บทที่ 197 พี่กำลังคิดสิ่งใด?
เหยาซูนั่งอยู่ภายใต้แสงไฟสีเหลืองนวล พยายามครุ่นคิดอยู่กับคำพูดของเขาหลายรอบ กระทั่งเข้าใจความหมายของหลินเหรา จึงอดขบขันไม่ได้
เดิมทีนางคิดว่าหลินเหราจะไม่กระตือรือร้นกับเรื่องนี้ หลายวันมานี้อาจจะแค่ให้ความสนใจมากขึ้น จึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้บ่อยขึ้น
แต่ครั้นได้ยินความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดนี้ แค่วันเดียวก็รอไม่ได้เลยหรือไร?
ในหัวใจของเหยาซูมีความคิดมากมายผุดขึ้นมา โดยส่วนใหญ่เป็นความคิดที่ไม่สมบูรณ์ แต่กลับรบกวนจิตใจจนไม่อยากจะเห็นแม้แต่สิ่งของที่อยู่ในมือ
หลังจากที่หลินเหราดื่มยาและล้างหน้าบ้วนปากเสร็จ หันไปมองท้องฟ้าก็พบว่าเริ่มมืดแล้ว
เหยาซูเป่าตะเกียงให้ดับลง ทั้งสองคนจึงได้ขึ้นเตียงเตาพร้อมกัน
แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาจากนอกหน้าต่าง บางครั้งก็มีสายลมโชยพัดพาให้ใบไม้และกิ่งไม้สั่นไหวจนเกิดเสียงเสียดสีกันไปมา
ปกติแล้วเหยาซูจะนอนข้างกายหลินเหรา เพราะรู้สึกว่าลมหายใจของเขานิ่งสงบและสม่ำเสมอ
ผ่านไปไม่นาน นางก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มดังขึ้น “อาซู เจ้ากำลังคิดสิ่งใด?”
ใบหน้าด้านข้างของหญิงสาวงดงามมาก ทั้งยังอ่อนโยนยิ่งกว่าลายเส้นอันอ่อนโยนที่สุดที่เขาเคยเห็นมา
เหยาซูพลิกตัวนอนคะแคง และพูดกับหลินเหราอย่างจริงจังและแผ่วเบาว่า “ข้ากำลังคิด…ว่าเหตุใดข้าถึงได้โชคดีที่ได้เจอคนอย่างท่าน”
ครั้นเห็นร่องรอยแห่งความสุขแสดงออกมาทางใบหน้าอย่างไม่ปิดบัง รวมถึงนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชมและความรักของภรรยา
หลินเหราก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นเหมือนจะจมหายลงไปในความรู้สึกที่แสนอ่อนโยนนี้ของนาง
เขารู้สึกตื่นเต้นอยู่ในใจ ราวกับว่าคำพูดมากมายกำลังไหลทะลักผ่านลำคอขึ้นมาจากทุกส่วนของร่างกาย แต่ท้ายที่สุดก็ติดอยู่ที่ริมฝีปาก ไม่รู้ว่าควรจะพูดออกไปอย่างไร
นัยน์ตาของชายหนุ่มเปล่งประกาย ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “อาซู ประโยคนี้ข้าต้องเป็นฝ่ายพูดสิ”
เขาขยับเข้าไปใกล้อย่างช้า ๆ แตะริมฝีปากลงบนริมฝีปากบางของนางอย่างแผ่วเบา
