บทที่ 191 เราก็เข้าเมืองหลวงด้วยสิ
คราวนี้เจิ้งอันตื่นตกใจแล้วจริง ๆ
เขาคิดพิจารณาจากคำพูดของหลินเหราอย่างละเอียดถี่ถ้วนครู่หนึ่ง เหตุใดถึงได้รู้สึกว่ามันไม่เหมือนกับสิ่งที่ควรจะพูดออกมาจากปากของเขาเสียอย่างนั้น
หลินเหราเคยชินกับการแก้ไขปัญหาอย่างตรงไปตรงมา ปกติแล้วเขาไม่มีทางสร้างความยุ่งยากให้แก่ผู้อื่นแน่นอน
ความอดทนที่ผิดปกติในวันนี้ กอปรกับน้ำเสียงที่ค่อนข้างคุ้นเคยเมื่อพูดกับเซี่ยเชียน ล้วนแต่ทำให้ยากจะเข้าใจทั้งสิ้น
เดิมทีเจิ้งอันกำลังนั่งอยู่ จู่ ๆ ก็ลุกพรวดขึ้น เดินวนรอบตัวหลินเหรามองเขาอยู่หลายครั้งหลายครา ก่อนจะพูดโดยไม่รู้ตัวว่า “สหายหลิน ท่าทางของเจ้าในวันนี้ดูแปลก ๆ ไปนะ”
หลินเหราหันกลับไปมองอีกฝ่ายโดยไม่ส่งเสียงใด ๆ ออกมา
เจิ้งอันลูบปลายคางก่อนจะพูดราวกับครุ่นคิดบางอย่างว่า “ปกติแม้แต่ประโยคไร้สาระก็ล้วนแต่ไม่ยอมพูดออกมา เหตุใดวันนี้ถึงได้พูดมากเพียงนี้?”
ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ที่ข้าพูดในวันนี้ มันไร้สาระอย่างนั้นหรือ?”
“ก็ไม่เชิง…” เจิ้งอันครุ่นคิดและพูดต่อว่า “ปกติแล้วเจ้าไม่ฟังข้าพล่ามไร้สาระมากมายขนาดนี้!”
หลินเหราไม่สนใจเขา
เจิ้งอันยังคงถามออกมาไม่หยุด “วันนี้สหายหลินอารมณ์ดีอย่างนั้นหรือ? จะว่าไปเมื่อวานเหตุใดหัวหน้าเซี่ยผู้นั้นถึงได้กลับบ้านกับเจ้าได้ล่ะ? เขามาจากที่ใดหรือ?”
เมื่อเห็นหลินเหรายังไม่เคลื่อนไหว เจิ้งอันจึงลูบคางพลางเอ่ยต่อ “ยิ่งไปกว่านั้น แต่ก่อนเจ้ามักจะมาถึงจวนตรวจการคนแรกสุดเสมอ วันนี้กลับมาสายมากโข อีกทั้งยังอารมณ์ดีไม่ใช่น้อย ข้าว่าจะต้องเกิดเรื่องดี ๆ บางอย่างขึ้นแน่นอน”
ครั้นเห็นเขายิ่งพูดก็ยิ่งไม่เข้าท่า หลินเหราจึงยืนขึ้นเพราะคร้านจะสนใจอีกฝ่าย
ยากนักที่จะได้เห็นสีหน้าที่ไม่ได้ดูเย็นชามากนักบนใบหน้าของหลินเหรา เจิ้งอันยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากกว่าเดิม หลังจากที่ยุ่งวุ่นวายอยู่พักใหญ่ และเห็นว่าเขายังไม่มีการตอบสนองใด ในที่สุดก็หย่อนก้นนั่งลงอีกครั้ง “ช่างเถอะ ๆ ก็เจ้ามีนิสัยไม่ชอบพูดนี่นา ไฉนเลยจะคาดหวังให้เจ้าพูดมากกว่านี้ได้ กลางวันไปกินข้าวด้วยกันไหม?”
หลินเหราจึงได้สติกลับมา เขาส่ายหน้าปฏิเสธ “ข้ากำลังรอใครคนหนึ่ง เจ้าไปก่อนเถอะ”
เจิ้งอันถึงกับสำลักไปครู่หนึ่ง
เขาจึงเข้าใจว่าเหตุใดวันนี้หลินเหราถึงได้มีความอดทนมากเช่นนี้ ยอมนั่งฟังเขาบ่นรำพึงรำพันมาโดยตลอด อารมณ์ของเจ้าตัวในตอนนี้ไม่ได้กำลังฟังเขาพูด แต่ที่แท้ก็กำลังรอใครบางคนอยู่!
