ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] – บทที่ 255 ความขุ่นเคืองใจของตู้เหิง

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

บทที่ 255 ความขุ่นเคืองใจของตู้เหิง

บทที่ 255 ความขุ่นเคืองใจของตู้เหิง

หลินเหราให้ความสำคัญกับคดีความ ไม่ได้สนใจสายตาของตู้เหิงที่ลอบมองเขาเป็นระยะ ๆ และไม่มีกะจิตกะใจสนใจอารมณ์อันละเอียดอ่อนที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจของนางเลยสักนิด…

เขานำตู้เหิงมาส่งหน้าประตูวัง หลังจากกล่าวลาอย่างง่ายแล้ว ก็รีบหมุนตัวกลับทันที

หากแต่เป็นตู้เหิง ที่จนกระทั่งมาถึงรถม้าที่จะพากลับจวน ก็ยังไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้

วันนี้หลินเหราได้พูดคุยกับนางนานพอสมควร เขาน่าจะเข้าใจนางมากขึ้นแล้วกระมัง?

ตอนนี้เขาดำรงตำแหน่งเป็นองครักษ์ของฝ่าบาท ส่วนนางเป็นบุตรีแห่งจวนขุนนางเจ้าอาลักษณ์ คงไม่ต้องเอ่ยถึงสถานะว่าเป็นอย่างไร หน้าที่การงานในวันข้างหน้า แค่อาศัยอำนาจบารมีของตระกูลตู้ ก็สามารถผลักดันให้หลินเหราอยู่ในราชสำนักอย่างราบรื่นแล้ว

ส่วนคนที่ครอบครองสถานะความเป็นภรรยาของหลินเหราผู้นั้น…

แม้ว่าเหยาซูจะไม่ได้มีหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ แต่แล้วอย่างไรล่ะ? นางช่วยอธิบายถึงสถานการณ์ในวังหลวงให้หลินเหราฟังได้อย่างชัดเจนหรือไม่? ช่วยจัดการความยุ่งยากในวังหลวงให้แก่หลินเหราได้หรือไม่เล่า?

รอให้หลินเหรามองเห็นอย่างชัดเจนก่อน เขาคงจะรู้ว่าควรเลือกอย่างไหน!

ขณะที่ตู้เหิงครุ่นคิด ฝีเท้าที่กำลังก้าวเดินก็เพิ่มความเร็วขึ้นไม่น้อย

อาซู่ที่ยืนรอตู้เหิงอยู่นอกวังมาโดยตลอด เมื่อเห็นรอยยิ้มที่ไม่มีทีท่าว่าจะหุบลงบนใบหน้าของนาง จึงรุดขึ้นหน้าและเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า “วันนี้ดูท่าคุณหนูจะอารมณ์ดีนะเจ้าคะ? หรือว่าอาการของพระสนมดีขึ้นมากแล้ว?

ตู้เหิงเปิดม่านหน้าต่างในรถม้า และเหม่อมองออกไปข้างนอกแวบหนึ่ง บนถนนที่กำลังพลุกพล่าน ผู้คนเดินกันขวักไขว่ ไม่มีใครรู้ว่าในใจของนางนั้นเบิกบานใจและดีใจลิงโลดเพียงใด

มุมปากของนางกระตุกขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาที่สุกสกาวได้แสดงความรู้สึกที่แตกต่างจากในอดีตโดยสิ้นเชิง หญิงสาวปิดม่านลงและพูดกับสาวใช้ข้างกายว่า “อาซู่ เจ้าลองเดาสิว่าวันนี้ข้าเจอผู้ใดในวัง?”