หลินเหราคิดมาตลอดว่าการกระทำนี้เป็นเพียงแค่การคล้อยตามบรรยากาศอย่างหนึ่ง เป็นการหยั่งเชิงว่าจะดำเนินขั้นตอนต่อไปหรือไม่
แต่คืนนี้ ค่ำคืนที่อบอุ่นและงดงามนี้ นำมาซึ่งบรรยากาศที่น่าทะนุถนอมอย่างมาก
เขาเข้าใจอย่างชัดเจน คำพูดไหนก็ล้วนแต่ไม่สามารถแสดงออกถึงความรู้สึกที่เขามีต่อเหยาซูได้ มีแค่การกระทำนี้ มีแค่จูบนี้เท่านั้น ถึงจะถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมดของเขาได้
ทั้งสองคนไม่ได้กระทำและพูดกันอีกแต่อย่างใด ปล่อยให้บรรยากาศยามราตรีแผ่กระจายกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไป ไม่นานทั้งคู่ก็ตกอยู่ในห้วงความฝัน
วันรุ่งขึ้น เหยาซูไม่มีสิ่งใดต้องทำในตอนเช้า จึงหาถ่านไม้จากในครัวมาห่อด้วยผ้า แล้วสอนอาจื้อและอาซือวาดภาพอยู่ที่บ้าน
เด็กทั้งสองคนต่างไม่เคยเห็นวิธีการวาดภาพเช่นนี้มาก่อน จึงเรียนรู้กันด้วยความสนอกสนใจ ไม่นานก็ละเลงจนมือและหน้าเปื้อนไปด้วยสีดำ
ในขณะที่มารดาและบุตรทั้งสามกำลังเล่นกันอย่างเบิกบานใจ กลับได้ยินเสียงสตรีนางหนึ่งดังมาจากนอกลานบ้าน
เสียงนั้นฟังดูไม่ค่อยมีอายุมากเท่าไร ทั้งยังไม่คุ้นหูนัก “แม่นางเหยา แม่นางเหยาอยู่บ้านหรือไม่?”
เหยาซูวางของที่อยู่ในมือลง และเดินออกไปดูกลับเห็นเด็กสาวหน้าตาน่ารัก แต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีเขียวผู้หนึ่งยืนอยู่นอกลานบ้านแต่กลับไม่ยอมเข้ามา
เมื่อเห็นเหยาซู ดวงตาของเด็กสาวผู้นั้นก็เปล่งประกายทันที จากนั้นก็หันไปพูดกับคนที่อยู่ด้านหลังว่า “ฮูหยินนางอยู่บ้านเจ้าค่ะ!”
เหยาซูเดินออกมาจากลานบ้าน กระทั่งพบว่ามีรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่หน้าประตูบ้าน
มีมือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากในรถม้า ตามมาด้วยม่านที่ถูกเปิดออกเผยให้เห็นคนที่อยู่ด้านใน
“คุณหนูเหยา ข้าเอง ต้องขอรบกวนแล้ว”
เหยาซูตกตะลึงไปชั่วขณะ “ฮูหยินเจี่ยง? ท่านมาได้อย่างไร?”
ฮูหยินเจี่ยงก้าวลงจากรถม้าเผยรอยยิ้มที่ดูเกรงใจออกมาบนใบหน้า “เมื่อวานที่อยู่คุยกับเจ้าเสียเนิ่นนาน ทำให้ตื่นตัวกับวิธีการเลี้ยงลูก ข้ายังไม่ได้บอกเจ้า…วันนี้ข้าก็ว่างพอดีจึงพาเถิงเอ๋อออกมาสูดอากาศข้างนอก นึกขึ้นได้ก็เลยถือโอกาสเป็นแขกของบ้านเจ้าเสียเลย ไม่รู้ว่าจะสะดวกหรือไม่?”
