เซี่ยเชียนไม่มีเวลาอยู่ในบ้านตระกูลหลินมากนัก
เขาไม่ชอบการเข้าสังคม แม้แต่การปฏิสัมพันธ์กับหลานชายผู้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดเพียงคนเดียวในโลกหล้าของตัวเอง ก็ยังไม่อยากอยู่นานเกินไป
ทั้งสองคนไม่ได้มีนิสัยช่างพูดเหมือนกัน ไม่นานเซี่ยเชียนก็กลับไปยังจวนผู้ตรวจการ เมื่อเซี่ยเชียนกลับไปแล้ว หลินเหราจึงพาอาจื้อและอาซือไปส่งที่บ้านของผู้เป็นลุง
จากนั้นก็นั่งอยู่หน้าโต๊ะเพียงผู้เดียว มองดูจอกชาที่ทั้งสองดื่มก่อนหน้านั้นโดยไม่ปริปากพูดสิ่งใด
งุนงงอยู่อย่างนั้นไปชั่วขณะหนึ่ง
เขานั่งอยู่เช่นนี้จนกระทั่งท้องฟ้าค่อย ๆ มืดมิดลง
ครั้นเหยาซูกลับมาจากข้างนอก ก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ในห้องเพียงลำพัง ดูท่าทางโดดเดี่ยวมากเหลือเกิน
ปกติแล้วคนที่มาเดินตลาดเมืองชิงถง ส่วนใหญ่จะเป็นชาวบ้านที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียง ดังนั้นช่วงบ่าย ตลาดในเมืองจึงไม่ได้มีผู้คนพลุกพล่านเท่าไรนัก
เหยาซูและเถ้าแก่เนี้ยเซวียจึงนั่งพูดคุยกันอยู่ในร้านน้ำชาพักใหญ่ จากนั้นถึงค่อยแยกย้ายกลับบ้าน
คาดไม่ถึงว่าทันทีที่กลับถึงบ้าน จะเห็นภาพนี้เข้า
หญิงสาวเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะเอ่ยด้วยความประหลาดใจว่า “เหตุใดวันนี้ถึงกลับมาเร็วเช่นนี้เล่า? ข้ายังคิดอยู่เลยว่าจวนผู้ตรวจการคงมีเรื่องบางอย่างให้ท่านไปจัดการ ตกดึกถึงค่อยกลับบ้านเป็นแน่”
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น ก่อนจะเอ่ยเรียกเสียงทุ้มต่ำ “อาซู”
เหยาซูรู้มาตลอดว่าดวงตาของหลินเหรานั้นงดงามมาก เขามีดวงตาเรียวดุจหงส์ที่ได้มาตรฐานที่สุด ครั้นเขานิ่งเฉยก็แผ่กลิ่นอายที่คนภายนอกไม่กล้าแม้แต่จะเข้ามาล่วงเกิน ทว่าตอนนี้นัยน์ตาที่แม้จะไม่ได้โกรธแต่ก็ยังมีกลิ่นอายที่ดุดันคู่นั้น ดูแฝงไปด้วยความเป็นกังวล ท้ายที่สุดความนิ่งเฉยก็ได้จางหายไป
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เหยาซูมาหยุดยืนอยู่ข้างกายเขา ก่อนจะออกปากถาม
หลินเหราไม่ได้พูดสิ่งใด ยังคงนั่งเงียบอยู่บนเก้าอี้ ไม่ไหวติง
ครั้นเห็นเหยาซูขยับเข้ามาใกล้อีกครั้ง เขาจึงได้ยื่นแขนออกไปหยั่งเชิงโอบกอดเอวของนางไว้
เหยาซูไม่ได้ต่อต้านนอกจากเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “เป็นอะไร? หืม?”
นี่คือครั้งแรกที่แขนทั้งสองข้างของเขาโอบรอบเอวบาง ๆ ของนางไว้ เพียงแต่หลินเหราในตอนนี้ ไม่ได้มีอารมณ์ที่อ่อนโยนละมุนละไมเหมือนครั้งก่อน ๆ แม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับหดหู่ใจอย่างมาก
“อาซู ข้า…”
เขาพยายามจะเอ่ย แต่กลับไม่รู้ว่าจะเริ่มเล่าจากตรงไหน
เหยาซูไม่เคยเห็นท่าทางเช่นนี้ของหลินเหรามาก่อน
คิดมาตลอดว่าชายหนุ่มนั้นใจเย็น แข็งแกร่งและไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด ไม่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับการร้องขอโดยไร้เหตุผลของตระกูลหลิน หรือว่าอยู่ต่อหน้าทุกคนในจวนตรวจการ หลินเหราก็มักจะทำให้ผู้อื่นรู้สึกถึงความเป็นผู้ใหญ่ของเขา
แต่สิ่งใดกันที่ทำให้เขาเปิดเผยความรู้สึกอ่อนแอที่พบเห็นได้ยากออกมาในตอนนี้?