อาซู่อายุยังน้อย แต่ก็อยู่ในช่วงที่กำลังงดงามสะพรั่ง ครั้นเห็นสีหน้าของตู้เหิง ได้ยินสิ่งที่นางพูด ในใจก็พอจะคาดเดาได้เลือนรางแล้ว “คุณหนู….คงจะไม่ได้ตกหลุมรักใครหรอกนะเจ้าคะ? แต่ในวังนอกจากองค์จักรพรรดิแล้ว จะยังมีชายใดได้อีก? คุณหนูคงไม่ได้ชมชอบองค์จักรพรรดิหรอกกระมัง?”

อาซู่กระวนกระวายอยู่ในใจ จากนั้นก็ชำเลืองมองตู้เหิง ลังเลอยู่เนิ่นนานก่อนจะเอ่ยปากถามนาง “คุณหนู…เจอกับฝ่าบาทหรือเจ้าคะ?”

ตู้เหิงตะลึงงัน

นางหันกลับไปมองอีกฝ่ายทันที กระทั่งเห็นถึงความกังวลที่ไม่อาจปกปิดบนใบหน้าของอาซู่ พริบตาเดียวก็เข้าใจถึงความคิดทั้งหมดในใจของอาซู่

ตู้เหิงเคยเจอกับฝ่าบาทเมื่อครั้งยังวัยเยาว์มาก แต่กลับเห็นอีกฝ่ายเป็นแค่ผู้อาวุโสตั้งแต่ไหนแต่ไร ซึ่งแตกต่างกับหลินเหราโดยสิ้นเชิง! อาซู่คิดเช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกขุ่นเคืองที่ทำให้คนในใจต้องด่างพร้อย

หัวคิ้วอันงดงามของตู้เหิงได้ขมวดเข้าหากัน พลางพูดเสียงต่ำว่า “คิดอะไร! จะเป็นไปได้อย่างไร! ฝ่าบาทเป็นพระสวามีของท่านป้านะ!”

ครั้นเห็นสีหน้าโกรธเคืองที่ไม่ได้ดูเสแสร้งของตู้เหิง แม้อาซู่จะรู้ว่าคุณหนูไม่พอใจ แต่ก็ยังถอนหายใจออกมายาว ๆ

อาซู่ยิ้มบาง เผยให้เห็นเขี้ยวขนาดเล็กคู่หนึ่ง “ไม่ใช่ฝ่าบาทก็ดีแล้ว คุณหนูอายุยังน้อย คงไม่ออกเรือนกับบุรุษที่อาวุโสเฉกเช่นฝ่าบาทหรอกเจ้าค่ะ…”

ครั้นได้ยินเช่นนี้ ตู้เหิงก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง จากนั้นก็ตำหนิออกไป “อย่าพูดจาเหลวไหล เรื่องเหล่านี้จะพูดมั่วซั่วได้อย่างไร?”

อาซู่แลบลิ้นออกมา แต่ในใจไม่ได้สนใจ

นางเติบโตอยู่ในจวนตู้มาตั้งแต่เด็ก อยู่ข้างกายตู้เหิงมาโดยตลอด

แม้ว่าสถานการณ์ในจวนตู้จะค่อนข้างซับซ้อน แต่ตู้เหิงก็ยังได้รับการเอาอกเอาใจถูกประคบประหงมมาจนเติบใหญ่ ในฐานะสาวใช้ข้างกายของนาง แต่ไหนแต่ไรมาอาซู่ไม่เคยได้รับความไม่เป็นธรรมอะไร ร่างกายยังคงความบริสุทธิ์ของเด็กผู้หญิงไว้อย่างดี

นางยิ้มและพูดกับตู้เหิงว่า “คุณหนูระมัดระวังเกินไป! ในจวนตู้ของเรามีพระสนมกุ้ยเฟยและก็นายท่าน จะกลัวอะไรเล่าเจ้าคะ!”