แม้เหยาซูจะรู้สึกประหลาดใจไปบ้าง แต่กลับพยักหน้า และพูดด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ข้าเองก็ไม่มีธุระใด อยู่เล่นเป็นเพื่อนลูก ๆ ที่บ้าน ในเมื่อเถิงเอ๋อมาพอดี เช่นนั้นมาเล่นด้วยกันเลยสิ”
ฮูหยินเจี่ยงยิ้ม จากนั้นก็เอ่ยเรียกบุตรชายจากในรถม้าเบา ๆ “เถิงเอ๋อ ออกมาเถอะ ถึงบ้านท่านอาซูแล้ว”
ม่านบนรถม้านั้นมีความหนามาก มือซีดเซียวของเด็กตัวน้อยจะเปิดออกจึงต้องอาศัยแรงเล็กน้อย
เจี่ยงเถิงมีร่างกายไม่แข็งแรง เพียงแค่นั่งรถม้าก็เหนื่อยอ่อนแล้ว แต่ก็ยังส่งเสียงกล่าวทักทายอย่างมีมารยาทก่อน “สวัสดีขอรับ ท่านอาซู”
เหยาซูชำเลืองมองใบหน้าซีดเผือดไร้เลือดฝาดนั้น แม้แต่ริมฝีปากก็ยังซีดเซียวจนต้องตอบรับด้วยความสงสารและปวดใจในทันใดว่า “ไอ้หยา! รีบลงมาเร็ว แม่เคยพูดกับเจ้าแล้วหรือไม่? อาซูมีพี่ชายหนึ่งคนแล้วก็มีน้องสาวและน้องชายอีกสองคน พวกเจ้าจะได้เล่นด้วยกัน”
ฮูหยินเจี่ยงอุ้มเถิงเอ๋อลงมา พี่ลวี่ที่อยู่ข้างกายจึงรีบหยิบเสื้อคลุมที่ไม่มีแขนตัวหนึ่งจากบนรถม้าคลุมให้เด็กน้อยอย่างแน่นหนา
เถิงเอ๋อมีร่างกายที่ซูบผอม ครั้นถูกห่อเช่นนี้จึงยิ่งทำให้ดูเปราะบางราวกับจะแตกหักตลอดเวลา
อาจื้อและอาซือได้ยินเสียงจึงวิ่งออกมาดู เป็นครั้งแรกที่ได้เจอกับเจี่ยงเถิงที่ถูกห่อรวบแขนทั้งคู่ด้วยเสื้อคลุมอย่างแน่นหนาขนาดนี้
อาจื้อไม่รู้สึกอะไร แต่อาซือกลับพูดอย่างดีใจว่า “เสื้อคลุมของพี่ชายคนนี้งดงามยิ่งนัก! ด้านบนยังมีขนปุยสีขาวอีกด้วย!”
เหยาซูมองพวกเขาทั้งสองคน ก่อนจะเอ่ยเรียกด้วยรอยยิ้ม “ต้าเป่า เอ้อเป่ามานี่มา นี่คือน้องชายตระกูลเจี่ยง วันนี้พวกเจ้าจะได้เล่นด้วยกัน ดีหรือไม่?”
เด็กทั้งสองคนพยักหน้า จากนั้นก็ก้าวเดินไปด้านหน้า
อาซือยังพันแข้งพันขาเหยาซูไม่ยอมปล่อย “นี่คือท่านพี่”
เหยาซูเรียกไปเรื่อยโดยไม่ระวังแต่กลับถูกเด็กสาวตัวน้อยชี้แนะอย่างจริงจัง ฮูหยินเจี่ยงจึงพูดอย่างเบิกบานใจอยู่ด้านข้าง “แม่หนู เจ้าคือเอ้อเป่าใช่หรือไม่?”
อาซือพยักหน้าพร้อมกับกล่าวทักทาย
วันนี้เด็กหญิงแต่งกายด้วยชุดกระโปรงสีฟ้าคราม เป็นเพราะอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิแขนเสื้อจึงไม่ได้ยาวมากนัก เผยให้เห็นแขนเรียวขาวเนียนและน่ารักอย่างชัดเจน
ฮูหยินเจี่ยงชอบเด็กผู้หญิงมาตลอด เพราะเชื่อฟังและน่ารัก ทั้งยังอ้อนผู้เป็นแม่ได้ตลอดเวลา
แต่นางก็ต้องจนปัญญา เพราะหลังจากที่ให้กำเนิดเถิงเอ๋อแล้ว ท่านหมอได้ทำการตรวจพบว่าตนเองตั้งครรภ์ยาก จึงกลายเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างหนึ่ง
ตอนนี้เมื่อเห็นลูกสาวของผู้อื่น นางจึงคุกเข่าลงและเอ่ยอย่างอ่อนโยน “พี่เถิงร่างกายไม่แข็งแรง เวลาพวกเจ้าเล่นด้วยกัน เอ้อเป่าต้องคอยดูแลพี่ด้วยนะ อย่าให้เขาหนาวเด็ดขาดเข้าใจไหม?”
อาซือพยักหน้า นัยน์ตาที่สดใสนั้นฉายชัดถึงความมั่นใจ
เหยาซูและฮูหยินเจี่ยงมองหน้าและส่งยิ้มให้กัน
ครั้นเห็นเถิงเอ๋อมองพิจารณาพี่ชายและน้องสาวด้วยความสนใจ แต่เพราะเขินอายจนไม่กล้าเดินขึ้นหน้า เหยาซูจึงพูดกับเด็กทั้งสองคนว่า “ต้าเป่า เอ้อเป่า พาเถิงเอ๋อเข้ามาเล่นสิ ดูแลเขาดี ๆ ด้วย”
พวกเขาตอบรับหนึ่งครั้ง และเป็นอาซือเดินรุดหน้าขึ้นไปก่อน จากนั้นก็จูงมือของเถิงเอ๋อ เห็นได้ชัดว่านางมีรูปร่างที่เตี้ยกว่าเขา แต่กลับพูดเหมือนพี่สาวดูแลน้องชายอย่างไรอย่างนั้น “พี่เถิง เราเข้าไปเล่นกันเถอะ! บ้านเรามีของเล่นสนุก ๆ มากมายเลยนะ!”
เถิงเอ๋อมองมาทางมารดาแวบหนึ่ง แม้เห็นนางพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เขาก็ยังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังตามอาจื้อและอาซือเข้าไปในลานบ้าน
พี่ลวี่ที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกาย เผยสีหน้ากังวล แต่กลับไม่ได้ตามพวกเขาไป
กระทั่งได้ยินฮูหยินเจี่ยงพูดกับเหยาซูว่า “แม้เราจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ลึกซึ้งมากนัก แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นับตั้งแต่ที่ได้ไปมาหาสู่กับคุณหนูเหยาตอนนั้นจนถึงตอนนี้ก็ทำให้ข้ารู้สึกสบายใจอย่างมาก หลายวันนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นในครอบครัว ข้าก็เลยอยากจะพาเถิงเอ๋อมาเที่ยวเล่นที่นี่สักสองสามวัน กลางวันจะพามาส่ง กลางคืนจะมารับกลับ ไม่ทราบว่าจะสะดวกหรือไม่?”
เหยาซูนิ่งอึ้ง แต่สุดท้ายก็ยิ้มออกมา “ในเมื่ออยากพาแก้วตาดวงใจของท่านมาส่งที่บ้านของข้า ไยจะต้องคิดว่าความสัมพันธ์ไม่ลึกซึ้งเล่า? ท่านเชื่อใจข้าทั้งยังยินยอมเป็นสหายกับข้าผู้นี้ ไฉนเลยจะไม่สะดวก?”
คำพูดของนางช่างดูกล้าหาญยิ่งนัก ฮูหยินเจี่ยงคลี่ยิ้มจากนั้นก็ถอนหายใจออกมายาว ๆ “ที่มาวันนี้ ความจริงแล้วข้ายังมีเรื่องกังวลในใจ… ไม่ทราบว่ามาวุ่นวายกับเจ้าเช่นนี้จะเหมาะสมหรือไม่ ต่อไปข้าขอเรียกเจ้าว่าอาซูได้หรือไม่? ส่วนข้ามีนามว่าเจี่ยงฉี ต่อไปถือว่าเราเป็นพี่น้องกันแล้ว ห้ามเรียกว่าฮูหยินและคุณหนูเป็นอันขาด”
เหยาซูนิ่งอึ้ง จากนั้นก็คลี่ยิ้มพร้อมกับขานเรียกว่า ‘อาฉี’ ทั้งสองคนส่งยิ้มให้แก่กัน
ฮูหยินเจี่ยงไม่ได้อยู่ที่นี่นานนัก หลังจากกำชับถึงสิ่งที่เถิงเอ๋อกินไม่ได้กับเหยาซูแล้วก็พาพี่ลวี่กลับไปอย่างรีบร้อน
