ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] – บทที่ 246 เสี่ยวเว่ยปรากฏตัวอีกครั้ง

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

บทที่ 246 เสี่ยวเว่ยปรากฏตัวอีกครั้ง

บทที่ 246 เสี่ยวเว่ยปรากฏตัวอีกครั้ง

ดูเหมือนหมอหลวงจะประหลาดใจที่เขาเพิ่งรู้ จึงพูดอย่างจริงจังว่า “มีแน่นอน…ตกจากหลังม้าที่วิ่งด้วยความเร็วเช่นนั้น ร่างกายจะสมบูรณ์ได้อย่างไร?”

เซี่ยเชียนกำหมัดแน่น ริ้วรอยบนใบหน้าปูดโปนในรัศมีที่ดูเย็นยะเยือก

เขาพูดกับต๋ากงกงว่า “คนในลานประลองที่ทำร้ายฝ่าบาทด้วยการทำให้ม้าตกใจ ข้าจะต้องหาตัวคนผิดให้ได้ กงกงได้โปรดส่งคนนำทางข้าไปได้หรือไม่?”

เซี่ยเชียนได้เสนอความต้องการนี้ออกมาอีกครั้ง แม้แต่ต๋ากงกงเองก็ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธอย่างไร

เขาอยากบอกว่าองค์จักรพรรดิทรงประสงค์ให้ใต้เท้าเซี่ยอยู่เฝ้าข้างกาย แต่คงจะไม่ตื่นขึ้นมาเร็ว ๆ นี้…

ต๋ากงกงไม่อยากยั่วโมโหเซี่ยเชียน จึงพูดประนีประนอมว่า “ช่างเถอะ ๆ ถ้าใต้เท้าอยากไปดู ก็ให้อาเล่อพาไปเถอะ”

เซี่ยเชียนพยักหน้า จากนั้นก็ตามอาเล่อไปยังลานประลอง

ครั้นเห็นแผ่นหลังกว้างในชุดสีดำของเซี่ยเชียน หมอหลวงเจียงก็ตบศีรษะตนเองทันใด ราวกับจะคิดอะไรได้ “ข้าก็ว่าอยู่ทำไมถึงได้กลิ่นคาวเลือด เช้าวันนี้ข้าเพิ่งพันเข่าให้ใต้เท้าเซี่ย เกรงว่าแผลคงจะปริอีกครั้ง!”

หากแต่ระหว่างที่คุยกันเมื่อครู่สีหน้าของเขาดูปกติมาก และตามอาเล่อไปโดยไม่ได้แสดงท่าทีของเจ็บปวดออกมาแต่อย่างใด

ต๋ากงกงตื่นตระหนกอยู่ในใจ ‘หวังว่ายามที่ฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมา ไม่รู้ว่าขาของใต้เท้าเซี่ยจะได้รับบาดเจ็บอีกหรือไม่…’

สถานการณ์ชุลมุนในวังไม่ได้สร้างความรบกวนต่อห้องรับรองภายในตระกูลเซี่ยแต่อย่างใด

หลินเหราและเหยาเฉาแยกกันอยู่ในเรือนเล็กของตัวเอง และอยู่อย่างเงียบสงบ

เหยาเฉาเปลี่ยนชุดที่ใส่เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิก่อนหน้านั้น และใส่เสื้อผ้าของตัวเอง นั่งจิบชากินขนมอยู่ในเรือนเล็ก พลางครุ่นคิดแผนการในวันข้างหน้า

จู่ ๆ ก็ฉุกคิดแผนการในเมืองหลวงได้ แล้วในบ้านเล่าจะทำอย่างไร?

อาเวยไม่อยากอยู่ในเมืองหลวงนานนัก ด้วยนิสัยเจ้าอารมณ์ของนาง จึงชอบอยู่ในหมู่บ้านตระกูลเหยา คิดว่าคงไม่ยอมย้ายมาอยู่ในเมืองหลวงแน่

แต่ถ้าผู้เป็นแม่ไม่อยู่ เขาก็จนปัญญาจะพาเอ้อหลางมาที่นี่

เขาปฏิเสธตำแหน่งที่จวนตรวจการยื่นให้เสมอ แค่จัดการเรื่องวุ่นวายจนเสร็จ เลิกงานและกลับบ้านก็พอ…

เรือนกล้วยไม้ที่ดูเงียบสงบ มีคุณชายที่สง่างามในชุดจงอีนั่งทอดถอนใจอยู่ในลานบ้าน

ทันใดนั้นก็มีเสียงของเด็กหนุ่มผู้คุ้นเคยคนหนึ่งดังขึ้นมา แต่น้ำเสียงนั้นกลับพูดอย่างไม่พอใจว่า “เห็นท่านมานานแล้ว อยู่ดี ๆ ก็มีเรื่องให้ต้องถอนหายใจเสียอย่างนั้น? ช่างน่าเบื่อยิ่งนัก!”

