ตอนยังไม่พูดก็ยังไม่เป็นไร แต่พอพูดออกมาแล้ว ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ทั้งสามก็เดาเจตนาของหยางเจาชิงได้ไม่ยาก เห็นได้ชัดว่านี่คือวิธีการปกป้องตัวเองของหยางเจาชิง อีกฝ่ายไม่ได้นำระฆังดารามาด้วย ถ้าเจ้าฆ่าทิ้งกลางคัน ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะติดต่อหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ อย่างน้อยหนิวโหย่วเต๋อก็จะสงสัยเรื่องความจริงใจในการเจรจาของฝั่งนี้ก่อนแล้ว
ถ้าฝั่งนี้อยากจะล่อหนิวโหย่วเต๋อมาฆ่าจริงๆ ก็ยังฆ่าหยางเจาชิงคนนี้ไม่ได้ กักตัวไว้ก็ไม่ได้เช่นกัน
ไม่ผิดหรอก หยางเจาชิงวางแผนไว้อย่างนี้จริงๆ เขานึกได้ตั้งแต่ก่อนจะมาแล้ว ถ้าไม่นำระฆังดารามาด้วยก็จะมีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น ถ้าอีกฝ่ายตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไม่ปล่อยเขากลับไป ไม่ว่าเขาจะมีหรือไม่มีระฆังดาก็จะไม่ปล่อยไปอยู่ดี ดังนั้นต่อให้ใช้แผนนี้ไม่ได้ผล แต่ก็สามารถสืบได้ว่าสวีถังหรานตายหรือยัง ถ้าสวีถังหรานยังไม่ตาย อีกฝ่ายจะต้องให้สวีถังหรานใช้ระฆังดาราติดต่อนายท่านแน่ สวีถังหรานก็จะสามารถฉวยโอกาสบอกสถานการณ์ของฝั่งนี้ให้นายท่านรู้ได้ ดังนั้นการที่เขาไม่นำระฆังดารามาด้วยจึงไม่มีผลต่อความสำเร็จของภารกิจนี้
“ค้นตัว” อ๋าวเฟยเอียงหน้าสั่งว่า
คนที่ควบคุมตัวหยางเจาชิงมาตอบว่า “แม่ทัพใหญ่ เคยค้นไปแล้วขอรับ ไม่ได้พกของอะไรมาจริงๆ”
“หึ!” อ๋าวเฟยเลิกคิ้วเล็กน้อย มองหยางเจาชิงตั้งแต่ศีรษะจดเท้าอีกครั้ง แล้วเอียงหน้าบอกอีก “พาตัวไปแล้วเฝ้าไว้!”
มีคนมาลากหยางเจาชิงไปทันที
การกระทำนี้ทำให้หยางเจาชิงรู้สึกเหนือความคาดหมายมาก นึกไม่ถึงว่ายังไม่ทันได้พบอิ๋งอู๋หม่านก็ถูกลากไปแล้ว ทั้งไม่ได้เห็นจำนวนคนของทัพใหญ่ และไม่ได้เจออิ๋งอู๋หม่าน จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ได้อย่างไร? จะไม่มาเสียเที่ยวหรอกหรือ จึงตะโกนเสียงดังทันที “แม่ทัพใหญ่หมายความว่ายังไง จะเจรจาหรือไม่ก็บอกมาตรงๆ สิ”
อ๋าวเฟยตอบเสียงเรียบว่า “เจ้าไม่ได้พกอะไรมาสักอย่าง ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าเจ้าคือหยางเจาชิงจริงหรือเปล่า รอให้ข้ายืนยันตัวตนเจ้าได้แล้วรายงานท่านโหวก่อนค่อยว่ากัน”
พอได้ยินแบบนี้ หยางเจาชิงก็มีความหวัง ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายก็ไม่จำเป็นต้องพูดอย่างนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นข้ออ้าง เขาจึงหยุดโวยวายแล้ว เพียงหันมาตะโกนถามว่า “ขุนพลคือใคร?”
“ข้าคืออ๋าวเฟย!” อ๋าวเฟยตอบคำเดียว
อ๋าวเฟยเหรอ? หยางเจาชิงที่ถูกคุมตัวไปลองครุ่นคิดเงียบๆ เขานึกออกแล้ว รู้ตั้งแต่ตอนได้ข่าวจากโหยวฮ่วน ว่านี่เป็นหนึ่งในผู้ติดตามของอิ๋งอู๋หม่าน ที่แท้คนนี้ก็คืออ๋าวเฟยนี่เอง
เมื่อในถ้ำไม่มีคนแล้ว อ๋าวเฟยก็หันซ้ายหันขวา “พี่หวัง พี่คง คิดว่ายังไง?”
