บทที่ 163 หรือจะไปยังที่อยู่ของเหยาเฉาแล้ว?
หลินเหรากลับไม่สนใจสีหน้าที่สับสนวุ่นวายของเด็กหนุ่มข้างกาย
เขากำหนดตำแหน่งที่ตั้งของห้องโถงด้านหน้าไว้แล้ว ทั้งยังทำเครื่องหมายทิ้งเอาไว้ในที่ที่เห็นไม่ชัดนัก จากนั้นก็หมุนตัวจากไป
ครั้นเสี่ยวเว่ยเห็นเขาเตรียมจากไป จึงได้สติกลับมา “ไอ้หยา เจ้าจะไปไหน?”
“ก็ไปตามหาคนน่ะสิ”
เด็กหนุ่มไม่ค่อยเข้าใจการกระทำของเขา “เจ้าไม่คุ้นชินกับที่นี่เลยแม้แต่น้อย แล้วจะหาเจอได้อย่างไร? สู้เฝ้าต้นไม้รอกระต่ายอยู่ที่เดิมดีกว่า ก่อนที่งานเลี้ยงจะเริ่ม ผู้นำของค่ายลับจะต้องมาอย่างแน่นอน”
หลินเหราได้ยินดังนั้น กลับส่ายหน้าและพูดว่า “ไม่ได้ ภายใต้การรวมตัวกันของพวกโจรจำนวนมาก ยิ่งยากต่อการจับโจร มีแค่ต้องจับผู้นำโจรอย่างเงียบ ๆ จึงจะได้ผล”
เสี่ยวเว่ยขมวดคิ้วแน่น เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นด้วย
เขากำลังพูดอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นกลับได้ยินเสียงฝีเท้าคนกลุ่มหนึ่ง
มีคนสองคนเดินออกมาจากห้องโถงด้านหน้าของค่ายลับ จากนั้นก็เดินทะลุผ่านพุ่มไม้ตรงมายังสถานที่ที่ซ่อนตัวของทั้งสองคน
รูปร่างและเสื้อผ้าที่สองคนนั้นสวมใส่ดูธรรมดา พวกเขาเดินไปข้างหน้าพลางพูดคุยหัวเราะกันเสียงดังไม่สนใจใคร โดยที่ไม่รู้ว่าอีกไม่กี่ก้าวข้างหน้า จะต้องเหยียบย่างเข้าสู่ประตูนรกแล้ว…
หลินเหราและเสี่ยวเว่ยล้วนเป็นคนที่ระมัดระวังตัว ครั้นได้ยินเสียงนั้น ก็กุมมีดสั้นไว้แน่นทันที
โจรภูเขาเคลื่อนกายเข้ามาใกล้อย่างช้า ๆ ทันทีที่เห็นพวกเขา หลินเหราและเสี่ยวเว่ยต่างมองหน้ากัน ต่อจากนั้นก็พุ่งตัวออกมาจากพุ่มไม้
ปลายมีดสั้นอันแหลมคมในมือของทั้งสองคนปาดไปบนลำคอของโจรภูเขาอย่างพร้อมเพรียง พริบตาเดียวเลือดสีแดงสดก็ทะลักออกมา แต่กลับไร้ซึ่งเสียงร้องใด ๆ
ครั้นร่างของทั้งสองคนล้มลงบนพื้น นัยน์ตาที่เบิกกว้างยังคงฉายแววตื่นตระหนก กระทั่งล้มไปกองกับพื้นจนเกิดเสียงดังตุบสองครั้ง
เสี่ยวเว่ยใช้หลังมือเช็ดหยดเลือดที่สาดกระเซ็นมาบนใบหน้าพลางถอนหายใจ จากนั้นก็หันไปถามหลินเหราว่า “จะจัดการกับสองคนนี้อย่างไร?”
หลังจากที่หลินเหราตวัดคมมีดแล้วก็ย่อตัวนั่งลง เพื่อไม่ให้ตนเองเป็นจุดสังเกต
เขาเก็บใบมีดเล่มนั้น จากนั้นก็ใช้มือยกศพขึ้นแล้วโยนศพทั้งสองลงไปในพุ่มไม้
เขาจัดการเรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างว่องไว แม้แต่ลมหายใจของเขาก็ยังคงที่ “แค่นี้ ก็เสร็จแล้วนี่?”