ตู้เหิงไม่อยากถูกอาซู่ทำให้เสียอารมณ์

นางรู้ว่าอาซู่มักจะมีนิสัยเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร บริสุทธิ์ไม่มีแผนการชั่วร้าย ลั่นวาจามักไม่ค่อยคิด เพียงแต่อาซู่ในแบบนี้ ในอดีตเป็นเพราะปากมาก จึงถูกเฆี่ยนจนตาย…

ขณะที่กำลังมีความสุขที่ได้เจอกับหลินเหรา แต่เพราะนึกถึงเรื่องเหล่านี้ จึงได้ประสบกับเงามืดอันเลือนรางอีกครั้ง

รอยยิ้มบนใบหน้าของตู้เหิงหุบลงในทันที จากนั้นก็มองเข้าไปในดวงตาของอาซู่ และพูดอย่างจริงจังว่า “ท่านป้ามีความลึกซึ้งต่อฝ่าบาทมาก ตระกูลตู้ไม่สามารถส่งลูกสาวอีกคนเข้าวังได้อีก บางเรื่องเจ้าน่าจะรู้ดีแก่ใจ แต่ไม่ควรพูดออกมา เข้าใจหรือไม่?”

อาซู่งุนงง ยากที่จะปรับตัวให้เข้ากับความเข้มงวดฉับพลันของตู้เหิง

พวกนางเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก เดิมทีก็ไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว แต่จู่ ๆ คุณหนูก็โกรธเคืองเพราะเรื่องนี้ นางจึงไม่เข้าใจ…

อาซู่อธิบาย “อาซู่เข้าใจแล้ว คำพูดเหล่านี้เดิมทีเป็นคำพูดต้องห้าม อาซู่เองก็มีแค่คุณหนูที่ยืนอยู่ตรงหน้า จึงได้กล้าเช่นนี้เจ้าค่ะ”

ครั้นเห็นนางไม่เข้าใจถึงความไม่พอใจของตน ตู้เหิงจึงแสดงสีหน้าเย็นชา “ในเมื่อไม่เข้าใจ ต่อไปก็แค่ทำตามก็พอ ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก! ”

เมื่อสาวใช้ถูกตำหนิก็รู้สึกไม่เป็นธรรม ได้แต่ห่อไหล่ ก้มหน้างุด ๆ พร้อมกับตอบรับ “เจ้าค่ะ…คุณหนู”

ตั้งแต่กลับมาเกิดใหม่ ตู้เหิงเองก็รู้ว่าความคิดของตัวเองนั้นเกิดความผิดปกติ เพียงแต่นางหมดหนทางจะควบคุมอารมณ์ของตัวเอง

หลังจากระบายอารมณ์ใส่อาซู่เรียบร้อยแล้ว นางก็รู้สึกเสียใจ คิดได้ว่าหลังจากที่ออกเรือนไปตระกูลสามีจะต้องได้รับความไม่เป็นธรรมและความเงียบเหงา สุดท้ายคนที่อยู่ข้างกายนางมาตลอด ก็มีเพียงแค่อาซู่ที่ไม่ทิ้งกันไปไหน

ตู้เหิงพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลง “อาซู่ เงยหน้าขึ้น”

สาวใช้เงยหน้ามองตู้เหิง สายตาเต็มไปด้วยความเชื่อฟัง

นางเม้มริมฝีปาก กลัวว่าตู้เหิงจะไม่พอใจ จึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “คุณหนู?”

ตู้เหิงส่ายหน้าอย่างเงียบเชียบ อาซู่ที่ยังคงอ่อนเยาว์เช่นนี้ ถ้าไม่มีความจงรักภักดี แล้วจะมีประโยชน์อะไร? นางควรคิดว่า นางได้บ่มเพาะสาวใช้ที่มีประโยชน์ได้ถึงสองสามคนเลยทีเดียว

ในใจของตู้เหิงหมดความอดทนอยู่เลือนราง ก่อนจะพูดอย่างเย็นชาว่า “อาซู่ ต่อไปคำพูดที่ไม่สมควรพูด อย่าพูดอีก เข้าใจหรือไม่?”