ส่งผลให้ความตื้นตันใจในช่วงระยะหนึ่งพลันเปลี่ยนไป ใบหน้าของเขาแสดงสีหน้ายากที่จะพรรณนาออกมาได้ จากนั้นก็หมุนตัวและเดินจากไป
เมื่อมาถึงหน้าประตู ก็บังเอิญเจอกับเซี่ยเชียนพอดี เขาจึงยกมือขึ้นมาทำความเคารพ “หัวหน้าเซี่ย ถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้ว ยังไม่ไปกินข้าวอีกหรือขอรับ? ไปกินด้วยกัน…”
เขาเชื้อเชิญเซี่ยเชียนด้วยความหวังดี เนื่องจากผู้ตรวจการนั้นยุ่งตัวเป็นเกลียว จึงไม่สามารถดูแลแขกได้ดีเท่าไรนัก เจิ้งอันกลัวว่าเซี่ยเชียนจะกลัวเสียหน้าจนกินข้าวไม่ได้ จึงตั้งใจจะลากเขาไปด้วยกัน
แต่ยังไม่ทันที่เจิ้งอันจะพูดจบ เซี่ยเชียนก็พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ต้องขอโทษด้วย ข้ามีนัดแล้ว”
สีหน้านั้นของเขาและท่าทางเย็นชาในวันปกติของหลินเหราเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน ทำให้นึกถึงท่าทางชวนโมโหเมื่อครู่ของหลินเหราขึ้นมา
เจิ้งอันสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ จู่ ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะต้องหายใจอย่างไรเสียอย่างนั้น ทำให้เขาเกือบหายใจไม่ออกทีเดียว
เซี่ยเชียนเดินเข้าไปในห้องรับรองโดยตรง จากนั้นก็กล่าวทักทายกับหลินเหราด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ ทั้งสองคนไม่คุยสิ่งใด เพียงแค่เดินออกไปด้วยกันอย่างเข้าใจ
เจิ้งอันส่ายหน้าพลางเดินออกจากจวน พร้อมกับครุ่นคิดในใจ
ใครบอกว่าคนที่มีนิสัยเย็นชาไร้ความรู้สึกจะไม่ถนัดเข้าสังคม ตอนนี้เขาเห็นกับตาว่าคนที่ไม่ชอบพูดทั้งสองคนเดินออกไปด้วยกัน
กลับกลายเป็นเขา…ที่ต้องอยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพังในยามอู่ หาข้าวต้มอ่อน ๆ กินไปเรื่อยเปื่อย
มื้อเที่ยงหลินเหราและเซี่ยเชียนได้กินอาหารด้วยกันหนึ่งมื้อ
ตอนนี้อยู่ในช่วงต้นวสันตฤดู สำนักบัณฑิตฮั่นหลินค่อนข้างยุ่งวุ่นวายมาก เซี่ยเชียนจึงอยู่ได้ไม่นานนักก็กล่าวลา
สำหรับเซี่ยเชียน หลินเหรายังคงรู้สึกว่าเขาเป็นคนแปลกหน้าตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ดูเหมือนจะไม่รู้ว่าควรจะต้องเผชิญหน้าอย่างไรไปชั่วขณะ
ครั้นได้ยินเขากล่าวลา หลินเหราก็ได้แค่พูดว่า “จะเดินทางเมื่อใดขอรับ?”