หวังหย่วนเฉียวตอบกลั้วหัวเราะ “ไม่รู้ว่าเรื่องที่ไม่พกระฆังดารามาด้วยเป็นความคิดของหนิวโหย่วเต๋อ หรือว่าหยางเจาชิงคิดเอาเอง ถ้าเป็นความคิดตัวเองจริงๆ งั้นหยางเจาชิงคนนี้ก็น่าสนใจแล้ว ไม่รู้ว่าจะดึงมาเป็นลูกน้องตัวเองได้หรือเปล่า”
“สงสัยพี่หวังจะเริ่มโปรดปรานคนมีความสามารถแล้ว!” คงฮั่นหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็มองอ๋าวเฟยอีก “แม่ทัพใหญ่ ท่านคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อจะยอมจำนนเหรอ? ข้าว่ามีเงื่อนงำ”
อ๋าวเฟยหัวเราะหึหึ “ยอมจำนนเหรอ? ยอมกับผีน่ะสิ รู้อยู่แจ่มแจ้งว่าเราต้องการเล่นงานเขาให้ถึงตาย เขาจะยอมจำนนเหรอ? ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่หวาดกลัวอิทธิพลท่านอ๋องแล้ววางแผนเพื่ออนาคต ก็อาจจะพูดยาก แต่เจ้าหนุ่มนี่กลัวสิ่งนี้ด้วยเหรอ? เห็นได้ชัดว่าเขาโยนเหยื่อล่อให้ข้าสนใจ ให้ข้าอยากลงมือ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะใช้เหยื่อที่มีน้ำหนักมากขนาดไหน กังวลว่าจะไม่ติดเบ็ด ชัดเจนว่าส่งหยางเจาชิงมาสืบสถานการณ์ภายใน ข้ายังกังวลว่าเจ้านั่นจะซ่อนตัวไม่ยอมออกมา ดูท่าแล้วตอนนี้คงยังไม่ล้มเลิกความคิดชั่วร้าย ดีมาก!”
“ดูท่าแล้ว แม่ทัพใหญ่คงเตรียมจะเผยสถานการณ์ภายในให้หยางเจาชิงคนนี้เห็น อีกเดี๋ยวก็จะปล่อยเขากลับไป” หวังหย่วนเฉียวกล่าว
“ไม่ผิดหรอก! ปล่อยไว้ทางนี้ก่อน แต่อย่าแสดงออกตรงเกินไป ถ้าง่ายเกินไปกลับจะทำให้ฝั่งหนิวโหย่วเต๋อคิดว่ามีเงื่อนงำแล้วไม่กล้างับเหยื่อ” อ๋าวเฟยกล่าว
หวังหย่วนเฉียวกับคงฮั่นสบตากันแล้วหัวเราะ
พอฝั่งนี้ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ทัพใหญ่สี่แสนที่ซ่อนตัวอยู่ก็เผยโฉมทันที
พอทัพใหญ่เผยโฉม เหมียวอี้ที่ยืนอยู่บนยอดเขาก็เห็นแล้ว ตรงหว่างคิ้วฉายเสาแสงสีรุ้งปรับระดับสายตาจ้องไม่หยุด
พอหยางเจาชิงไปแล้ว เขาก็มาอยู่ที่นี่ ให้คนเฝ้ารอบๆ ไว้ไม่ให้ใครเข้าใกล้ แล้วใช้ตาทิพย์จ้องสะกดรอยตามจุดที่หยางเจาชิงเดินทางไป ตาทิพย์มองสำรวจจนทั่วแต่ยังไม่เห็นทัพใหญ่ จนกระทั่งทัพใหญ่ปรากฏตัวเอง เขาถึงได้โล่งใจ
เพียงแต่ไม่เห็นว่าอิ๋งอู๋หม่านอยู่ตรงไหน เขาเห็นพวกอ๋าวเฟยแล้ว แต่ไม่เห็นอิ๋งอู๋หม่าน ไม่รู้เหมือนกันว่าอยู่ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์หลังนั้นที่มีทหารเฝ้าอยู่หรือเปล่า สุดท้ายตาทิพย์ก็จ้องไปที่หยางเจาชิงพักหนึ่ง เสร็จแล้วถึงค่อยๆ เก็บสายตากลับมา
พอกลับเข้ามาในถ้ำ เหมียวอี้ก็ยืนตรงหน้าเข็มทิศ สั่งให้สายลับเผ่าเทพอสรพิษดำจับตาดูทิศทางการเคลื่อนไหวของทัพใหญ่นั่น เขาเริ่มครุ่นคิดแล้วว่าจะลงมืออย่างไร แต่ตอนนี้ยังต้องรอก่อน เพราะไม่รู้ว่าทางนั้นจะปล่อยหยางเจาชิงกลับมาหรือไม่
สิ่งที่เขาสงสัยก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล อิ๋งอู๋หม่านอยู่ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์นั่นจริงๆ ตอนนี้กำลังนั่งอยู่ในศาลาด้วยสีหน้าบึ้งตึง เชือกที่มัดบนตัวถูกถอดออกแล้ว แต่ยังไม่มีใครคลายผนึกพลังอิทธิฤทธิ์ให้ ข้างๆ มีสุราอาหารครบครัน อิ๋งอู๋หม่านกรอกสุราเข้าปากจอกแล้วจอกเล่าอย่างหดหู่
นอกศาลามีเตียงไม้ตัวหนึ่ง เจ๋อชุนชิวที่แผ่นหลังเป็นแผลเหวอะหวะกำลังนอนหมอบอยู่อย่างนั้น มีคนใช้สมุนไพรเซียนซิงหัวช่วยเขาเยียวยาบาดแผลไม่หยุด สีหน้ายังแย่เหมือนเดิม ในดวงตาฉายแววคับแค้นในบางครั้ง
ปั้ง! ในศาลามีเสียงดัง เจ๋อชุนชิวรีบหันไปมอง เห็นเพียงอิ๋งอู๋หม่านตบจอกสุราในมือลงบนโต๊ะหิน
“ในนั้นต้องมีเงื่อนงำอะไรแน่ ไม่ได้แล้ว ข้าต้องถามท่านพ่อให้ชัดเจน” อิ๋งอู๋หม่านหันมาตะคอก “คลายผนึกบนตัวข้า!”
ทหารยศเล็กที่คอยรินสุราให้ข้างๆ ตอบด้วยสีหน้าขื่นขม “ท่านโหว ข้าน้อยไม่กล้า นี่เป็นคำสั่งท่านอ๋อง ถ้าท่านติดต่อท่านอ๋องได้แล้วท่านอ๋องโมโห หัวเดียวของข้าน้อยคงไม่พอให้ตัดทิ้งแล้ว!”
“พวกขี้ขลาดกลัวตาย!” อิ๋งอู๋หม่านตะคอกด่า แล้วหันไปหาเจ๋อชุนชิวที่อยู่ข้างนอกอีก “เจ๋อชุนชิว เจ้ามาคลายผนึก!”
“หา!” เจ๋อชุนชิวหนังหน้าย่นจนกลายเป็นลูกมะระ “ท่านโหว นี่เป็นคำสั่งท่านอ๋อง มองเป็นของเด็กเล่นไม่ได้ ต่อให้ข้าน้อยใจกล้าคับฟ้า แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งท่านอ๋องอยู่ดี! ท่านโหว ท่านอย่าทำให้บ่าวคนนี้ลำบากใจเลย! ยิ่งไปกว่านั้น การที่บ่าวสิ้นชีวิตนั้นเป็นเรื่องเล็ก ถ้าท่านอ๋องลามไปโกรธท่านโหวด้วยก็จะยุ่งยากแล้ว”
ปั้ง! อิ๋งอู๋หม่านตบโต๊ะ สีหน้าดุร้ายน่ากลัว
ในขณะนี้เอง นอกชัยภูมิถ้ำสวรรค์ก็มีทหารเกราะทองคนหนึ่งเข้ามา กุมหมัดคารวะเจ๋อชุนชิวที่นอนหมอบอยู่นอกศาลา แล้วเดินเข้ามากุมหมัดคารวะข้างใน “ท่านโหว หยางเจาชิง ลูกน้องคนสนิทของหนิวโหย่วเต๋อมาแล้ว”
“หืม?” อิ๋งอู๋หม่านงงเล็กน้อย ถามอย่างแปลกใจว่า “หยางเจาชิงเหรอ? เขามาทำอะไร?”
ทหารที่เข้ามาชื่อว่าอู๋เซียนฉี อย่าไปมองว่าเขาเป็นแค่ทหารเกราะทอง เพราะเขามีวรยุทธ์ระดับสำแดงฤทธิ์ เป็นหนึ่งในผู้นำของทัพใหม่ใต้บังคับบัญชาอิ๋งอู๋หม่าน เมื่อก่อนนับว่ามีฐานะไม่ต่ำต้อย แต่ตอนหลังมุทะลุดุดันจึงถูกลดตำแหน่งให้อยู่ต่ำสุด ทว่าเคราะห์และวาสนาคือสิ่งที่คาดเดาได้ยาก บังเอิญว่าอิ๋งอู๋หม่านตั้งทัพใหม่ จึงถูกอิ๋งอู๋หม่านดึงมาเป็นลูกน้อง เขาจึงได้มากอดขาอิ๋งอู๋หม่านอีกครั้ง พลิกชีวิตได้ทันที ใครก็รู้ทั้งนั้นว่าในอนาคตอิ๋งอู๋หม่านอาจจะมีตำแหน่งสูงสุดในบรรดาขุนนาง อนาคตน่าเฝ้าคอย ทำให้คนไม่น้อยรู้สึกอิจฉา
“ได้ยินว่าเป็นตัวแทนหนิวโหย่วเต๋อมาเจรจากับท่านโหว ตอนนี้ถูกแม่ทัพใหญ่อ๋าวกักตัวไว้ พี่น้องของพวกเรากำลังเฝ้าคนอยู่ขอรับ” อู๋เซียนฉีตอบ
อิ๋งอู๋หม่านถูกกักตัวไว้ แต่ทัพใหม่ของเขาไม่ได้ถูกกักตัวไว้ ตอนนี้ยังอยู่ในทัพกลาง ยังไม่ได้รับภารกิจ เมื่อไม่ได้รับภารกิจ คนอื่นก็ไม่กล้าใช้งานคนของเขาตามอำเภอใจเช่นกัน แม้อิ๋งอู๋หม่านจะถูกกักตัวและถูกตัดอำนาจทางทหารแล้ว แต่ทัพใหม่ล้วนเป็นคนของเขา ถ้าเขาอยากจะรู้ความเคลื่อนไหวข้างนอกก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร และไม่มีใครกล้าล่วงเกินเขารุนแรงด้วย ดูจากที่ถูกแก้มัดหลังจากเข้าชัยภูมิถ้ำสวรรค์ก็รู้แล้ว คาดว่าต่อให้อ๋าวเฟยรู้จะว่าเขาถูกแก้มัดแล้ว แต่ก็ทำได้เพียงปิดตาข้างเดียว ขอแค่ไม่ทำอะไรออกนอกลู่นอกทาง ไม่ออกจากที่นี่ ไม่ให้ท่านอ๋องรู้ อ๋าวเฟยก็ไม่กล้าทำอะไรเขาแล้ว
“เจรจากับข้าเหรอ? เจรจาอะไร?” อิ๋งอู๋หม่านงุนงง
อู๋เซียนฉีส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าน้อยไม่ทราบ พี่น้องทัพใหม่ของพวกเราไม่มีใครอยู่ที่ทัพกลาง”
“ไป พาคนมาให้ข้า” อิ๋งอู๋หม่านขมวดคิ้ว
“เอ่อ…” อู๋เซียนฉีค่อนข้างลำบากใจ “ท่านโหว แบบนี้ไม่ค่อยเหมาะกระมัง?” ในใจพึมพำว่า เจ้าเป็นคนที่ถูกควบคุมตัว ทำแบบนี้ไม่มีเหตุผล ตอนนี้เขานึกเสียใจทีหลังแทบแย่ ถ้ารู้แต่แรกคงไม่มาประจบสอพลอ
อิ๋งอู๋หม่านทำสีหน้าเย็นเยียบทันที “อีกฝ่ายมาเจรจากับข้า ไม่ให้ข้ารู้แม้กระทั่งว่ามีเรื่องอะไรงั้นเหรอ? ไม่ได้ให้เจ้าขัดคำสั่งทางทหารสักหน่อย ทำไมล่ะ เห็นข้าเสียอำนาจแล้ว การบัญชาการของข้าเลยไม่มีผลงั้นเหรอ?”
อู๋เซียนฉีปาดเหงื่อ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มแห้งๆ “ฟังท่านโหวพูดเข้าสิ ที่ข้าน้อยมีวันนี้ได้ล้วนเป็นเพราะท่านโหวให้ ขอเพียงท่านโหวออกคำสั่งมา ขอพูดตรงๆ เลยนะ ถ้าจะให้ข้าน้อยกบฏข้าน้อยก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ความจงรักภักดีที่ข้าน้อยมีต่อท่านโหว ตะวันและจันทราล้วนเป็นพยานได้ เพียงแต่กลัวว่าจะสร้างปัญหาให้ท่านโหว กังวลว่าจะคุยกับทางอ๋าวเฟยลำบาก ในมือของอ๋าวเฟยมีอำนาจมหาศาลที่ท่านอ๋องมอบให้เขาอยู่นะขอรับ!”