เหยาซูไม่ชอบยุ่มย่ามเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น จึงไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดมากนัก แค่หมุนตัวกลับเข้าไปเล่นเป็นเพื่อนเด็ก ๆ
ช่วงเวลาที่เถิงเอ๋ออยู่ในบ้านของเหยาซู นี่คือวันที่มีความสุขที่สุดเท่าที่เขาเคยจำได้
เขาถูกกรอกยาบำรุงตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ กินยามาตั้งแต่จำความได้
ก่อนที่ท่านแม่ของเขาจะหย่าร้างกับท่านพ่อ เขาและท่านแม่อยู่ด้วยกันในจวนหลักแต่กลับได้ยินเสียงทะเลาะจากหลังจวนเสมอ เหล่าอนุภรรยาของท่านพ่อไม่เคยอยู่อย่างสงบเลยแม้แต่เสี้ยวพริบตาเดียว
เขาอายุยังน้อยแต่ก็ใช่ว่าจะมองไม่ออก ความรักระหว่างมารดาและบิดานั้นถูกลดทอนลงทุกวัน ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังเข้ากระดูกดำ
นางเกลียดเขา เกลียดเหล่าสตรีที่เพิ่มเข้ามาอย่างไม่ขาดสายในจวนหลังเหล่านั้น เถิงเอ๋อรู้ว่ามารดานั้นแสนดีกับตนเองมาก แต่บางครั้งเขาก็หวาดกลัวสายตาของผู้เป็นแม่
ต่อมามีอยู่วันหนึ่ง เขาได้ยินว่ามีสตรีขายชาดในเมืองชิงถงนามว่าเหยาซูมาพบท่านแม่ที่จวน วันนั้นเขามากล่าวทักทายท่านแม่ จึงบังเอิญได้เจอกับคนผู้นั้นพอดี
เหยาซูผู้นั้นงดงามมาก
แม้เถิงเอ๋อยังเด็ก แต่กลับแยกออกว่าอะไรคือความงดงาม เพียงแต่เขาเกลียดชังหญิงงามมาแต่ไหนแต่ไร เพราะบรรดาสตรีในจวนหลังของท่านพ่อก็ล้วนแต่งดงามกันทั้งนั้น คนเหล่านั้นทำให้ท่านแม่โกรธจนน้ำตาตก แต่เหยาซูกลับแตกต่าง
ครั้นเถิงเอ๋อได้ยินคำพูดของเหยาซู ก็สัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่อ่อนโยน ราบเรียบและไพเราะ
มารดาพูดคุยกับนางอยู่เนิ่นนาน โดยส่วนใหญ่จะเป็นเขามากกว่าที่ฟังหัวข้อเหล่านั้นจนง่วงนอน แต่เขากลับรู้สึกว่า สภาพจิตใจของเขาดีขึ้นมาก วันนั้นมารดาของตนก็เบิกบานใจมากเช่นกัน
ต่อมา…มารดาได้พาเขามาหย่าร้างกับบิดา และเขาก็ได้กลับตระกูลเจี่ยง
เห็นได้ชัดว่าชีวิตประจำวันของเขาดูผ่อนคลายขึ้นมาก แต่ถึงกระนั้นเถิงเอ๋อรู้สึกว่ามารดายังไม่มีความสุข บางทีอาจเพราะตนมักป่วยบ่อย จึงทำให้ท่านต้องเป็นห่วง…
แต่วันนี้เมื่อพาตนมาอยู่ในบ้านของเหยาซู มารดากลับวางใจได้ขนาดนั้นเชียวหรือ?
“พี่เถิง พี่กำลังคิดสิ่งใด? ข้าเรียกพี่ตั้งนานสองนานแล้วไม่เห็นจะตอบ”
อาซือดึงแขนเสื้อของเถิงเอ๋อ และเอ่ยปากถามเขา
เถิงเอ๋อจึงได้ตอบกลับ “อื้อ? เจ้าว่าอย่างไรนะ?”
…………………………………
สารจากผู้แปล
อาเถิงดูเป็นเด็กฉลาดเกินวัยอยู่นะคะ เห็นความคิดน้องต่อครอบครัวตัวเองแล้วสงสารเลย
ไหหม่า(海馬)