เซี่ยเชียนตอบว่า “พรุ่งนี้เช้า”
แม้ว่าปากของหลินเหราจะไม่ขานเรียกเขาว่าท่านน้า แต่ในใจก็ยอมรับในตัวของเซี่ยเชียนคนนี้จึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ท่านยังไม่ได้เจออาซูและซานเป่าเลย”
ในตอนที่เซี่ยเชียนได้เจอกับหลินเหราแค่คนเดียวในตอนแรกนั้น จิตใจก็ปั่นป่วนมากแล้ว แต่ตอนนี้ได้ฟื้นตัวกลับมาอยู่ในท่าทางปกติของเขาแล้ว
ไม่ชอบสร้างปัญหา ไม่ชอบเข้าสังคม
ครั้นได้ยินดังนั้น เซี่ยเชียนก็พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า “ฝากทักทายแทนข้าด้วย”
แม้ว่าเขาจะอาวุโสกว่าหลินเหรารอบหนึ่ง แต่ดูไปแล้วก็ยังอายุไม่มากนัก เหมือนกับพี่น้องของหลินเหราเสียมากกว่า
นิสัยใจคอของทั้งสองคนก็คล้ายคลึงกันมาก เพียงแต่ท่าทีเย็นชาของเซี่ยเชียนนั้นเหมือนจะขัดหูขัดตายิ่งกว่า ส่วนความเย็นชาของหลินเหราไม่ได้ชวนโมโหแต่อย่างใด
บางครั้งหลินเหราก็คิดว่า หากข้างกายของตัวเองไม่มีคู่ชีวิตอย่างเหยาซู เขาจะเหมือนกับเซี่ยเชียนหรือไม่ เย็นชาและโดดเดี่ยว ก็คงจะเหมือนกับสระน้ำที่ตัดขาดจากโลกภายนอก มืดสนิทและลึกจนหาจุดสิ้นสุดไม่ได้ ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ
เขาไม่บีบบังคับเซี่ยเชียน เพียงพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ข้าได้จัดคนไปส่งท่านแล้ว”
ทั้งสองคนยังคงปรึกษาหารือถึงแผนการเดินทางในวันพรุ่งนี้ ตอนนี้จวนตรวจการยุ่งอยู่กับภารกิจมากมาย เซี่ยเชียนเองก็ไม่อยากสร้างความยุ่งยากให้ผู้อื่นจึงพูดแค่ว่า “ตอนข้ามาข้ามาอย่างไร ตอนกลับข้าก็จะกลับอย่างนั้น ไม่ต้องจัดคนไปส่งข้าหรอก”
ในตอนที่เซี่ยเชียนเดินทางมานั้น มีแค่รถม้าและคนขับม้าหนึ่งคน หลินเหรากลับไม่สามารถให้เขากลับไปแบบนี้ได้
เขาจึงถือวิสาสะเพิ่มทหารองครักษ์สองคนและคนรับใช้ที่ทำหน้าที่ดูแลอาหารการกินอีกหนึ่งคน เมื่อเป็นเช่นนี้เซี่ยเชียนจึงไม่อาจปฏิเสธได้อีก
สุดท้าย ทุกอย่างได้ถูกจัดแจงไว้แล้ว หลินเหรายังเอ่ยถามเพิ่มอีกว่า “จะไม่อยู่เจออาซูจริง ๆ หรือขอรับ?”
โดยส่วนตัวแล้วเขาหวังให้เซี่ยเชียนนั้นได้เจอกันเหยาซูก่อน
บางทีอาจเพราะการปลอบใจของเหยาซูเมื่อวาน จึงทำให้ปมที่อยู่ภายในใจของเขาคลายลง สำหรับหลินเหราแล้ว เซี่ยเชียนคือสื่อกลางที่เกี่ยวข้องกับมารดาผู้ให้กำเนิดอย่างที่คิดไว้ เป็นญาติของฝ่ายแม่เพียงคนเดียวที่เหลืออยู่
สำหรับเซี่ยเชียนแล้ว หลินเหราคือครอบครัวและเป็นสายเลือดเพียงคนเดียวในโลกหล้านี้ของเขา จะมีใครเล่าปฏิเสธที่จะยอมรับญาติทางสายเลือดได้? ยิ่งไปกว่านั้น เซี่ยเชียนก็ไม่มีทั้งลูกชายทั้งลูกสาว ไม่ได้ตบแต่งภรรยา การมีชีวิตที่โดดเดี่ยวนั้นย่อมต้องเหงามากอย่างแน่นอน
แต่เซี่ยเชียนกลับยังยืนกรานหนักแน่น ส่ายหน้าและพูดว่า “ไม่ต้องยุ่งยากหรอก”
หลินเหราจึงไม่โน้มน้าวอีกต่อไป
พวกเขาเดินออกมาจากโรงเตี๊ยม ตรงกลับไปยังจวนตรวจการ ทั้งสองคนเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันไปตลอดทาง สีหน้าก็ยังเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน
ม้าตัวใหม่ที่มาถึงค่ายของจวนตรวจการจำเป็นจะต้องให้หลินเหราไปตรวจสอบด้วยตัวเอง อีกทั้งเรื่องของการอบรมฝึกฝนทหารม้าก็ยังต้องดำเนินการต่อ เขาจึงต้องมาส่งเซี่ยเชียนไว้ในจวนตรวจการ แล้วควบม้าตรงไปยังชานเมืองทันที
เช้าตรู่วันถัดมา เซี่ยเชียนไม่รอให้หลินเหรามาส่งแต่อย่างใด รีบพาตัวเองกลับเข้าเมืองโดยเร็ว
เจิ้งอันยังตื่นตกใจมากจนถึงขั้นไม่เข้าใจ “หัวหน้าเซี่ยคนนี้มาไวไปไวเสียจริง ข้ารู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและสหายหลินไม่เลวเลยนะ อย่างน้อยก็ได้รอส่งเจ้า”
หลินเหราส่ายหน้า “เขาก็มีนิสัยเช่นนี้”
แค่ประโยคนี้ ไม่ได้อธิบายขยายความแต่อย่างใด ก็บ่งบอกได้ว่าเซี่ยเชียนไม่ใช่คนที่จะใส่ใจความคิดของผู้อื่น
บางทีเจิ้งอันและคนอื่นอาจจะไม่เข้าใจเซี่ยเชียนก็ได้ แต่หลินเหราที่ไปมาหาสู่กับเขาแม้เพียงระยะเวลาสั้น ๆ กลับเข้าใจความคิดของเขามากอย่างแท้จริง
สายเลือดเดียวกับเขา ทั้งเรื่องตำแหน่งชื่อเสียง และหน้าที่การงานก็ล้วนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นเดียวกัน มิเช่นนั้นเขาก็คงไม่มีความคิดที่จะแต่งงาน
เพียงเพราะหลินเหราเป็นลูกพี่สาวของเขา ทั้งยังเป็นความคะนึงหาและความละอายแก่ใจของเซี่ยเชียนมานานหลายปี เขาจึงมาที่นี่ และเข้ามาเกี่ยวข้องกับหลินเหรา
ส่วนเรื่องอื่น ๆ ไม่มีสิ่งใดมากไปกว่านี้อีกแล้ว
โชคดีที่หลินเหราเข้าใจความรู้สึกนี้จึงไม่ได้รู้สึกว่าเขานั้นเย็นชา หากเปลี่ยนเป็นคนภายนอกเกรงว่าคงจะไม่เข้าใจนิสัยแปลกประหลาดของเซี่ยเชียนแน่นอน
……
หลังจากที่เซี่ยเชียนกลับไป สองสามวันหลังจากนั้นหลินเหราก็ได้รับจดหมายของเขา
ในจดหมายกลับสะท้อนความเป็นตัวตนของเซี่ยเชียนได้เป็นอย่างดี กระชับได้ใจความ ไม่มีการพล่ามไร้สาระ ชี้แจงถึงสถานการณ์ตอนนี้ของสำนักกว๋อจื่อเจี้ยนในเมืองหลวงอย่างชัดเจน ให้เขาและเหยาซูรีบปรึกษากันว่าจะส่งอาจื้อเข้าเมืองหรือไม่
รอให้ต้นวสันตฤดูผ่านพ้นไป ก็จะเข้าสู่ช่วงการเปิดรับสมัครบัณฑิตแล้ว
ในเมืองหลวงจึงมีลูกศิษย์จากตระกูลน้อยใหญ่หวังเข้ามาร่ำเรียนอยู่ในสำนักกว๋อจื่อเจี้ยน ถ้าอาจื้ออยากเข้าก็ควรเตรียมตัวสอบตั้งแต่เนิ่น ๆ
ช่วงบ่ายหลังหลินเหรากลับมาถึงบ้าน ก็เอาจดหมายให้เหยาซูอ่าน ทั้งยังเล่าเรื่องที่เซี่ยเชียนปรารถนาจะให้อาจื้อไปเรียนในสำนักกว๋อจื่อเจี้ยนก่อนหน้านั้นกับนางด้วย
เมื่อถึงช่วงมื้อค่ำ บังเอิญว่าพวกเด็ก ๆ อยู่ด้วยพอดี เหยาซูจึงได้ถามอาจื้อว่า “เจ้าคิดอย่างไร? อยากไปหรือไม่?”
อาจื้อไม่ได้พูดว่าจะไปหรือไม่ไป เพียงตอบอย่างจริงจังว่า “ท่านปู่เซี่ยได้พูดกับข้าไว้แล้ว ข้าคิดว่าในเมืองนั้นอยู่ห่างจากบ้านไม่ไกลนักขอรับ”
อาซือที่อยู่ข้างกายได้แต่งุนงง แต่ยังไม่วายรู้จักแสดงความคิดเห็นของตัวเอง จึงพูดกับเหยาซูว่า “ท่านพี่เข้าเมืองหลวง เข้าเมืองหลวง!”