อาซู่รู้สึกได้ถึงความเหินห่างจากตัวของคุณหนูอย่างชัดเจน ราวกับว่าพวกนางเป็นสหายที่ไม่เคยพูดคุยกันในทันใด กลายเป็นเจ้านายและคนรับใช้ทั่วไป

ทว่าในความเป็นจริง…

แม่นมพูดถูก พวกนางเป็นเช่นนี้จริง ๆ เป็นแค่เจ้านายและคนรับใช้เท่านั้น

อาซู่รู้สึกย่ำแย่มากอยู่ในใจ แต่กลับฝืนตัวเองให้ครุ่นคิด ก่อนจะพูดเสียงต่ำว่า “คุณหนู อาซู่รู้แล้ว ต่อไปจะระมัดระวังมากกว่านี้ ไม่สร้างปัญหาให้คุณหนูเพิ่มแน่นอนเจ้าค่ะ”

เมื่อตู้เหิงเห็นนางเข้าใจแล้ว จึงพูดเพิ่มเติมอีกว่า “อาซู่ ต่อไปเจ้าต้องมองให้มาก คิดให้มาก ในหลายครั้ง ก็ไม่สามารถมองแค่ภาพที่อยู่ในใจได้ และไม่สามารถเชื่อใจผู้อื่นได้โดยง่าย เข้าใจหรือไม่?”

อาซู่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดคุณหนูถึงพูดจาเช่นนี้ นางเกิดความลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปากถามว่า “คุณหนู … ไปเจอเรื่องอะไรมาใช่หรือไม่เจ้าคะ?”

เรื่องเกิดใหม่ตู้เหิงไม่เคยเอ่ยกับผู้ใด เมื่อครั้งย้อนกลับมาในวัยสิบห้าปีตอนแรกเริ่มนั้น ในใจของนางเต็มไปด้วยความดีใจ หญิงสาวคิดว่านางจะแก้ไขโชคชะตาของตัวเองได้ แสวงหาคนที่คอยชื่นชมได้อย่างกล้าหาญ หยุดยั้งความเจ็บปวดในอนาคต และแก้แค้นคนที่ไร้ความปรานีเหล่านั้น…

แต่ยิ่งนานวัน นางก็ยิ่งพบว่าการที่ตัวเองกลับมาในวัฏจักรชีวิตของชาติที่แล้ว ไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด

ครั้นรู้อนาคตแล้วอย่างไร? นางยังคงติดอยู่ในห้วงความทรงจำ เฝ้ามองตัวเองเดินไปสู่อนาคตที่ทำให้นางต้องผิดหวังทีละก้าวอย่างนั้นหรือ?

บัดนี้อาซู่ได้เอ่ยถาม ตู้เหิงไม่อาจสงบจิตสงบใจได้ ทั้งยังหมดปัญญาเชื่อใจคนข้างกายอีกด้วย

นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ได้เห็นผู้คนและเรื่องราว ก็พอจะเข้าใจ”

อาซู่เห็นหัวคิ้วที่เดิมทีไร้ซึ่งความกังวลของตู้เหิงเปื้อนไปด้วยความรู้สึกที่ดูอึดอัด คล้ายกับว่าได้กลับมาในวันก่อนหน้านั้น ที่ไม่มีช่วงเวลาให้ได้ออกไปผ่อนคลายอีกครั้ง

สาวใช้จึงอดพูดไม่ได้ “คราวที่แล้วที่ออกไปข้างนอกพร้อมกับคุณหนู แม้จะบอกว่าต้องพบเจอกับอันตราย แต่คุณหนูก็ยังเบิกบานใจใช่หรือไม่เจ้าคะ?”