เหยาซูทำได้เพียงตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ จากนั้นก็พลิกมือโอบรอบคอของหลินเหราอย่างแผ่วเบา ลูบเส้นผมของเขาราวกับปลอบโยนอยู่ในที ก่อนจะเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “เป็นอะไร? จวนตรวจการมีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ? หรือโจรภูเขาที่อยู่ในคุกสร้างปัญหาอันใดอีก?”
หลังจากที่นางรู้สึกว่าตัวเองนั้นทอดทิ้งหลินเหราไม่ได้ จึงทำได้แค่ปล่อยตามใจตัวเองสักครั้ง ทั้งสองคนต่างแสดงความจริงใจอย่างตรงไปตรงมา ความจริงใจเหล่านั้นจึงเพิ่มมากขึ้น…
ดังนั้นหลินเหราจึงได้มีพฤติกรรมที่ดูสนิทสนมกับนาง ไม่ได้หลบเลี่ยงราวกับเจอแมงป่องและงูเหมือนในครั้งอดีตอีกแล้ว
ความจริงแล้ว สิ่งที่นางพูดออกมาเหล่านี้ตนเองไม่อาจยอมรับได้ในใจ
หลินเหราไม่มีทางสร้างความลำบากใจให้อีกฝ่ายโดยเด็ดขาด แต่เหยาซูก็คิดเรื่องอื่นไม่ออกแล้ว ทำได้แค่หยั่งเชิงถามออกไป
แต่กลับได้ยินชายหนุ่มตอบเสียงทุ้มต่ำว่า “ไม่ใช่เรื่องพวกนี้ ข้า…วันนี้มีคนมาจากเมืองหลวง เขากับข้าเคยเจอกันครั้งหนึ่ง
เมืองหลวง? เมืองหลวงมีใคร เหตุใดถึงทำให้หลินเหราต้องแสดงสีหน้าเช่นนี้?
นางไม่เอ่ยสิ่งใด ได้แต่ฟังอยู่เงียบ ๆ
“เขาบอกว่า เขาเป็นน้าแท้ ๆ ของข้า”
เหยาซูตกตะลึงไปชั่วครู่ ใบหน้าแสดงสีหน้าสงสัย “น้า?”
หญิงสาวนิ่งงันไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองไปชั่วขณะ ทั้งยังครุ่นคิดว่าเป็นพี่น้องของแม่หวังคนไหน แต่แม่หวังเป็นแค่หญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่ง จะมีพี่น้องจากเมืองหลวงมาเยี่ยมเยือนได้อย่างไร
แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น หลินเหราก็ไม่น่าถึงขนาดแสดงท่าทางหดหู่ใจมากเพียงนี้
เหยาซูข่มความไม่เข้าใจและไม่ซักถามให้มากความ แต่กลับอดทนรอให้หลินเหราเรียบเรียงภาษาของตัวเอง
กระทั่งได้ยินเขาอธิบายต่อ “เขามีแซ่ว่า ‘เซี่ย’ นามว่า ‘เชียน’ มาจากเมืองหลวง เพื่อมาพบข้าสักครั้งโดยเฉพาะ”
เสียงของชายหนุ่มแหบแห้งมาก ครั้นพูดถึงตรงนี้เหยาซูก็ค่อย ๆ เข้าใจมากขึ้น
นางหวังและเซี่ยเชียนไม่ว่าจะเพราะเหตุใดล้วนแล้วแต่ไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน
จู่ ๆ หญิงสาวก็นึกถึงคำอธิบายที่แสนคลุมเครือเกี่ยวกับการดำรงชีวิตของหลินเหราจากในนิยายต้นฉบับขึ้นมาได้ รู้สึกว่าตัวเองนั้นดูเหมือนจะค่อย ๆ เจอเค้าความจริงของเรื่องราวมากขึ้น
เวลานี้ นางพยายามหลบเลี่ยงปัญหาที่อาจจะทำให้หลินเหรารู้สึกลำบากใจอย่างระมัดระวังด้วยการเอ่ยถามว่า “เซี่ยเชียน …เขาเป็นคนแบบไหนหรือ?”