เหยาซูพยักหน้า ก่อนจะยิ้มพร้อมลูบศีรษะของอาซืออย่างอ่อนโยน ทุกคนจึงได้เริ่มกินข้าวและไม่ได้เอ่ยถึงหัวข้อนี้อีก
ตกดึก เด็ก ๆ ต่างก็หลับกันหมดแล้ว เหยาซูและหลินเหราจึงได้ปรึกษากัน “เมื่อครู่ข้าได้คิดอย่างดีแล้ว ถ้าไปเรียนในสำนักกว๋อจื่อเจี้ยนได้ ก็ย่อมดีกว่าสำนักศึกษาทั่วไปอย่างมาก เพียงแต่…”
ครั้นพูดถึงตรงนี้ หญิงสาวก็เกิดลังเลขึ้นมา
หลินเหราเงยหน้ามองไปยังเหยาซูด้วยความสงสัย
กระทั่งได้ยินเหยาซูพูดแค่ว่า “ที่นั่นของหัวหน้าเซี่ย เป็นอย่างไรบ้าง?”
แม้ว่านางจะถามเช่นนี้ แต่หลินเหรากลับเข้าใจความกังวลของเหยาซูอย่างแท้จริง
เซี่ยเชียนเป็นคนที่เย็นชา ทั้งยังคนละช่วงวัยกับอาจื้อ เหยาซูจึงเป็นกังวลว่าเขาจะไม่เต็มที่กับเด็ก ๆ
หลินเหราจึงเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่ต้องเป็นกังวลไป เขาเป็นคนที่ไม่ชอบสร้างปัญหาให้ใคร ในเมื่อพูดเช่นนี้ แสดงว่าคงจะอยากให้อาจื้อไปจริง ๆ”
เหยาซูจึงตอบแค่ “อือ” เบา ๆ
หญิงสาวเชื่อการตัดสินใจของหลินเหรา ในใจแค่คิดว่าอย่างน้อยเมืองหลวงก็ใกล้กว่าซูโจวมาก ถึงตอนนั้นหากอาจื้อมีปัญหาอะไร ระยะทางที่ใกล้กันแค่นี้คงจะสะดวกกว่า
เหยาซูวางด้ายและเข็มในมือลง จากนั้นก็ลุกขึ้นและจุดตะเกียงน้ำมันให้สว่างขึ้น
ตอนนี้สภาพจิตใจของหลินเหราและเหยาซูค่อนข้างอ่อนไหวง่าย ครั้นเห็นท่าทางของนางก็รู้ทันทีว่าหญิงสาวต้องมีเรื่องในใจเป็นแน่
ชายหนุ่มจึงเอ่ยถาม “เหตุใดยังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอีกเล่า?”
เหยาซูหยิบเข็มกับด้ายขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากต้นฤดูวสันต์ ร่างกายของอาจื้อโตขึ้นไม่น้อย เท้าก็ใหญ่ขึ้นมาก
เหยาซูไม่ค่อยเย็บเสื้อผ้าให้เด็ก ๆ บ่อยนัก แต่การเย็บพื้นรองเท้ามักจะทำอยู่เสมอ
นางสอดเข็มที่อยู่ในมือลงไปในผ้าพลางเอ่ยเสียงต่ำว่า “เมืองหลวงก็คือโลกใบหนึ่ง สำนักกว๋อจื่อเจี้ยนโดยส่วนใหญ่ก็มักจะเอาใจใส่แต่ลูกหลานขุนนาง หากอาจื้อไปแล้วจะไม่โดนรังแกหรือ?”
คำถามนี้ เกรงว่าคงมีแต่ผู้เป็นแม่เท่านั้นที่คิดได้
หลินเหราจึงพูดว่า “ปัญหาเหล่านี้ ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้เข้าเมืองในวันนี้ อาจื้อย่อมต้องเผชิญหน้ากับมันอยู่ดี อีกทั้งสักวันเขาก็ต้องสอบวัดระดับขุนนาง จะไม่เข้าเมืองได้หรือ? ถึงตอนนั้นก็ต้องเผชิญหน้ากับเพื่อนร่วมห้อง คบค้าสมาคมกัน ย่อมมีความเห็นด้านการเมืองที่ไม่ลงรอยกันเป็นธรรมดา เขาควรจะจัดการอย่างไรเล่า?”
