บทที่ 249 เป็นตัวเลือกดีที่สุดในการตรวจสอบคดีนี้
บทที่ 249 เป็นตัวเลือกดีที่สุดในการตรวจสอบคดีนี้
หลินเหราและเหยาเฉาไม่ได้รอนานเกินไป ไม่นานก็มีคนวิ่งกุลีกุจอเข้ามา
จนเมื่อเขาวิ่งเข้ามาใกล้ เหยาเฉาจึงจำได้ว่าเป็นอาเล่อที่อยู่ข้างกายต๋ากงกง
อาเล่อหายใจเหนื่อยหอบ ปาดเหงื่อบนใบหน้าก่อนเอ่ยขึ้น “ใต้เท้าทั้งสองคงรอนานแล้วกระมัง? เชิญตามข้าน้อยมาขอรับ”
ทั้งสองคนเดินตามฝีเท้าของเขา เหยาเฉาจึงเอ่ยปากถามว่า “เล่อกงกง ตอนนี้เรากำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่ไปลานประลองใช่หรือไม่?”
ขันทีน้อยรู้ว่าสองคนนี้เป็นคนที่เซี่ยเชียนพาเข้าวัง อย่างอื่นเขาไม่รู้อะไรทั้งนั้น แต่เขาเห็นแรงสนับสนุนที่องค์จักรพรรดิมีต่อใต้เท้าเซี่ยกับตา
ประกอบกับเรื่องในคราวนี้เป็นการจัดการของต๋ากงกง ต่อให้เขาไม่ฉลาดอย่างไร ก็รู้ว่าควรจะต้องอยู่ฝ่ายไหน…
สำหรับหลินเหราและเหยาเฉาสองคนนี้ อาเล่อล้วนจำเป็นต้องตอบคำถาม “เป็นทางไปลานประลองขอรับ ตอนนี้มีคนแพร่งพรายเรื่องที่เกิดขึ้นกับฝ่าบาทออกไปแล้ว ในลานประลองนอกจากใต้เท้าเซี่ยแล้ว ยังมีใต้เท้าจ้าวและใต้เท้าหลี่ที่ได้รับข่าวนี้….”
เหยาเฉารู้สึกตื่นตกใจ “หา? ใต้เท้าสองท่านนี้มาเร็วขนาดนั้นเชียว”
ขันทีน้อยยิ้ม อย่างไรแล้วหลินเหราและเหยาเฉาผู้ซึ่งอยู่ในวังมาพักใหญ่ย่อมรู้ข่าวคราวแน่นอน แต่คงมิสู้เขาบอกทั้งสองตอนนี้ ถือว่าเป็นการไว้หน้ากัน
เขาพูดอย่างละเอียดว่า “ใต้เท้าจ้าวเป็นพี่น้องของพระสนมจิ้งเฟย ดำรงตำแหน่งฝ่ายจัดพิธีการต่าง ๆ ไม่เป็นมิตรกับใต้เท้าเซี่ย สำหรับใต้เท้าหลี่นั้น…”
อาเล่อหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง “ก่อนที่ใต้เท้าเซี่ยจะดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการฝ่ายองครักษ์ในวังหลวง เคยเป็นตำแหน่งเก่าของใต้เท้าหลี่มาก่อน”
ข้อมูลยังไม่มากพอ…
เหยาเฉาเอ่ยถามขันทีน้อยเสียงเบา “เล่อกงกง ไม่ทราบว่าเวลาที่ใต้เท้าจ้าวและใต้เท้าหลี่อยู่ที่นี่ มีความสัมพันธ์อันใดกับใต้เท้าเซี่ยหรือ?”