ก่อนหน้านั้นเสี่ยวเว่ยเคยเห็นหลินเหราจัดการโจรภูเขาที่หลงมาเพียงลำพังจากที่ไกล ๆ แต่ครั้นเห็นในตอนนี้เขาสังหารคนและซ่อนศพด้วยท่าทางปกติราวน้ำไหลเมฆเคลื่อนอย่างเป็นธรรมชาติ รวดเร็วฉับไว สีหน้ายังดูปกติคล้ายกับกำลังกินข้าวดื่มน้ำ แม้แต่สีหน้าแววตาก็ไร้ซึ่งความหวั่นไหว
เขาอดมองไปยังบุรุษตรงหน้าไม่ได้ และเมื่อเห็นความนิ่งเฉยอยู่ในสายตา ทันใดนั้นลำคอด้านหลังก็รู้สึกถึงความเย็นสะท้านบางอย่าง ส่งผลให้เด็กหนุ่มอดตัวสั่นไม่ได้ “พี่ พี่ใหญ่หลิน?”
หลินเหราไม่ค่อยเห็นเสี่ยวเว่ยผู้ซึ่งไม่เคยกลัวฟ้ากลัวดินจะแสดงสีหน้าเช่นนี้มาก่อน แต่กลับไม่ได้สนใจเขานัก ทำแค่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ตอนเจ้าชักมีดออกมาก็ไม่มีทีท่าจะลังเล ทำไมตอนนี้กลับกลัวเสียอย่างนั้นเล่า?”
เสี่ยวเว่ยร่อนเร่พเนจรอยู่ข้างนอกมาตั้งแต่เด็ก เจอะเจอกับคนชั่วช้าสามานย์มาก็ไม่น้อย แต่ผู้ที่เห็นชีวิตคนเป็นผักเป็นปลาเฉกเช่นหลินเหรา เขาเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก
ผู้ที่กลับมาจากสนามรบ ก็ยังไม่เป็นถึงเพียงนี้เลย?
หากเมื่อครู่อีกฝ่ายเข้ามาขัดขวางเขาในตรอกแคบ แล้วหลินเหราจำเขาไม่ได้หรือพี่รองไม่เคยกำชับหลินเหรามาก่อน …. ตอนนี้ศพที่นอนอยู่ในพุ่มไม้ก็มีความเป็นไปได้ว่าเป็นเขา?
เสี่ยวเว่ยอยากจะหนีห่างจากชายคนนี้ไปให้ไกล แต่กลับยังกัดฟันพูดว่า “กลัว? ข้านั้นหรือกลัวเจ้า? อย่าล้อเล่นกันสิ”
หลินเหรากลับไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอื่นใดออกมา
ในเวลานี้เขากำลังนึกย้อนกลับไปยังภาพบนแผนที่ของค่ายลับ กำหนดตำแหน่งอีกหลายแห่งในใจ จากนั้นก็กลั้นหายใจคลำทางอยู่ในความมืดอย่างเงียบเชียบ
ทิ้งเสี่ยวเว่ยที่นั่งคนเดียวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสับสนอยู่ที่เดิม
จะตามหรือไม่ตามไปดี?
เด็กหนุ่มพลันเกิดความลังเลขึ้นมา แต่สุดท้ายก็นึกถึงเหยาเฉาขึ้นได้ จึงกัดฟันกรอดแล้วตามไปยังทิศทางที่หลินเหราจากไป…
…….
ค่ายใหญ่ในภูเขาเฮยหู่นั้นไม่เล็กเลยจริง ๆ หลินเหราค้นหาตำแหน่งที่ผู้นำโจรภูเขาอาจจะอยู่ กระทั่งค้นหาจนมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งกลับพบกับความว่างเปล่า
ภายในเรือนนั้นไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียว ห้องทุกห้องล้วนว่างเปล่า
มีแค่ลูกน้องที่เข้ามาทำความสะอาดบางครั้งบางคราวเท่านั้น ดูท่าไม่เหมือนกับโจรภูเขาเลยสักนิด
หลินเหราขมวดคิ้ว จากนั้นก็หมุนตัวเดินตรงไปยังลานหลังบ้าน แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาผู้ใด
ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปยังทิศตะวันตก แม้ท่าทางของหลินเหราจะดูสุขุมเยือกเย็น แต่เขากำลังหมดความอดทน
เวลานี้คนผู้นั้นไม่อยู่ทั้งห้องโถงด้านหน้า ไม่อยู่ทั้งลานหลังบ้าน ในฐานะผู้นำโจรภูเขาจะไปอยู่ที่ใดได้?