เสียงนั้นดังเข้ามาจากนอกกำแพงเรือนอย่างชัดเจน เหยาเฉาจึงลุกขึ้นยืน และก้าวเดินไปยังทิศทางของเสียงนั้น

สภาพจิตใจที่เดิมทีหมองมัวของเขาก็พลันมีความสุขทันใด จากนั้นก็พูดกับข้างกำแพงว่า “เสี่ยวเว่ย เจ้ามาตั้งแต่เมื่อใด?”

ทางนั้นไม่ส่งเสียงตอบรับกลับมาพักใหญ่ เหยาเฉาจึงได้ส่งเสียงออกไป ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของเด็กหนุ่มดังมาจากด้านหลัง “ยังไม่บอกเลยนะ ว่าทำไมอยู่ดี ๆ ถึงถอนหายใจเช่นนั้น?”

เหยาเฉาหมุนตัว กระทั่งเห็นเสี่ยวเว่ยยืนอยู่ตรงหน้าของเขาจริง ๆ ท่าทางหยิ่งผยองนั้นแฝงไปด้วยความสงสัย ใบหน้าแต้มรอยยิ้มบาง ๆ “ข้าไม่ได้เบื่ออะไร ว่าแต่เจ้าเถอะ สองสามวันนี้เจ้าไปอยู่ที่ใด!”

เด็กหนุ่มที่ไม่ได้เจอกันเป็นเดือนเศษ กลับไม่มีทีท่าว่าจะสูงขึ้นเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังเตี้ยกว่าเกือบครึ่งศีรษะของเหยาเฉาด้วย

เสี่ยวเว่ยกระตุกยิ้มมุมปาก “ข้าอยู่ที่ใดไม่สำคัญ”

เหยาเฉาเห็นเด็กหนุ่มสู้ชีวิตด้วยตัวเองภายใต้ความเอาแต่ใจอยู่รอดปลอดภัย ในใจจึงมีความสุข เมื่อความสุขที่แสดงออกทางสีหน้าและรอยยิ้มได้ถูกแสงแดดอันอบอุ่นสาดส่อง ก็ดูเหมือนจะเปล่งประกายขึ้นมา

เขาคว้าแขนขวาของเสี่ยวเว่ย พาเขาเข้าไปในห้องพลางพูดว่า “นี่คือจวนท่านน้าของอาเหรา หากเจ้าไม่เข้ามาทักทาย ปล่อยให้คนอื่นเขาดูถูกมันไม่ดี ตามข้ามา เราสองคนต้องคุยกันดี ๆ”

เสี่ยวเว่ยขมวดคิ้วเข้าหากัน จากนั้นก็สะบัดแขนเบา ๆ ไม่นานก็หลุดออกจากเหยาเฉาเหมือนกับปลาไหล

เดิมทีเขาไม่ได้ออกแรงจับอีกฝ่ายเท่าไร แต่เมื่อถูกสะบัดเช่นนี้ก็อดตะลึงงันไม่ได้

กระทั่งได้ยินเสี่ยวเว่ยหัวเราะด้วยเสียงเย็นชาและพูดว่า “ข้าเข้ามาอย่างเปิดเผย มีลับลมคมในที่ไหนกัน? ยังต้องเข้าห้องปิดประตูคุยกันอีกหรือ?”

เหยาเฉาไม่รู้ว่า ‘เปิดเผย’ ที่เขาพูดจะเหมือนอย่างที่ตัวเองเข้าใจหรือไม่ แต่ดูจากท่าทางการพูดคุยอยู่บนกำแพงเมื่อครู่ของเสี่ยวเว่ยแล้ว เขาไม่ได้เข้ามาทางประตูหลักของตระกูลเซี่ยเป็นแน่

ความโกรธอย่างฉับพลันนี้ ทำให้หัวใจของเหยาเฉาสงบลงเงียบ ๆ

เขายิ้มและพูดอย่างอ่อนโยนว่า “พี่รองไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้น ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นคนอื่น ถ้าในบ้านของข้าเอง อยากคุยตรงไหน ก็คุยตรงนั้นแหละ”

เสี่ยวเว่ยกระตุกมุมปาก ยกมือขึ้นกอดอกโดยไม่พูดสิ่งใด

เหยาเฉาเห็นนิสัยของเด็กของอีกฝ่ายจึงอดยิ้มและพูดไม่ได้ว่า “เอาละ ไม่เจอกันหลายวัน เหตุใดยามเจอหน้าถึงได้ดูโกรธแค้นนักเล่า? คราวที่แล้วพี่รองยังไม่ได้ขอบคุณเจ้าเลยนะ…ภูเขาเฮยหู่อยู่ห่างจากในเมืองไกลเพียงนั้น แต่ต่อมาข้าไม่รู้ว่ากลับบ้านได้อย่างไร ได้ยินว่าเจ้าแบกข้ากลับไปหรือ?”

เสี่ยวเว่ยยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะพูดด้วยเสียงกลุ้มใจว่า “ท่านจะขอบคุณข้าทำไม? เกือบตายเพราะเสียเลือดมากเชียวนะ…”

ครั้นนึกถึงความทรงจำในตอนนั้น ในใจของเหยาเฉาก็เต็มตื้นไปด้วยความซาบซึ้งใจ

วันนั้นบาดแผลบนเอวของเขาไม่เล็กเลย ระหว่างทางเลือดจึงไหลไม่หยุด กระทั่งแผ่นหลังก็ล้วนเย็นเยือกจนไร้ความรู้สึกไปทั่วทั้งร่างกาย

แต่ระหว่างที่กึ่งหลับกึ่งตื่น ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้เขาจำได้ว่าข้างกายมีคนเรียกชื่อของเขา และพูดกับเขา อีกทั้งออกแรงแบกเขากลับบ้าน

นัยน์ตาของเขาฉายแววดีใจ ก่อนจะพูดกับเสี่ยวเว่ยอย่างจริงจังว่า “วันนั้นเจ้าพยายามช่วยชีวิตอย่างเต็มที่ พี่รองล้วนจำได้ขึ้นใจ”

เด็กหนุ่มรับมือกับความใจดีอันแสนบริสุทธิ์แบบนี้ไม่ค่อยถนัดนัก หากให้เขาฆ่าจิ้งจอกหรือว่าเสือ เกรงว่าคงจะสบายใจกว่าการพูด ‘ขอบคุณ’ อย่างจริงใจต่อหน้าเหยาเฉา

เขาพูดอย่างอึดอัดใจ “เจ้าจำคำสัญญาของข้าได้ก็ดี”

เหยาเฉาหัวเราะเบา ๆ นัยน์ตาแผ่ขยายความอบอุ่นภายใต้แสงอาทิตย์ ก่อนพูดว่า “จำได้แน่นอน เจ้าว่างเมื่อใดล่ะ? เราไปเดินเล่นในเมืองหลวงด้วยกันสิ”

เสี่ยวเว่ยมักจะมาอย่างไร้เงาไปอย่างไร้ร่องรอย จนเหยาเฉายังไม่ทันคุยให้เข้าใจว่าคราวต่อไปจะเจอเขาได้เมื่อใด

เด็กหนุ่มที่ทำตัวเหมือนกับสายลมเช่นนี้ ทำให้เขาทั้งจนใจ ทั้งต้องทะนุถนอมช่วงเวลาที่จะได้อยู่กับเขา

ถ้าจะให้พูดก่อนหน้านั้น ในสายตาของเขารู้สึกว่าเสี่ยวเว่ยมีชีวิตที่น่าสงสารมาก จึงมีแต่ความเห็นใจ

บัดนี้เสี่ยวเว่ยที่เคยช่วยเขาไว้ ในสายตาของเหยาเฉาถือได้ว่าเป็นผู้มีพระคุณ ทั้งยังรู้ว่าเดิมทีเขาไม่ได้มีนิสัยเลวร้าย จึงยิ่งอยากดึงเขามาเป็นคนรู้ใจ

เสี่ยวเว่ยพึมพำโดยไม่ได้ใส่ใจนัก “ตอนนี้ข้าก็ว่างนะ”

เหยาเฉาตะลึงงัน จากนั้นก็พยักหน้าและพูดว่า “เจ้ามานั่งในเรือนก่อนเถิด เดี๋ยวข้าออกมา”

พูดจบ เขาก็ลุกขึ้นและเข้าไปในห้อง

ตอนที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเมื่อครู่ เขาได้เอาถุงเงินวางไว้ข้างเตียง

ประเดี๋ยวหากออกไปเดินเล่น ถ้าเสี่ยวเว่ยชื่นชอบสิ่งใดก็จะได้ซื้อให้เขา

แต่ในตอนที่เหยาเฉาหยิบถุงเงินขึ้นมาได้ไม่นาน กลับได้ยินเสียงหญิงสาวที่ดูรีบร้อนดังมาจากด้านนอก

“คุณชายเหยา ใกล้ถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้ว ท่านจะรับประทานในลานบ้านหรือว่าห้องโถงด้านหน้าดีเจ้าคะ?”

เหยาเฉาจำได้ว่าคนที่พูดนั้นคือฝูเซิง มือที่กำลังหยิบถุงเงินชะงักทันใด จากนั้นก็วางกลับไป

ในใจได้แต่จนปัญญา เหยาเฉาเดินออกจากประตูกระทั่งเห็นว่าร่างเงาในชุดสีดำในลานบ้านผู้นั้นหายตัวไปแล้ว เหลือไว้เพียงแค่ฝูเซิงที่ยืนสดใสอยู่บนระเบียง

เขาพูดอย่างอบอุ่นว่า “อาหารมื้อเที่ยงไม่ต้องเตรียมเผื่อข้า มื้อเที่ยงข้าจะไปเดินเล่นในเมืองหลวง ไปกินขนมตามใจตัวเอง”

แม้ว่าฝูเซิงจะแปลกใจที่เห็นเหยาเฉาจะออกไปข้างนอกตอนเที่ยง แต่อีกฝ่ายเป็นแขกฝูเซิงจึงไม่ได้สนใจมากนัก

นางแค่ยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “งั้นเชิญคุณชายเหยาตามสบาย ฝูเซิงขอตัวเจ้าค่ะ”

เหยาเฉาพยักหน้าอย่างอบอุ่น หลังจากที่ฝูเซิงจากไป เขาก็กลับเข้ามาในห้องหยิบถุงเงิน และเดินออกไป…

……………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ขณะที่หัวหน้าเซี่ยกำลังตามไปคิดบัญชีคนทำร้ายฝ่าบาท ฝ่ายพี่เฉาก็มีคนรู้ใจตามมาถึงเมืองหลวงเลย ผู้แปลรู้สึกกระชุ่มกระชวยยิ่งนัก

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

Status: Ongoing
เหยาซูเสียชีวิตเนื่องจากเครื่องบินตก ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองได้มาอยู่ในร่างตัวละครหนึ่งในนิยายที่ตัวเองกำลังอ่าน!หญิงสาวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกและมาเกิดใหม่ในนิยายยุคโบราณที่ตนเองกำลังอ่าน หลังฟื้นขึ้นมาจึงพบว่าตนเองอยู่ในร่างของ เหยาซู มารดาของวายร้ายทั้งสามในเรื่อง กลายเป็นแม่ม่ายลูกติดโฉมสะคราญที่ผู้คนต่างชี้หน้าบอกว่าเป็นตัวซวยทำให้สามีต้องตาย เมื่อได้ทราบว่าชีวิตของลูก ๆ ต้องเผชิญกับการดูถูก นางจึงทนไม่ไหวเก็บข้าวของหอบลูกกลับบ้านเก่า เริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกและครอบครัวทางแม่ของตน ด้วยคิดว่าหากสั่งสอนลูกดี ๆ พวกเขาคงไม่กลายเป็นตัวร้าย จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของนางได้กลับมา พวกเขาจึงได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง แต่แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าตามนิยายต้นฉบับสามีของตนจะตกหลุมรักสตรีอื่น จึงคิดหาวิธีที่จะหย่าขาดกับเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท