บทที่ 267 เจ้าไม่ตาย ก็ข้านี่แหละที่ต้องตาย
บทที่ 267 เจ้าไม่ตาย ก็ข้านี่แหละที่ต้องตาย
เหยาซูและพี่สะใภ้รองเหยาคิดคำนึงถึงคนสองคนที่อยู่ในเมืองหลวง
สองสามวันนี้พวกเขากลับยุ่งจนไม่มีเวลาพักหายใจ แม้แต่ตอนกลางคืนก็ยังต้องพักอยู่ในวังหลวง
สืบหาเบาะแสโดยไม่ได้หลับไม่ได้นอนเป็นเวลาสามวัน เพื่อตามหาเงื่อนงำของคดีฝ่าบาททรงตกม้า ซึ่งเกี่ยวพันถึงทุกคนในวังหลัง
ผลลัพธ์เช่นนี้เป็นเรื่องที่ทั้งสองคนไม่เคยคาดคิดมาก่อน
เช้าตรู่วันนี้ มีคนจากจวนเซี่ยมาเยือน มาส่งเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนให้แก่หลินเหราและเหยาเฉา
เมื่อเหยาเฉาเจอฝูฉวี จึงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้าเข้าวังมาได้อย่างไร? มีธุระอะไรอย่างนั้นหรือ?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของฝูฉวีช่างงดงามอย่างไร้ที่ติ นางทำความเคารพบุรุษทั้งสอง “นายท่านให้ข้าน้อยเข้าวัง แต่ไม่ได้บอกว่ามีเรื่องอะไร เพราะคิดว่าคุณชายทั้งสองไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยน จึงให้ฝูลี่ตระเตรียมไว้ให้”
นางถือห่อผ้านั้นไว้ในมือ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เข้าวังไม่ง่ายนัก จึงได้ล่าช้าจนถึงวันนี้ ลำบากคุณชายทั้งสองคนแย่”
ทั้งสองคนยังคงแปลกใจที่สาวใช้เพียงคนเดียวอย่างนางสามารถเข้าวังได้ แต่มีคนมาส่งเสื้อผ้าให้เช่นนี้ ก็ดีเหมือนกัน
เมื่อครั้งที่หลินเหราอยู่ซีเป่ยนั้น เขาเคยประสบพบเจอกับประสบการณ์ที่ยากลำบากยิ่งกว่ามาแล้ว จึงไม่มีทางใส่ใจกับเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้เปลี่ยนในสองสามวันนี้หรอก
กลับเป็นเหยาเฉา เมื่อเจอกับฝูฉวี ก็ผ่อนลมหายใจออกมายาว ๆ
เขารับห่อผ้าจากในมือของฝูฉวีด้วยมือทั้งสองข้าง พลางพูดอย่างอ่อนโยนว่า “รบกวนแม่นางฝูฉวีต้องเปลืองแรงตระเตรียมให้ แต่มันแก้ไขปัญหาได้ทันเวลาพอดี สองสามวันนี้เราก็ยุ่งมากจนไม่ได้ออกนอกวังเลย หากไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าอีก มีหวังข้าและอาเหราคงไม่มีทางเจอใครได้แน่นอน”
หลินเหราเงียบไม่ปริปากพูด แต่ก็พยักหน้าให้ฝูฉวี
ฝูฉวียื่นห่อผ้าให้แก่เหยาเฉา จากนั้นก็ปรายตามองเข้าไปในดวงตาสีอ่อนที่แฝงไปด้วยความเหนื่อยล้าของเขา
บางทีอาจเพราะชายหนุ่มไม่ได้นอนหลับสนิทมาหลายคืน ดวงตาดอกท้อเรียวยาวคู่นั้นจึงสดใสและอ่อนโยนสู้ในอดีตไม่ได้ แม้แต่รอบดวงตาก็เริ่มมีรอยคล้ำจางๆ
แต่ต่อให้เหนื่อยล้ามากเพียงใด ก็ทำลายบุคลิกที่อ่อนโยนและดูสุขุมของเขาไม่ได้ แม้จะแต่งกายด้วยชุดขาวที่ไม่ได้เปลี่ยนมาหลายวัน แต่ทั่วทั้งตัวยังดูสะอาดสะอ้าน ไม่ได้แสดงออกถึงความไร้มารยาทแต่อย่างใด
ฝูฉวีได้แต่ทอดถอนใจอยู่เงียบ ๆ แม้แต่คุณชายผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวง น้อยนักที่จะมีบุคลิกเป็นสุภาพบุรุษเหมือนกับเหยาเฉา
ถ้าเช่นนี้ยังพบใครไม่ได้ แล้วจะให้คนภายนอกมาจัดการให้ตนเองได้อย่างไร?
นางยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “คุณชายเหยาช่างขบขันยิ่งนัก คุณชายและคุณชายหลินคงจะตรวจสอบคดีอย่างยากลำบาก ประกอบกับต้องอยู่ในวังหลวง บางครั้งก็ไม่ได้สนใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ คนอื่นย่อมให้อภัยเจ้าค่ะ”
เหยาเฉาพยักหน้า จากนั้นก็พูดคุยกับฝูฉวีอีกสองสามประโยค
กระทั่งได้ยินนางพูดอีกว่า “นายท่านของเราก็ไม่ได้กลับจวนเลยในช่วงสองสามวันนี้ คงจะอยู่ตรวจสอบคดีความกับคุณชายทั้งสองอยู่ในวังใช่หรือไม่?”
เมื่อเอ่ยถึงเซี่ยเชียน หลินเหราและเหยาเฉาพากันจนปัญญา
ด้วยเพราะจักรพรรดิทรงตกจากหลังม้า การอยู่ในราชสำนักสองสามวันคงไม่เท่าไร แต่จักรพรรดิกลับกักขังเซี่ยเชียนให้อยู่แต่ในวัง ไม่อนุญาตให้เขาออกไปภายนอก
ปากบอกว่าไม่ได้ห้ามให้เซี่ยเชียนตามออกไปตรวจสอบคดี แต่ในความเป็นจริงแค่เซี่ยเชียนอยู่เบื้องหน้าของหลินเหราและเหยาเฉา คุยกันได้ไม่กี่ประโยค ก็ถูกจักรพรรดิทรงเรียกไปด้วยเหตุผลหลายประการแล้ว
ทำให้หลินเหราและเหยาเฉาที่อยากจะถามบางสิ่ง ต้องฝากขันทีน้อยที่อยู่ข้างกายไปถามแทน
ครั้นเจอกับคนในจวนเอ่ยถาม เหยาเฉาก็ได้แต่พูดอย่างจนใจ “หลายวันนี้หัวหน้าเซี่ยของพวกเจ้าอยู่ในวังตลอด รักษาความปลอดภัยของฝ่าบาท ถ้าเจ้าอยากเจอเขา เกรงว่าต้องไปยังห้องบรรทมของฝ่าบาทแล้วล่ะ”
ใบหน้าของฝูฉวีไม่เปลี่ยนแปลง แต่ฝ่ามือกลับค่อย ๆ กุมมือแน่นขึ้น
นางหยุดชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นก็พูดกับทั้งสองคนว่า “เช่นนี้ ข้าน้อยขอตัวไปหานายท่านก่อน ไม่รบกวนการตรวจสอบคดีของคุณชายทั้งสองแล้วเจ้าค่ะ”
เหยาเฉาและหลินเหราพากันพยักหน้า จากนั้นก็ยืนส่งนางจากไป
หลังจากที่ฝูฉวีจากไปแล้ว เหยาเฉาก็หาวหวอดออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ ดวงตาดุจดอกท้อที่เดิมทีแฝงไปด้วยความอ่อนโยนรื้นไปด้วยหยาดน้ำตาเล็กน้อย สีหน้าแห่งความเหนื่อยล้าได้แสดงออกมาอย่างไม่อาจปิดบัง
เขาตบห่อผ้าที่อยู่บนมือ พลางเอ่ยถามอย่างเกียจคร้านว่า “อาเหรา เจ้าคิดว่ากลอุบายของหัวหน้าเซี่ย จะเป็นการกระตุกหนวดเสือหรือไม่?”
หลินเหรามองไปทางเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยเสียงเบาว่า “พี่รอง เรายังอยู่ในวัง ระวังคำพูดด้วย”
เหยาเฉาควบคุมตนเองไม่ได้ หาวอีกหนึ่งหวอด “ไม่เคยมีใครเจอเรื่องนี้มาก่อน อีกอย่างหลายวันมานี้เราก็แทบจะพลิกหาเบาะแสทั่วทั้งวังหลังแล้ว คดีเก่าล้วนแต่ถูกเปิดเผยออกมา…ถ้าบอกว่าไม่ใช่ลายมือของหัวหน้าเซี่ย ข้าก็ไม่เชื่อหรอก ใช้คนเหมือนวัวเหมือนม้า จะไม่อนุญาตให้คนอื่นบ่นสักหน่อยหรือ?”
หลินเหราไม่พูดสิ่งใด แต่ก็ไม่ได้โต้แย้งความหมายของเหยาเฉา
วันนั้นเซี่ยเชียนรับปากแล้วว่าจะช่วยจักรพรรดิพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของวังหลัง ยืมมือของทั้งสองคนเปิดโปงเรื่องชั่วช้าออกมา นี่เป็นเพียงขั้นตอนแรก
บัดนี้ฝูฉวีเข้าวังแล้ว ถือว่าเป็นหมากตัวที่สองของเซี่ยเชียน
หลินเหราและเหยาเฉาล้วนเฉลียวฉลาด หลังจากพูดคุยกับฝูฉวีได้เพียงไม่กี่ประโยค ก็เข้าใจความในใจของแม่นางผู้นี้และเข้าใจความหมายของเซี่ยเชียน
วันนี้ที่นางเข้าวังได้นั้นเป็นเพราะได้รับอนุญาตจากวังหลัง เพียงแต่ไม่รู้ว่าจักรพรรดิจะยอมรับอีกคนเข้าไปในวังหลังหรือไม่ และอยู่ในตำแหน่งอะไร?
หลินเหราพูดกับเหยาเฉาเสียงแผ่ว “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าการเข้าเฝ้าฝ่าบาทในครานี้ จะเกี่ยวข้องกับเรื่องราวมากมายเช่นนี้จนต้องลากพี่รองเข้ามาวุ่นวายไปด้วย”
เหยาเฉาส่ายหน้าและพูดว่า “หัวหน้าเซี่ยเป็นน้าของเจ้า เจ้าและข้าก็มีความสัมพันธ์กัน ในเมื่อเจ้าและข้าเดินทางเข้าเมืองหลวง เราสามคนจะไม่มีทางลงจากเรือเด็ดขาด”
หลินเหราขมวดคิ้วแน่นขึ้น จนกระทั่งผ่านไปเนิ่นนาน จึงเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งว่า “เขา…เดิมทีไม่ใช่แบบนี้ และไม่ควรทำเช่นนี้ด้วย”
เหยาเฉาปรายตามองหลินเหรา น้อยนักที่จะได้เห็นสีหน้าที่แสดงออกถึงความหม่นหมองใจ จึงอดยิ้มและพูดปลอบใจไม่ได้ “อาเหรา ปกติแล้วก็เห็นเจ้าตัดสินใจอย่างเด็ดขาดมาตลอด เหตุใดในยามที่เกี่ยวพันถึงคนรอบข้าง ถึงได้พะว้าพะวงมากเพียงนี้?”
ครั้นเห็นเขาเงียบไม่พูดไม่จา เหยาเฉาจึงยกแขนพาดไปบนไหล่ข้างขวาของหลินเหรา ร่างกายครึ่งท่อนแนบชิดติดกับเขา พลางพูดด้วยท่าทางเกียจคร้านว่า “หัวหน้าเซี่ยมักจะเฉยชา บัดนี้เริ่มแทรกแซงเข้าไปในวังหลัง ซึ่งต้องได้รับความยินยอมจากฝ่าบาทแล้วแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ใช่เขาที่ลงมือเอง อาเหราไม่ต้องกังวลมากขนาดนั้น”
หลินเหราส่ายหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจะต้องออกนอกกรอบ”
ในอดีตราชวงศ์ไม่ควรแทรกแซงวังหลัง แต่บัดนี้เซี่ยเชียนได้เข้ามาแทรกแซงแล้ว ทั้งยังกล้าผลักดันคนของจวนเซี่ยเข้าไปในวังหลังอีกด้วย เช่นนี้จึงถือว่าผิดกฎ ไม่แน่อาจจะถูกขุนนางชั้นศาลโจมตีทั้งการกระทำและวาจาก็ได้
ยิ่งไปกว่านั้นเซี่ยเชียนก็เป็นขุนนางอิสระ จะเป็นหรือจะตายก็ขึ้นอยู่กับพระประสงค์ขององค์จักรพรรดิ
เขาจะรับประกันได้อย่างไรว่าในอนาคตความเชื่อใจที่องค์จักรพรรดิมีต่อเขาจะไม่ถูกขัดขวางเพราะการขยายอำนาจของเขาในสักวัน?