หลินเหราครุ่นคิดจากนั้นก็เอ่ยออกมาอย่างจริงจัง “เซี่ยเชียนเป็นปัญญาชน บุคลิกภาพทางร่างกายชัดเจน”
เหยาซูอดยิ้มไม่ได้…นี่เป็นการประเมินแบบใดกันเนี่ย?
กระทั่งได้ยินหลินเหราพูดต่อว่า “เขาไม่เคยทำสิ่งใดตามใจชอบ ดูไร้ความมุ่งมาดปรารถนา แต่ร่างกายกลับมีเครื่องพันธนาการอันหนักหน่วง”
หญิงสาวไม่เข้าใจ “หมายความว่าอย่างไร?”
หลินเหราไม่ได้หดหู่ใจมากถึงเพียงนั้นแล้ว จึงเล่าเรื่องของเซี่ยเชียนกับนาง
“เครื่องพันธนาการของตระกูลเซี่ย แม้ว่าเขาจะมีอายุไม่มากนัก อีกทั้งใบหน้าก็ยังดูอ่อนเยาว์ แต่สีหน้ากลับไม่ได้ดูผ่อนคลายเลยแม้แต่ชั่วขณะเดียว”
“อาซู แม้ว่าข้าจะไม่รู้จักกับเขา แต่หลังจากที่ข้าได้เห็นใบหน้าของเขาในตอนนั้น ก็รับรู้ได้ว่าไม่มีทางที่เขาผู้นั้นจะไม่เกี่ยวข้องกับข้า ยิ่งตอนที่เขากับอาจื้อยืนด้วยกัน ข้าก็รู้ทันทีว่าในร่างกายของข้ามีสายเลือดของตระกูลเซี่ยไหลเวียนอยู่”
เหยาซูฟังอย่างเงียบ ๆ บางครั้งก็ใช้นิ้วสางเส้นผมสีดำขลับที่ถูกรวบสูงของหลินเหราอย่างอ่อนโยน ก่อนเอ่ยถามเขาด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ตระกูลเซี่ย เป็นอย่างไรหรือ? เหตุใดเขาถึงตามหาท่านด้วย?”
เสียงของหลินเหราต่ำมากแต่ก็ยังเล่าเรื่องที่ตัวเองรู้ให้เหยาซูฟังจนหมดเปลือก
ทั้งเรื่องการล่มสลายและการถูกใส่ความของตระกูลเซี่ย ความอดกลั้นและการระเบิดอารมณ์ของตระกูลเซี่ย ทั้งยังได้ยินเรื่องของมารดาผู้ให้กำเนิดของหลินเหราจากปากของเขาเอง… คล้ายกับการฟังเรื่องเล่าที่ยืดยาวและซับซ้อนเรื่องหนึ่ง เหยาซูคาดไม่ถึงว่า เค้าโครงชีวิตของหลินเหราที่แฝงอยู่ในนิยายต้นฉบับจะเกี่ยวพันกับบุญคุุณความแค้นมากมายเช่นนี้
“เช่นนั้นตระกูลเซี่ยในตอนนี้ ก็เหลือเพียงแค่เซี่ยเชียนคนเดียวนะสิ?” หญิงสาวถาม
หลินเหราพูดเสียงต่ำ “ใช่ เหลือเขาคนเดียว”
ครั้นเหยาซูเห็นเขาอารมณ์ดีขึ้นบ้างแล้ว จึงยึดตามคำพูดก่อนหน้านั้น ด้วยการขมวดคิ้วและพูดต่อว่า “ตอนนี้การประทุษร้ายของตระกูลเซี่ยได้ถูกตีแผ่แล้ว เหตุใดเขาถึงไม่แต่งสะใภ้และมีลูกเล่า? ปล่อยให้ตัวเองอยู่โดดเดียวเพียงลำพัง มันหมายความว่าอย่างไร?”
หลินเหรากลับส่ายหน้า “ตลอดหลายปีที่เขาเฝ้าตามหา… หากไม่เจอ ก็มีความตั้งใจว่าจะไม่สืบสายเลือดตระกูลเซี่ยต่อ หากไม่ใช่เพราะหัวหน้าผู้ตรวจการส่งจดหมายไปถึงเมืองหลวง บอกเขาว่ามีข่าวของ… เกรงว่าเขาก็คงจะไม่ได้มาเจอข้า”
ดูเหมือนชายหนุ่มจะยังไม่รู้ว่าควรเรียกขานคนที่อาจจะเป็นผู้ให้กำเนิดเขาว่าอย่างไร ทำได้แค่พูดอย่างคลุมเครือ
ทั้งสองคนพูดคุยเรื่องของเซี่ยเชียนครู่หนึ่ง ในใจของเหยาซูก็อดทอดถอนใจยาว ๆ ไม่ได้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนที่ไม่เคยพบหน้า ช่างน่าสลดใจยิ่งนัก
กระทั่งรู้สึกว่าอารมณ์ของหลินเหราคงที่มากขึ้น นางจึงเอ่ยถามอย่างอ่อนโยนว่า “ตกดึกอยากจะกินอะไรหรือไม่? ข้าจะทำให้”
หลินเหราจึงได้ปล่อยแขนที่สวมกอดเอวของเหยาซูมาตลอด ทว่ายังคงก้มหน้า หลุบตามองต่ำโดยไม่พูดสิ่งใด
พอเห็นท่าทางขุ่นเคืองเหมือนกับเด็กเอาแต่ใจของหลินเหรา เหยาซูจึงรู้สึกแปลกใจอย่างมาก
แต่เมื่อคิดได้ว่าปกติแล้วเขาก็ไม่เคยก็แสดงสีหน้าใด ๆ แม้ว่าจะเลือดตกยางออกอย่างไรก็ตาม เหยาซูจึงรู้สึกเจ็บปวดใจอีกครั้ง
ปกติแล้วหลินเหราไม่ค่อยพูดจา แม้จะบาดเจ็บก็ไม่ยอมพูด ได้รับความไม่เป็นธรรมก็สามารถปล่อยวางได้เอง ราวกับตัวเองนั้นแข็งแกร่งจนไม่มีใครสามารถสร้างความไม่เป็นธรรมกับเขาได้
แต่ไฉนเลยจะไม่เจ็บปวด
หญิงสาวโน้มตัวลงมองหลินเหรา จากนั้นก็เอ่ยปลอบโยนด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลมากขึ้น “เอาล่ะ รอให้เรากินข้าวเสร็จก่อน จากนั้นก็กล่อมเด็กทั้งสามเข้านอน แล้วข้าจะมานั่งดื่มชาเป็นเพื่อนท่านดีไหม? ท่านมีความคิดอะไรในใจ ดีใจหรือไม่ดีใจ เล่าให้ข้าฟังได้ทุกอย่าง เราเป็นสามีภรรยากัน ก็ควรช่วยกันแบกรับสิ”
ไม่รู้ว่าประโยคไหนที่สะกิดใจเขา แววตาของเขาค่อย ๆ อบอุ่นขึ้น จากนั้นก็พยักหน้าพร้อมตอบรับหนึ่งครั้ง
เมื่อครู่ในตอนที่เหยาซูมาถึงบ้านนั้น ก็บ่ายคล้อยมากแล้ว
ตอนนี้ยังพูดคุยกับหลินเหราอยู่พักใหญ่ เมื่อเธอชำเลืองมองท้องฟ้า ก็พบว่าถึงเวลาทำอาหารแล้ว จึงพูดกลับหลินเหราว่า “ข้าไปรับเด็ก ๆ กลับบ้านก่อน ซานเป่าน่าจะตื่นนอนแล้ว ต้องกินข้าวแล้วล่ะ”
หลินเหราไม่แสดงความคิดเห็นใด เพียงลุกขึ้นและเอ่ยถามนางว่า “ข้าไปกับเจ้าแล้วกัน”
เหยาซูยิ้มพลางตอบว่า “ห่างกันแค่นี้เอง เดินไปทำไมตั้งสองคน? ท่านพักผ่อนอยู่บ้านเถอะ ข้าจะรีบกลับ”
หญิงสาวหมุนตัวเดินออกจากบ้านไป ไม่นานก็อุ้มซานเป่ากลับมา แต่หลินเหราไม่เห็นอาจื้อและอาซือกลับมาด้วย
………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ตอนนี้อาเหราต้องการกำลังใจอย่างมากเลย ดีที่อาซูเข้าใจ
อยู่ดี ๆ ก็มีญาติที่คิดว่าล้มหายตายจากไปนานมากแล้วปรากฏตัวขึ้นมา ใครจะไม่เคว้งบ้าง
ไหหม่า(海馬)