เสี่ยวเว่ยที่ตามหลินเหรามาตลอดทางพลันปรากฏกายขึ้น หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน “ได้ยินว่าหัวหน้าใหญ่ของพวกเขารักตัวกลัวตายเป็นที่สุด คนที่อยู่รอบกายจะต้องมีไม่น้อยกว่าห้าคน เขาไม่มีทางมาอยู่ที่นี่แน่”
สถานที่หลินเหราและเสี่ยวเว่ยได้เหยียบเข้ามา แม้แต่สถานที่ที่เขาคาดไม่ถึง หลินเหราล้วนหาเจอทั้งหมด หากแต่พวกเขากลับไม่ได้อะไรเลย เด็กหนุ่มจึงอดปวดหัวไม่ได้ “ความจริงถ้าหาไม่เจอจริง ๆ เราน่าจะจับโจรสักคนมาสอบถามเสีย?”
วิธีการนี้เตือนสติหลินเหราได้ดี
ระหว่างทางเขาสนใจแค่อยากหลบเลี่ยงไม่ให้ผู้อื่นพบเจอ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าร่องรอยของหัวหน้าใหญ่ ผู้ที่น่าจะรู้ที่สุดก็คือคนที่อยู่ในค่ายลับแห่งนี้
ในเมื่อตอนนี้พวกเขาหาไม่เจอ จึงทำได้แค่ใช้แผนการนี้
กระทั่งเห็นเสี่ยวเว่ยอยากลิ้มลอง หลินเหรากลับยังมีสติ เอ่ยเตือนด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “อย่ากระทำการบุ่มบ่ามโดยเด็ดขาด ระหว่างทางเราฆ่าคนมาแล้วทั้งหมดหกคน ขืนมากกว่านี้เกรงว่าจะดึงดูดความสนใจของโจรคนอื่น ๆ”
เสี่ยวเว่ยกลับแบะปากอย่างไม่ใส่ใจ “ดึงดูดความสนใจแล้วอย่างไร? ขอแค่เราจับหัวหน้าโจรได้ ภูเขาเฮยหู่แห่งนี้ก็ต้องแพ้ภัยตัวเอง”
หลินเหรากลับส่ายหน้า และพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ภูเขาเฮยหู่เชื่อมต่อกับภูเขาไป๋หู่ หากมีคนเล็ดลอดออกไปแม้แต่คนเดียว มันจะนำหายนะตามมาทีหลังไม่รู้จบ คราวนี้จะแหวกหญ้าให้งูตื่นไม่ได้ ต้องรอกำลังเสริมของเราขึ้นเขามาก่อน แล้วค่อยลงมือขั้นตอนต่อไป”
หลินเหรามักจะปฏิบัติการเช่นนี้เสมอ แผนการจะต้องสอดประสานกัน ยืนหยัดและชัดเจนในเป้าหมาย
ส่วนเสี่ยวเว่ยมักจะทำตามใจตัวเอง คิดได้อย่างไรก็ทำอย่างนั้น เบี่ยงเบนเป้าหมายโดยไม่ใส่ใจสิ่งใด
บางทีการสั่งสอนเมื่อครู่และความปราดเปรียวอย่างเฉียบขาดในตอนที่จัดการกับโจรภูเขาของหลินเหราคงจะสร้างความสะเทือนใจแก่เสี่ยวเว่ย แม้ว่าในใจของเด็กหนุ่มจะไม่ใส่ใจมากนัก แต่ใบหน้ากลับแสดงสีหน้าเชื่อฟังมากทีเดียว
เขาเอ่ยถาม “แล้วแต่เจ้าก็แล้วกัน เช่นนั้นก็ว่ามาว่าจะให้ทำอย่างไร?”
ระหว่างพูดคุยอยู่นั้น ภายในลานบ้านก็มีคนที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าโจรภูเขาสามคนเดินเข้ามาพอดี สีหน้าของผู้ที่อยู่หน้าสุดนั้นหยิ่งผยองอวดดี ครั้นพ้นประตูเข้ามาก็ด่ากราดด้วยวาจาหยาบคายใส่ชายชราที่กำลังทำความสะอาดอยู่ในลานบ้านไม่ยั้ง “ไอ้แก่ตายยาก ข้าบอกให้เจ้าไปเก็บกวาดห้องโถงด้านหน้า ทำไมยังเงอะ ๆ งะ ๆ อยู่ที่นี่อีก?! มัวแต่ทำความสะอาดลานบ้านแห่งนี้ตั้งแต่เที่ยงจรดค่ำ จะกวาดไปถึงเมื่อไร?”