ถึงตอนนั้นเขาจะจัดการตัวเองได้อย่างไร?
เหยาเฉายืนตัวตรง รอยยิ้มที่กระตุกขึ้นเล็กน้อยได้หุบลงอย่างช้า ๆ มองหลินเหราและพูดอย่างจริงจังว่า “หัวหน้าเซี่ยกล้าเดินมาถึงขนาดนี้ ย่อมต้องเดิมพันด้วยชีวิตของตัวเอง เขานำอำนาจ ครอบครัว ชีวิตทั้งหมดแขวนไว้บนเชือกที่ละเอียดอ่อนเส้นหนึ่ง เขาตั้งใจทำเช่นนี้”
หลินเหราขมวดคิ้ว และพูดอย่างไม่เข้าใจว่า “เหตุใดเขาถึงทำเช่นนี้?”
เหยาเฉาส่ายหน้า “คนที่ปีนป่ายขึ้นที่สูง หากไม่ใช่เพื่ออำนาจ แล้วจะเพื่ออะไร? เพียงแต่ก็ไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะทรงเข้าใจวิธีการที่แสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อบ้านเมืองของหัวหน้าเซี่ยหรือไม่”
เซี่ยเชียนต้องการปกป้องคุ้มครององค์จักรพรรดิอย่างรอบคอบที่สุด ย่อมจำเป็นต้องใช้อำนาจ
แต่เขาไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นปัจจัยที่ไม่มั่นคงซึ่งเป็นตัวทำลายความปลอดภัยขององค์จักรพรรดิ จึงให้ชีวิตของเขาขึ้นอยู่กับพระประสงค์ขององค์จักรพรรดิ
หลินเหรารู้นิสัยของเซี่ยเชียนดี หลังจากครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้ว เขาก็เข้าใจ
เขาขมวดคิ้ว เงามืดได้ครอบงำจิตใจ พลางพูดด้วยเสียงเคร่งเครียด “ข้างเตียงนอนของตัวเอง จะให้ผู้อื่นมามานอนได้อย่างไร[1]? นับประสาอะไรกับมือที่ยื่นไปถึงข้างกายของฝ่าบาท เช่นนี้ เขาคงไม่น่าจะมีจุดจบที่ดีนัก”
เหยาเฉาเห็นเขาเป็นเช่นนี้ จึงคลี่ยิ้มในใจ สีหน้าที่เดิมทีเคร่งขรึมอยู่แล้วก็ค่อย ๆ อ่อนโยนลงอย่างอดไม่ได้
มุมปากเขากระตุกขึ้นเล็กน้อย และขยับเข้าใกล้หลินเหราอีกครั้ง ก่อนจะหาววอด และพูดเสียงเบาว่า “ข้าว่านะอาเหรา เจ้าเองก็อยู่กับอาซูมาเนิ่นนานแล้ว คงจะติดนิสัยอ่อนโยนและใจดีมาจากนางไม่น้อยสิท่า?”
หลินเหราขานเรียกอย่างจนปัญญา “พี่รอง อาซูไม่ได้อ่อนโยน”
เหยาเฉายิ้ม ไม่ได้สนใจความคิดที่เขามีต่อน้องสาวของตน แล้วเอ่ยถึงหัวข้อเมื่อครู่ “ถ้าเจ้าเป็นห่วงความปลอดภัยของหัวหน้าเซี่ย วันข้างหน้าก็ต้องปีนป่ายขึ้นมายังตำแหน่งที่ผู้อื่นไม่กล้าแตะต้องสิ ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะเป็นการโจมตีของเหล่าขุนนางจากราชสำนัก หรือการลงโทษจากขุนนางที่ยากจะคาดเดา ย่อมขัดขวางให้หัวหน้าเซี่ยได้ไม่ใช่หรือ?”
