อนหน้านั้น อีกทั้งมือก็ยังแห้งกร้าน หลังจากที่ทาไขบำรุงมือไป เห็นได้ชัดว่าชุ่มชื้นมากขึ้น แต่เขากลับไม่รู้สึกอะไรนัก
“ก็ดูขาวขึ้นเล็กน้อย…”
เหยาซูดีดหน้าผากของลูกชายเล็กน้อยก่อนจะถลึงตาใส่เขา “อายุยังน้อย แต่มือดันแห้งกร้านแบบนี้ ยังไม่รู้จักบำรุงอีก? ดูมือของน้องสาวเจ้าสิ งดงามและขาวเนียนมากเพียงใดแล้ว”
เหยาซูหันกลับไปพูดกับอาซืออีกครั้ง “ต่อไปเอ้อเป่าจะต้องดูแลพี่ชายนะ ต้องทามือทุกวัน”
อาซือรักสวยรักงามเป็นที่สุด จึงพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง บ่งบอกว่าตัวเองนั้นจดจำไว้ขึ้นใจแล้ว
เมื่อถูกผู้เป็นแม่และน้องสาวจ้องเขม็งเช่นนี้ อาจื้อก็อดรู้สึกอึดอัดใจไม่ได้ หรือว่ามือของตัวเองจะดูแย่มากจริง ๆ?
แต่เมื่อครุ่นคิดอีกครั้ง การเป็นสตรีนี่ช่างยุ่งยากจริงเชียว…
เหยาซูให้เด็กทั้งสองคนทดลองสีผึ้งทาปากอีกครั้ง อาซือปรับตัวได้ดีแต่อาจื้อกลับขมวดคิ้วแน่น เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ยอมเด็ดขาด
“มีแค่สตรีเท่านั้นที่ใช้สีผึ้งทาปาก ท่านแม่! ข้าไม่ลอง…”
เหยาซูยิ้มพร้อมโน้มตัวลงมา ก่อนออกคำสั่งให้อาซือจับแขนทั้งสองข้างของพี่ชายไว้และพูดว่า “ก็แค่ลองดู ลองเสร็จเจ้าก็เช็ดออกได้! อีกอย่างตลอดฤดูหนาวเจ้ามักจะไม่ค่อยกินน้ำ ดูปากเจ้าสิแห้งผากจนเหมือนอะไรไม่รู้ เช่นเดียวกับมือของเจ้า ต้องรอให้แตกจนเลือดซิบก่อนสิท่า?”
การต่อต้านของอาจื้อนั้นถูกควบคุมไว้อย่างไร้ความปรานี สุดท้าย ‘ความไม่เป็นธรรม’ นี้ก็ทำให้เหยาซูใช้แปรงปาดสีผึ้งทาปากหนาเตอะได้สำเร็จ
สีผึ้งทาปากในครั้งนี้เหยาซูทำออกมาสองประเภท ประเภทที่หนึ่งคือมีสีสันของดอกอิ๋งชุนที่ถูกสกัดออกมา ผสมผสานจนกลายเป็นสีอ่อน และอีกประเภทคือการเติมแค่น้ำผึ้งลงไป ไร้สีไร้กลิ่น
ประเภทที่นางทาให้เด็กทั้งสองคน ก็คือประเภทหลัง
[1] ดอกอิ๋งชุน หรือ อิ๋งชุนฮวา(迎春花) ความหมายตรงตัวว่าดอกไม้รับวสันตฤดู เป็นดอกไม้สีเหลืองที่ผลิบานในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ชื่อสามัญคือ winter jasmine เป็นดอกของต้นไม้ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Jasminum nudiflorum Lindl. (ภาพจาก https://baike.baidu.com/item/%E8%BF%8E%E6%98%A5%E8%8A%B1/2379)
สารจากผู้แปล
ผลิตภัณฑ์น่าใช้มากเลยค่ะอาซู นอกจากเนื้อครีมจะดีซึมซาบไว ทำให้ผิวนุ่มเนียนแล้ว ตัวกล่องยังมีลูกเล่นแปลกกว่าเจ้าอื่นอีก
ไหหม่า(海馬)