อาเล่อมีสีหน้าจนใจไม่รู้จะพูดอย่างไร หลังจากลังเลไปครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นว่า “ยามใต้เท้าเซี่ยที่น่าเคารพอยู่ในราชสำนัก ท่านก็ไม่ค่อยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับใครนัก… แต่ก่อนหน้านั้นสิบวันใต้เท้าจ้าวและใต้เท้าเซี่ยได้ทะเลาะกันครั้งหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ฝ่าบาทจึงตำหนิใต้เท้าจ้าว”
เหยาเฉาพยักหน้า แสดงออกว่าตัวเองนั้นเข้าใจ
เห็นเช่นนี้แล้ว ใต้เท้าจ้าวและเซี่ยเชียนจะต้องมีความบาดหมางกันอย่างรุนแรง แต่ใต้เท้าหลี่ผู้นี้และเซี่ยเชียนอาจจะมีผลประโยชน์โดยตรงที่สุด
เขาและหลินเหรามองตากัน กระทั่งเห็นคำตัดสินจากนัยน์ตาของอีกฝ่าย…
สองคนนี้ คนหนึ่งก็มีเส้นสายอยู่ในวังหลัง อีกคนก็มีอำนาจในหมู่ทหาร การได้รับข่าวเป็นคนแรกสุดย่อมเป็นเรื่องปกติ
แต่เท่าที่ดูจากลางสังหรณ์ คนที่อยู่เบื้องหลังจะต้องคาบข่าวไปรายงานให้แก่สองคนนี้อย่างแน่นอน และยืมมือของใต้เท้าจ้าวและใต้เท้าหลี่ดึงเซี่ยเชียนเข้ามาเกี่ยวข้อง…
เหยาเฉาและหลินเหราถกเถียงกันไม่กี่ประโยคด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ไม่นานก็มาถึงลานประลองในที่สุด
หลินเหราและเหยาเฉาเห็นต๋ากงกงกำลังคุยกับคนที่อยู่ตรงหน้าจากที่ไกล ๆ เซี่ยเชียนยืนอยู่ด้านข้าง สายตายากจะคาดเดา…
อีกด้าน
ต๋ากงกงยิ้มและพูดปลอบใจว่า “ใต้เท้าทั้งสองอย่าทะเลาะกันเลย ในวังไม่ใช่สถานที่ที่เหล่าใต้เท้าจะมาถกเถียงกัน อีกอย่างพระวรกายของฝ่าบาทก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก คิดว่าตกกลางคืนคงจะฟื้นแล้ว ถึงตอนนั้นก็จะควบคุมสถานการณ์โดยรวมได้”
ชายชุดคลุมสีม่วงสีหน้าเคร่งเครียดผู้หนึ่งพูดกับต๋ากงกง “ที่กงกงพูดก็ถูก ข้าน้อยหลี่ไม่อยากเอาปัญหาในวังไปให้แก่ใต้เท้าเซี่ยหรอก เพียงแต่เรื่องนี้ ใต้เท้าเซี่ยไม่อาจหลีกเลี่ยงการตกเป็นผู้ต้องสงสัยได้ เวลานี้ให้เขาตรวจสอบเรื่องที่ฝ่าบาทตกม้า ไม่ใช่ว่าเป็นการสนับสนุนคนร้ายอย่างนั้นหรือ?”
ต๋ากงกงทำท่าจะเอ่ยปาก แต่ชายวัยกลางคนที่ยืนข้างใต้เท้าหลี่ผู้แต่งกายในชุดคลุมสีม่วงได้ยิ้มตาหยีพลางพูดว่า “ถ้าใต้เท้าเซี่ยสามารถพิสูจน์ว่าตัวเองบริสุทธิ์ได้ คดีความในวันนี้จะให้ใต้เท้าเซี่ยมาทำการตรวจสอบตามสมควร”
เซี่ยเชียนได้ยินดังนั้น ใบหน้าเย็นชาก็ไม่ได้เปลี่ยนสีแต่อย่างใด
ต๋ากงกงชำเลืองไปมองเซี่ยเชียน จึงค่อยมองไปยังใต้เท้าหลี่และใต้เท้าจ้าวที่ไม่ยอมลดราวาศอก ก่อนจะพูดด้วยการยอมถอยก้าวหนึ่งอย่างอดไม่ได้ “เจตนารมณ์ของใต้เท้าทั้งสองคือ…”
ใต้เท้าจ้าวคลี่ยิ้มอย่างมีความหมายแฝงเป็นนัย พร้อมกับมองพิจารณาเซี่ยเชียนตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าและพูดว่า “ใต้เท้าเซี่ยเป็นขุนนางคนโปรดผู้ได้รับความไว้วางใจอย่างลึกซึ้งจากฝ่าบาท จะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ไม่ใช่สิ่งที่ข้าน้อยจ้าวและใต้เท้าหลี่จะตัดสินได้”
แต่ความบริสุทธิ์ในตอนนี้ ก็ไม่ได้บริสุทธิ์เสมอไป
คำพูดนี้ของใต้เท้าจ้าวเป็นการชี้หน้าด่าเซี่ยเชียนทางอ้อมว่าอาศัยอำนาจมาปรนนิบัติกษัตริย์ ทำให้สีหน้าของต๋ากงกงเปลี่ยนไปทันที
เขามองไปทางเซี่ยเชียนด้วยจิตใต้สำนึก แต่กลับเห็นอีกฝ่ายยังคงมีสีหน้าปกติ สายตาจับจ้องไปยังใต้เท้าหลี่และใต้เท้าจ้าว โดยไร้ความรู้สึกใด
นัยน์ตาคู่นั้นเย็นเยือกอย่างล้ำลึก
จากนั้นเซี่ยเชียนจึงเอ่ยปากด้วยเสียงราบเรียบ “น้องสาวของใต้เท้าจ้าวไม่สมดั่งปรารถนา หลังเห็นทุกคนรอบตัวใช้อำนาจมาปรนนิบัติกษัตริย์ได้ การสั่งสอนเช่นนี้ สมกับเป็นนางสนมแล้วหรือ? ใต้เท้าจ้าวไม่เพียงแต่จะไม่ควบคุม ตรงกันข้ามกลับลำเอียงเข้าข้างคนชั่ว สมกับเป็นขุนนางแล้วหรือ?”
หลายปีก่อนหน้านั้นเป็นเพราะจ้าวจิ้งเฟยวิพากษ์วิจารณ์เซี่ยเชียน ทำให้คนในวังที่คอยให้การสนับสนุนต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ถึงความสกปรกโสมมของเซี่ยเชียนจนแพร่สะพัดไปทั่ววัง ก่อนจะถูกองค์จักรพรรดิประกาศจับ ช่วงต้นวสันต์ถึงเพิ่งจะถูกปล่อยตัวออกมา
ใต้เท้าจ้าวได้รับความอัปยศเพราะน้องสาว จึงเกลียดชังเซี่ยเชียนเป็นธรรมดา
ประโยคนี้เซี่ยเชียนได้พูดทิ่มแทงใจดำของใต้เท้าจ้าวอย่างหนักหน่วง จนรอยยิ้มบนใบหน้าของอีกฝ่ายต้องหุบลง ก่อนจะแสดงสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งกว่าสีหน้าของใต้เท้าหลี่เสียอีก…
ทรวงอกของชายวัยกลางคนกระเพื่อมขึ้นลงสองถึงสามครั้ง พยายามรักษารอยยิ้มที่เย็นชานั้นไว้ก่อนพูดว่า “หากใต้เท้าเซี่ยกล้าทำ ก็อย่ากลัวที่ผู้อื่นกล้าพูดสิ!”
หลินเหราและเหยาเฉาเดินเข้าไปใกล้ กระทั่งได้ยินสถานการณ์ที่กำลังถกเถียงกันอยู่
ใต้เท้าหลี่และใต้เท้าจ้าวพยายามยกตนข่มท่าน เซี่ยเชียนเองก็ไม่มีทีท่าว่าจะถอย…
ครั้นเซี่ยเชียนเห็นว่าสถานการณ์ตรงหน้าได้ตรงสู่สภาวะชะงักงัน แต่ตัวเขาที่เดิมทีควรจะทำการตรวจสอบถึงสาเหตุที่องค์จักรพรรดิทรงตกจากหลังม้าได้โดยเร็วกลับถูกใต้เท้าจ้าวและใต้เท้าหลี่สองคนนี้พยายามลากให้ตกต่ำ นัยน์ตาที่แสนเย็นชาคู่นั้นจึงแสดงออกถึงความโกรธเคืองและร้อนรนออกมา….
อาเล่อวิ่งมาถึงตรงหน้าของเจ้าตัวเป็นคนแรก ก่อนจะตะโกนว่า “ต๋ากงกง! ใต้เท้าหลินและใต้เท้าเหยามาถึงแล้วขอรับ!”
ในใจของต๋ากงกงรู้สึกดีขึ้นมาโดยพลัน ก่อนจะพูดเบา ๆ ว่า ‘ในที่สุดผู้ช่วยชีวิตทั้งสองคนก็มาถึงเสียที’
เขารุดขึ้นหน้าและพูดเสียงดังว่า “เหตุใดใต้เท้าทั้งสองท่านถึงเพิ่งมาละขอรับ? เมื่อครู่ฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมา และรับสั่งให้ใต้เท้าทั้งสอง…”
ใต้เท้าหลี่และใต้เท้าจ้าวนิ่งงันไปทันใด เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ต๋ากงกงไม่ได้พูดจนจบต่อหน้าทุกคน แต่เลือกที่จะเดินมาตรงหน้าหลินเหราและเหยาเฉา กระซิบเสียงแผ่วเบาสองสามประโยค ครั้นเห็นเหยาเฉาได้ยิน ก็พยักหน้าแสดงให้เห็นว่าเข้าใจ
ใต้เท้าหลี่และใต้เท้าจ้าวต่างมองหน้ากัน…นี่มันอะไรกัน
ใต้เท้าหลี่จึงเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตรนักว่า “สองท่านนี้คือ…”
ใบหน้าของต๋ากงกงเผยรอยยิ้มผ่อนคลาย พร้อมทั้งผายมือไปยังตำหนักที่อยู่ถัดจากลานประลอง ก่อนจะพูดกับทั้งสามคน ณ ที่นี่ว่า “ใต้เท้าหลี่ ใต้เท้าจ้าว ใต้เท้าเซี่ย บัดนี้ใต้เท้าที่ฝ่าบาททรงรับสั่งให้มาตรวจสอบคดีนี้ได้มาถึงแล้ว มิสู้ใต้เท้าทั้งสามเข้าไปพักผ่อนในตำหนักก่อนดีกว่า ข้าน้อยจะนำใต้เท้าสองท่านนี้เข้าไป”
ยามที่องค์จักรพรรดิทรงฟื้น เซี่ยเชียนก็อยู่ที่นั่นด้วย ซึ่งองค์จักรพรรดิไม่ได้เอ่ยถึงหลินเหราและเหยาเฉาแม้แต่คำเดียว
เซี่ยเชียนแทบจะเข้าใจเล่ห์เหลี่ยมของต๋ากงกงในทันที เขาขมวดคิ้วเข้าหากันและตะโกนเสียงต่ำ “เหลวไหล!”
ประโยคนี้ เรียกว่าพระราชโองการเท็จ
ต๋ากงกงระมัดระวังมาตลอด วันนี้เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้?
ต๋ากงกงอารมณ์ไม่ดีนัก จึงรีบหยิบยกประเด็นมาขวางเซี่ยเชียนไว้ หลีกเลี่ยงไม่ให้เขาเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลินเหราเอง “ใต้เท้าเซี่ยน่าจะรู้ดี ฝ่าบาททรงเรียกตัวใต้เท้าเหลินและใต้เท้าเหยามาจากเมืองชิงถง เช้าตรู่วันนี้ก็เพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นองครักษ์รักษาพระองค์ ใต้เท้าทั้งสองไม่คุ้นเคยกับราชสำนัก ไม่เคยมีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับในวัง จึงย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการตรวจสอบคดีนี้”
เซี่ยเชียนมองไปทางหลินเหราด้วยสายตาเย็นชา ตั้งใจว่าหลังเสร็จเรื่องจะต้องจัดการคนเหล่านี้เสียหน่อย
ส่วนใต้เท้าหลี่และใต้เท้าจ้าว หลังจากที่เซี่ยเชียนถูกสกัดกั้นจากผู้มาเยือนคนใหม่ทั้งสองคน จึงเอ่ยเตือนด้วยความโกรธ…
……………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
มันมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรกันนะถึงไม่ยอมให้พี่เหราและพี่เฉามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่ใด ๆ ก็คือศัตรูของเซี่ยเชียนเริ่มปรากฏตัวให้เห็นแล้วสินะ
หรือเหตุที่ตระกูลเซี่ยโดนใส่ร้ายก็เป็นเพราะจ้าวจิ้งเฟยไม่พอใจที่เห็นฝ่าบาทสนิทกับเซี่ยเชียนเกินไป?
ไหหม่า(海馬)