แม้แต่สั่งให้กบฏก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงเหรอ! คำกล่าวนี้ทำให้อิ๋งอู๋หม่านสบายใจ นี่สิถึงจะเหมือนกำลังพลที่เขาเลี้ยงเองกับมือ ตอนนี้สีหน้าเขาอ่อนโยนขึ้นแล้ว “ข้าแค่อยากจะเข้าใจสถานการณ์สักหน่อย ไม่ขัดคำสั่งทางทหารหรอกมั้ง? อ๋าวเฟยเองก็ไม่ได้บอกว่าห้ามข้าพบใคร ไปพาคนมาเถอะ ถ้าอ๋าวเฟยมีอะไรไม่พอใจ โหวผู้นี้จะรับไว้เอง!”
“รับทราบ!” อู๋เซียนฉีเอ่ยรับคำสั่งแล้วออกไป
ในถ้ำภูเขา หยางเจาชิงถูกควบคุมตัวไว้ข้างในชั่วคราว เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาขณะครุ่นคิด กำลังคิดว่าอ๋าวเฟยมีเจตนาอะไร อิ๋งอู๋หม่านมีเจตนาอะไร
ทหารยามที่เฝ้าอยู่นอกถ้ำคือคนของทัพใหม่ อู๋เซียนฉีบุกเข้ามาได้อย่างราบรื่น พอเห็นหยางเจาชิงก็มองประเมินศีรษะจดเท้า “เจ้าคือหยางเจาชิงเหรอ?”
“ใช่แล้ว เจ้าคือ?” หยางเจาชิงสงสัย
อู๋เซียนฉีสะบัดหน้า “ไปเถอะ ท่านโหวอิ๋งต้องการพบเจ้า”
“อ้อ!” หยางเจาชิงแอบดีใจ สงสัยอิ๋งอู๋หม่านจะอยู่ที่นี่จริงๆ และหมายความว่าที่นี่น่าจะมีกำลังพลรวมตัวกันอยู่ไม่น้อย เขาไม่รู้ว่าตาทิพย์ของเหมียวอี้มองเห็นแล้ว พยักหน้าตอบทันที “รบกวนแล้ว” พูดจบก็ทำท่าจะเดินออกไปนอกถ้ำ
ใครจะคิดว่าอู๋เซียนฉีจะยกมือผลักหน้าอกเขา “เข้ามาในกระเป๋าสัตว์ของข้า”
“กระเป๋าสัตว์?” หยางเจาชิงแปลกใจ “ทำไมต้องเข้ากระเป๋าสัตว์ นี่ไม่ใช่เรื่องที่บอกใครไม่ได้เสียหน่อย?” ในใจเขาเกิดความสงสัย หรือวว่าที่นี่กำลังสร้างสถานการณ์ตบตา ที่จริงแล้วอิ๋งอู๋หม่านไม่ได้อยู่ที่นี่?
อู๋เซียนฉีกล่าวเสียงต่ำว่า “ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ต่อไปถ้าเจอแม่ทัพใหญ่อ๋าว เจ้าห้ามเอ่ยถึงเรื่องที่เคยพบท่านโหว” อิ๋งอู๋หม่านใจกล้า ข้าเริ่มจะกลัวแล้ว อ๋าวเฟยไม่กล้าทำอะไรอิ๋งอู๋หม่าน แต่จะไม่กล้าทำอะไรเขาเชียวหรือ? แต่เขาก็ไม่กล้าขัดคำสั่งอิ๋งอู๋หม่านอีก ทำได้เพียงนัดแนะหยางเจาชิงที่นี่ก่อน
หยางเจาชิงแปลกใจทันที “เพราะอะไร?”
อู๋เซียนฉีตอบว่า “อย่าถามมากขนาดนั้น ข้าเห็นแก่ที่เจ้ากล้าเอาตัวมาเสี่ยงอันตรายคนเดียว ข้านับถือในความเป็นชายชาตรีของเจ้าถึงได้ช่วยไว้เจ้าสักครั้ง ข้าทำแบบนี้ก็เพื่อตัวเจ้าเอง จำคำพูดข้าไว้ อ๋าวเฟยไม่ให้เจ้ากับท่านโหวพบกัน ถ้าเจ้าไม่เอ่ยเรื่องที่เคยพบกับท่านโหว เจ้าก็ยังมีโอกาสรอดชีวิตกลับไป ถ้าเอ่ยเรื่องนี้เจ้าก็จะต้องตาย เข้าใจใช่มั้ย?” ถ้าอีกฝ่ายเชื่อเขาจริงๆ ก็ย่อมไม่พูดซี้ซั้ว ดังนั้นจึงพูดจาคลุมเครือขู่ไปสักหน่อย
……………