ชายชรามีสีหน้าซึมกระทือ จากนั้นก็ยืดตัวตรงพูดงึมงำว่า “ลานบ้านแห่งนี้ใหญ่เกินไป…”
โจรภูเขาหนึ่งในสามคนยกเท้าข้างหนึ่งถีบออกไป แต่กลับถูกสหายห้ามไว้ “อาต้า! อย่าลงไม้ลงมือเลย ขืนทำร้ายจนเดี้ยงอีกคน แล้วใครจะทำความสะอาดห้องโถงด้านหน้าเล่า?”
“ทำงานเชื่องช้าเงอะงะเช่นนี้ กว่าจะไปถึงห้องโถงกลางด้านหน้า งานเลี้ยงก็คงเริ่มพอดี แล้วจะกวาดทำซากอะไรอีก!”
คนเป็นผู้นำเผยสีหน้าร้อนใจ ก่อนจะตวาดออกไป “หุบปากไปให้หมดเสีย! ข้าไม่เชื่อหรอกว่า ภูเขาเฮยหู่ของเราจะหาคนทำความสะอาดลานบ้านไม่ได้สักคนเดียว! วันนี้จับไอ้พวกแห่ขบวนส่งตัวเจ้าสาวมาได้หลายคนไม่ใช่หรือ? ก็ไปเรียกคนที่ว่านอนสอนง่ายมาสักสองคนมาทำความสะอาดลานบ้านสิ!”
หลินเหราขยิบตาให้เสี่ยวเว่ย ส่งสัญญาณให้เขาตามคนผู้นั้นไป
เด็กหนุ่มชี้มาทางตัวเอง และเอ่ยถามอย่างไม่อยากเชื่อว่า “ข้า?”
เขากำลังจะพูดว่าเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับตัวเอง แต่กลับเห็นหลินเหราหันหน้ากลับไปแล้ว จากนั้นก็จ้องเขม็งไปยังสองคนที่อยู่ในลานบ้านอย่างไม่ละสายตา เสี่ยวเว่ยรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่กลับต้องยืนขึ้น
เขาไล่ตามพลางคิดในใจ ‘ก็แค่ช่วยหลินเหราจัดการปัญหา วันหน้าไว้เขาจะต้องกลับมาเอาคืน!’
เสี่ยวเว่ยมีรูปร่างเล็กและคล่องแคล่ว ไม่นานก็หาโอกาสหนึ่งได้ มีดที่อยู่ในมือได้ปาดลงบนคอของคนผู้นั้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็โน้มตัวออกแรงลากศพไปโยนไว้ในภูเขาเทียมที่อยู่ด้านข้าง
แต่หลังจากที่โยนออกไปได้ครึ่งเดียว กลับได้ยินเสียงคนพูดคุยกันดังขึ้นเลือนรางมาจากในภูเขาเทียม ร่างกายของเขาแข็งทื่อไปในทันใด ก่อนจะหมอบตัวลงโดยไม่กล้าขยับเขยื้อน
เสียงนั้นไม่ดังและไม่เบาเกินไป แต่มันกลับดังเข้ามาในหูของของเสี่ยวเว่ยพอดี เขาตั้งสมาธิ กระทั่งได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจน
“พี่รอง ได้ยินว่ามีสตรีคนหนึ่งเพิ่งขึ้นเขามา? พี่ใหญ่เห็นแล้วหรือยัง?”
คนพูดน่าจะเป็นหญิงวัยเยาว์คนหนึ่ง เพราะเสียงนั้นเล็กและเบามาก ทั้งยังเต็มไปด้วยการประจบสอพลอ
จากนั้นเสียงที่หยาบกระด้างของชายคนหนึ่งก็ดังขึ้น “พี่ใหญ่มีคนใหม่แล้ว เราสองคนจะได้อยู่ด้วยกันได้อย่างเปิดเผยแล้ว เจ้าดีใจหรือไม่?”
ไม่นานก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของหญิงสาวคนนั้นดังขึ้นมา แต่กลับพยายามกดมันให้ต่ำลง แล้วพูดอย่างแง่งอน “พี่รองพูดว่าอย่างไรนะ! ข้าดีใจจนฟังไม่ทัน….”
จากนั้นเสียงหัวเราะเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
ครั้นเสี่ยวเว่ยได้ยินดังนั้นก็รู้สึกกระวนระวายใจทันใด ใบหน้าที่ซีดเซียวได้แสดงสีหน้าหม่นหมองออกมา
ไอ้สวะน่ารังเกียจนั้นเป็นคนแบบไหนกัน ถึงได้มีคนเรียกตนว่าพี่รอง?!