เหยาซูกัดริมฝีปากล่างโดยไม่ส่งเสียงใด
ในยามที่มีเรื่องให้คิดไม่ตก หญิงสาวก็มักจะชอบกัดริมฝีปากเช่นนี้
ตลอดมาหลินเหราไม่เคยรู้สึกใส่ใจท่าทางเช่นนี้เลย ทว่าตั้งแต่เมื่อวานเขากลับวางเรื่องที่นางชอบกัดริมฝีปากไม่ลง
ชายหนุ่มกุมมือของเหยาซูเอาไว้ ดึงเข็มและด้ายในมือนางที่ยังเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็มองเข้าไปนัยน์ตาของเหยาซูแล้วเอ่ยปลอบใจว่า “อย่ากังวลไปเลย อาจื้อจะโตขึ้นแน่นอน”
เหยาซูมองกลับไปทางเขา ใบหน้าเผยสีหน้าที่ตัดใจปล่อยวางไม่ลง “แต่นั่นเป็นเรื่องหลังจากนั้นหลายปีเชียวนะ เราจะไม่สามารถอยู่เป็นสหายเขาเหมือนเมื่อครั้งเขาเด็กได้เลยหรือ?”
หลินเหราลูบศีรษะของเหยาซู ทันใดนั้นก็เอ่ยปากพูดว่า “ถ้าท่านน้าเห็นท่าทางของเจ้า จะต้องชอบเจ้าอย่างแน่นอน”
เหยาซูนิ่งงันก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “หมายความว่าอย่างไร?”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาขานเรียกเซี่ยเชียนว่า ‘ท่านน้า’ และก็เป็นครั้งแรกที่ขานเรียกชื่อของคนผู้นั้นออกมา “แม้ว่าข้าจะไม่เคยเจอท่านแม่ แต่ข้าคิดว่านางก็น่าจะอ่อนโยนเหมือนเช่นเขา”
ชายหนุ่มมีสีหน้าอ่อนโยนลงพลางพูดต่อ “ข้าได้ยินท่านน้าบอกว่า ตอนที่เขายังเด็กนั้นไม่ชอบอ่านประวัติศาสตร์ แต่ชอบอ่านหนังสือเบ็ดเตล็ดทั่วไป… จึงมักจะโดนท่านอาจารย์ตีมือเสมอ ตอนนั้นท่านแม่ปกป้องเขาตลอด ข้าคิดว่าหากท่านน้าเห็นสิ่งที่เจ้าปฏิบัติต่ออาจื้อ จะต้องนึกถึงท่านแม่อย่างแน่นอน”
นัยน์ตาของเหยาซูอ่อนโยนลงมาก ตอบกลับเสียงเบาว่า “เป็นพี่สาวย่อมต้องปกป้องน้องชายเป็นธรรมดา ตอนนี้อาจื้อยังเด็กข้าจึงต้องปกป้องเขา”
หลินเหราพยักหน้าเห็นด้วย
เหยาซูเริ่มเย็บผ้าต่อ ตะเกียงน้ำมันสว่างพอดี จึงไม่รู้สึกแสบตาแต่อย่างใด
เพียงแต่เหยาซูกำลังคิดว่าอาจื้อในวัยนี้มักจะชอบกระโดดโลดเต้น พื้นรองเท้าก็มักเป็นส่วนที่เสื่อมเร็ว นางจึงได้เย็บพื้นรองเท้าเสริมให้หนาขึ้น ส่งผลให้เข็มปักลงไปยากมากขึ้น
หลินเหรานั่งมองนางทำงานอย่างเงียบ ๆ เช่นนี้ แต่ไม่รู้สึกเบื่อหน่ายแม้แต่น้อย เขาเพียงรู้สึกสงบและปลอดภัยที่สามารถเข้ากับนางได้
ทั้งสองคนไม่มีใครรบกวนใครเป็นเวลาเนิ่นนาน จนกระทั่งหลินเหราเอ่ยคำพูดน่าตกใจออกมาประโยคหนึ่ง “หากเจ้าปล่อยวางเรื่องอาจื้อไม่ได้ เช่นนั้นเราก็เข้าไปอยู่ในเมืองหลวงเสียเลยสิ”
………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ลูกไปอยู่ในอีกสังคมที่มีแต่คนตระกูลสูง ๆ คนเป็นแม่ย่อมกังวลเป็นธรรมดา
พี่เหราเด็ดเดี่ยวมากค่ะ ห่วงลูกใช่ไหม งั้นเราก็ไปอยู่กับลูกด้วยกันเลยสิ
ไหหม่า(海馬)