คิ้วรูปดาบที่ขับให้ดูหล่อเหลาคู่นั้นยังคงขมวดกันไม่มีทีท่าว่าจะคลายออก ก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “พี่รองพูดถูก เพียงแต่…”
เหยาเฉาตัดบทเขาทันที “ไม่มีคำว่าแต่ อาเหราเจ้าเคยผ่านสมรภูมิรบมาแล้ว มีทักษะบู๊ยอดเยี่ยม ชีวิตของคนต่างเผ่าที่อยู่ในมือมีไม่ถึงหนึ่งพันแต่ก็มีถึงห้าร้อยคนเชียวนะ? ราชสำนักคือสนามรบ ถ้าเจ้าไม่ตาย ข้าก็ต้องตาย หัวหน้าเซี่ยกล้าส่งคนนอกเข้าวังหลัง มีเพียงจิ้งเฟยและตระกูลของใต้เท้าจ้าวเท่านั้นที่ไม่มีใครตอบรับ ถึงตอนนั้นต่างฝ่ายต่างพยายามหลอกลวงซึ่งกันและกัน ทั้งหมดล้วนเป็นความสามารถของแต่ละคน”
ได้ยินประโยคนี้ หลินเหราก็เงียบไป
การสังหารศัตรูในสนามรบวันนั้น เขาเคยมีความลังเลบ้างหรือไม่?
ถ้าดาบในมือไม่ได้ฟันลงไป เขาจะมีชีวิตอย่างเช่นวันนี้ไหม?
ความเคร่งขรึมบนใบหน้าของเขาค่อย ๆ อ่อนโยนลง การได้ค้นพบกับลายเส้นที่บ่งบอกถึงความเด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่น และเพราะคำพูดของเหยาเฉา เสมือนกับดาบที่กำลังหลุดออกจากฝัก มันทั้งอันตรายและเย็นยะเยือก
ผ่านไปไม่นาน เขาจึงพูดด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “คำพูดของพี่รองในวันนี้ ข้าจะจำไว้ขึ้นใจ”
เมื่อเหยาเฉาเห็นเขาไม่ได้ลังเลอีกต่อไป จึงตบไปบนบ่าของหลินเหรา และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เช่นนี้ก็ดี รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันเถอะ หลุมที่ท่านน้าผู้แสนดีของเจ้าขุดให้แก่เรา ยังต้องถมดินในขั้นตอนสุดท้าย…”
หลินเหรารับชุดคลุมยาวสีน้ำเงินเข้มมาจากมือของเขา และเดินเข้าไปในห้อง
เหยาเฉายังยืนอยู่ที่เดิม รอยยิ้มบนใบหน้าได้หุบลง เหลือไว้แต่ความเหนื่อยล้า
คำพูดแม้จะเบาหวิว แต่ก็ยังยืนด้วยส้นเท้าที่มั่นคง โดยที่ไม่รู้ว่าจะได้ผลประโยชน์จากผู้ใด และไม่รู้ว่าจะมีคลื่นพายุแบบไหนถาโถมเข้ามา
เหยาเฉายืนอยู่ที่เดิม พร้อมกับนวดขมับ ปากก็ยังบ่นพึมพำไม่หยุด “ช่างเถอะ ๆ จะไปทำอะไรที่มันไกลเกินตัวทำไม ทำเรื่องในวันนี้ให้เสร็จก่อน แก้ไขปัญหาตรงหน้าให้ได้ก็พอ…”
ชายหนุ่มหมุนตัวเข้าไปอีกห้องหนึ่ง พลางครุ่นคิดถึงการกำจัดความสกปรกโสมมที่ตรวจสอบได้ในช่วงสองสามวันนี้ให้สะอาดเกลี้ยงได้อย่างไรในใจ….
………………………………………………………………………………………………………
[1] ข้างเตียงนอนของตัวเอง จะให้ผู้อื่นมามานอนได้อย่างไร อุปมาว่า ไม่ให้คนอื่นเข้ามารุกรานอาณาเขตผลประโยชน์ของตัวเอง
สารจากผู้แปล
ในความเห็นผู้แปลมองว่าฝ่าบาทคงอยากปกป้องเซี่ยเชียนแหละค่ะ ถึงรั้งตัวไว้ให้อยู่ข้างกายขนาดนั้น
คิดไปคิดมาแล้วก็ โฮรรรรร เรือลำนี้แล่นแรงเหลือเกิน จากเรือผีจะอัพเกรดเป็นเรือสำราญแล้ว
ไหหม่า(海馬)