เด็กหนุ่มนำมีดสั้นเปื้อนคราบโลหิตเช็ดเสื้อของคนที่นอนตายอยู่บนพื้น จากนั้นก็เตะคนผู้นั้นไปด้านข้าง แล้วแทรกตัวเข้าไปในภูเขาเทียมอีกด้านอย่างเงียบเชียบ
ส่วนบทสนทนาของทั้งสองคนยังคงดำเนินต่อไป
“พี่รอง ท่านว่าพี่ใหญ่จะให้เราสองคนอยู่ด้วยกันอย่างนั้นหรือ?” เสียงคล้ายกับไม่เต็มใจได้เอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
ตอนนี้เองเสี่ยวเว่ยก็ได้เห็นเหตุการณ์ด้านหลังภูเขาเทียมอย่างชัดเจน
เวลานี้ยังอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ แม้ว่าอากาศจะไม่เย็นแล้ว แต่หากไม่ใส่เสื้อคลุมก็ยังรู้สึกหนาวอยู่…
บุรุษที่ถูกเรียกว่า ‘พี่รอง’ มีใบหน้าอวบอิ่ม แขนสีดำคล้ำนั้นโอบรอบตัวของหญิงสาวไว้ ครั้นได้ยินประโยคนี้ กลับพลิกมือแล้วตบหน้าของฝ่ายหญิงทันที
เขาจับปลายคางของหญิงสาว และพูดอย่างหยาบคายว่า “ข้าว่าเจ้าดูไม่พอใจนะ?”
ใบหน้าซีกขวาของหญิงสาวบวมเป่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่สีหน้ากลับยังดูคล้ายดอกสาลี่ต้องหยาดฝน แม้จะร้องไห้แต่ใบหน้าก็ยังงดงาม จากนั้นก็ร้องออกมาอย่างน้อยเนื้อต่ำใจให้ตัวเอง “พี่รอง ท่านกำลังปรักปรำข้านะ! ในใจข้ามีแค่พี่รองผู้เดียว”
เสี่ยวเว่ยนอนหมอบอยู่บนภูเขาเทียม รู้สึกสะอิดสะเอียนอย่างอดไม่ได้ เขากำลังคิดจะเคลื่อนไหวแต่กลับได้ยินชายผู้นั้นพูดขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “ได้ยินว่าผู้หญิงคนนั้นมีหน้าตาไม่ธรรมดาเลย พี่ใหญ่ไปที่นั่นแล้ว หากเจ้ายังคิดเช่นนี้….”
หัวคิ้วของเด็กหนุ่มขมวดเข้าหากันทันใด
หัวหน้าโจรภูเขาที่พวกเขาหาเท่าไรก็หาไม่เจอนั้น ไปยังที่อยู่ของเหยาเฉาแล้วงั้นหรือ?
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เขาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงฉวยโอกาสตอนที่ชายมีเคราผู้นั้นไม่ทันระวังตัว กระโดดลงมาจากภูเขาเทียมนั้น และใช้มีดแทงลำคอของชายผู้นั้นทันที
เลือดสดสาดกระเซ็นเปื้อนใบหน้าและผมของหญิงสาว ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นฉับพลัน “กรี๊ด!”
ในใจของเสี่ยวเว่ยเต็มไปด้วยโทสะ การลงมือฆ่าคนจึงยิ่งโหดเหี้ยมมากขึ้น ใบหน้าของเขาเปื้อนไปด้วยคราบเลือดเป็นจุด ๆ นัยน์ตาฉายแววโหดเหี้ยมกำลังจ้องเขม็งไปยังคนตรงหน้า
หญิงคนนั้นใช้มือปิดปากไว้ จากนั้นก็กลืนเสียงกรีดร้องที่อยู่ในลำคอนั้นลงไป
ช่วงเวลาที่สบสายตาของชายชุดดำนั้น จิตสังหารที่แสนเย็นยะเยือกและเหี้ยมโหดก็ทะลักออกมา สร้างความหวาดกลัวจนน้ำมูกน้ำตาของนางไหลพรั่งพรู “ท่าน ท่านวีรบุรุษไว้ชีวิตข้าด้วย ข้าไม่ใช่คนในค่ายลับ! ไว้ชีวิตข้าด้วย!”
เสี่ยวเว่ยสะอิดสะเอียนจนอยากจะอาเจียนออกมา แต่ก็ยังนึกถึงความปลอดภัยของเหยาเฉา จากนั้นก็พลิกมือปาดลำคอของอีกฝ่ายอย่างไร้ความปรานี และเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
……………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ดูน้องเคารพรักพี่เฉามากนะคะเนี่ย ถึงกับไม่อยากให้พี่เฉาเป็นอะไรไปเลย
ไหหม่า(海馬)