ครั้นเห็นนางเอ่ยเรื่องก่อนหน้านั้น ตู้เหิงก็นึกถึงสภาพที่ได้รับการช่วยเหลือจากหลินเหราในวันนั้น ช่างรับไม่ได้ยิ่งนัก

อาซู่พูดด้วยรอยยิ้มว่า “หากคุณหนูชอบผ่อนคลาย วันหน้าเราค่อยออกไปก็ได้ เพียงแต่ต้องพาองครักษ์ไปมากหน่อยเท่านั้นเจ้าค่ะ”

ที่ออกจากบ้านในคราวที่แล้วก็เพื่อจะได้เจอกับหลินเหรา ตอนนี้เขามาถึงเมืองหลวงแล้ว ตู้เหิงย่อมไม่มีทางทำเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องอีก

แต่ความคิดเหล่านี้ นางจะให้คนภายนอกล่วงรู้ไม่ได้เด็ดขาด

ตู้เหิงชำเลืองไปมองอาซู่แวบหนึ่ง ก่อนจะตอบรับคำหนึ่ง จากนั้นก็หลับตาลง

รถม้าขับเคลื่อนไปยังจวนของเจ้าอาลักษณ์ ตู้เหิงจมอยู่ในความรู้สึกยินดีที่ได้เจอกับหลินเหราอีกครั้ง เฝ้ารอว่าจะเอ่ยเรื่องนี้กับผู้เป็นบิดาอย่างลับ ๆ ได้อย่างไรเมื่อกลับถึงบ้าน…

ครั้นเอ่ยถึงมุมมองที่แตกต่างของนางและหลินเหราคงไม่ได้แน่นอน จะให้ผู้เป็นบิดายอมรับในความสามารถของเขา ค่อย ๆ ช่วยเหลือเขาเข้าราชสำนักทีละก้าว

ในอดีตชาติเขาล้วนพึ่งความสามารถของตัวเองจนได้เป็นแม่ทัพใหญ่ ชาตินี้หากมีจวนตู้คอยช่วยเหลือ มีหรือจะไม่ก้าวหน้ายิ่งกว่าเดิม?

ตู้เหิงยังคงครุ่นคิด

แต่ในใจของอาซู่กลับรู้สึกว่าคุณหนูที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก กลายเป็นคนแปลกหน้าไปเสียแล้ว

ครั้นเห็นคุณหนูยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ นางก็ได้แต่ก้มหน้าลงอย่างเงียบ ๆ แต่ความรู้สึกในสายตากลับหวั่นไหว…

………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

คุณหนูตู้เหิง เชิญรับยาสลายมโนที่ท่านหมอได้เลยเจ้าค่ะ หากอาการไม่ดีขึ้น เชิญที่ต้นงิ้วหมายเลข 1 นะเจ้าคะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

Status: Ongoing
เหยาซูเสียชีวิตเนื่องจากเครื่องบินตก ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองได้มาอยู่ในร่างตัวละครหนึ่งในนิยายที่ตัวเองกำลังอ่าน!หญิงสาวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกและมาเกิดใหม่ในนิยายยุคโบราณที่ตนเองกำลังอ่าน หลังฟื้นขึ้นมาจึงพบว่าตนเองอยู่ในร่างของ เหยาซู มารดาของวายร้ายทั้งสามในเรื่อง กลายเป็นแม่ม่ายลูกติดโฉมสะคราญที่ผู้คนต่างชี้หน้าบอกว่าเป็นตัวซวยทำให้สามีต้องตาย เมื่อได้ทราบว่าชีวิตของลูก ๆ ต้องเผชิญกับการดูถูก นางจึงทนไม่ไหวเก็บข้าวของหอบลูกกลับบ้านเก่า เริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกและครอบครัวทางแม่ของตน ด้วยคิดว่าหากสั่งสอนลูกดี ๆ พวกเขาคงไม่กลายเป็นตัวร้าย จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของนางได้กลับมา พวกเขาจึงได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง แต่แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าตามนิยายต้นฉบับสามีของตนจะตกหลุมรักสตรีอื่น จึงคิดหาวิธีที่จะหย่าขาดกับเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท