บทที่ 275 ทำไมถึงรู้สึกไม่ชอบมาพากลกับคำพูดนี้!
บทที่ 275 ทำไมถึงรู้สึกไม่ชอบมาพากลกับคำพูดนี้!
เมื่อทั้งสองคนเข้ามาในห้อง หลินเหราได้ยืนวางมาดโดยสัญชาตญาณ แม้ในใจเป็นรู้สึกเป็นกังวล แต่องค์ประกอบทั้งห้าบนใบหน้ายังคงฉายแววจริงจัง รอให้เหยาซูเอ่ยปาก
นางชำเลืองมองหลินเหราแวบหนึ่งและเห็นท่าทางเหมือนไม่คิดอะไรของเขา เมื่อนึกถึงอนาคตของลูกก็ยิ่งปวดหัว “วันนี้ท่านทำเกินไปนะ…”
ไม่ง่ายเลยที่จะได้อยู่ในห้องกับนางเพียงลำพัง อากัปกิริยาที่รุนแรงเมื่อครู่ของเหยาซูได้อ่อนโยนลง จึงทำให้หลินเหราโล่งใจอย่างมาก ลูกกระเดือกที่ดูน่าหลงใหลนั้นขยับเล็กน้อย ตั้งใจจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยเสียก่อน อดกลั้นไม่ให้กระทำบุ่มบ่ามพุ่งตัวออกไป เขาอธิบายว่า “อาจื้อทำได้ไม่ดีพอจริง ๆ ข้าก็แค่แก้ไขความผิดพลาดของเขา”
เหยาซูพูดด้วยความขุ่นเคือง “ท่านแก้ไขความผิดพลาดเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่จะทำต่อหน้าคนมากมายเหล่านั้นไม่ได้ มันทำลายความสุขของลูก ยิ่งไปกว่านั้นลูกยังเด็ก เขาช่วยผู้อื่นด้วยความหวังดี”
เด็กมักจะมองโลกในแง่ดี ไม่มีทางเจริญรอยตามดั่งอดีตชาติแน่นอน
หลินเหราไม่เข้าใจความขุ่นเคืองของภรรยา “เขียนจดหมายแทนผู้อื่น ก็ในจดหมายนั้นมันไม่ถูกต้อง เหตุใดจะพูดไม่ได้?”
และเพราะยังเด็กนี่แหละ ตราบใดที่เขาทำไม่ดี ก็ต้องพูดออกไปตรง ๆ
ชายหนุ่มไม่รู้สึกว่ามันจะเป็นปัญหาแต่อย่างใด มีคนบอกจะยิ่งทำให้เติบโตมากขึ้น และรู้ความผิดพลาดของตัวเอง
เมื่อเห็นชายหนุ่มแสดงแววตาที่ไม่เข้าใจออกมาจากนัยน์ตาที่ลึกล้ำยากหยั่งถึงคู่นั้น เหยาซูก็ได้แต่ปวดหัว
ไม่เพียงแต่พวกเขาจะบาดหมางกันเรื่องการมีตัวตนของตู้เหิงแล้วเท่านั้น วิธีการอบรมสั่งสอนลูกทั้งสามคน ก็ยังมีความเห็นที่ต่างกันไม่น้อย
การเติบโตของเด็ก ๆ ไม่ใช่เรื่องของนางเพียงคนเดียว มีหลายครั้งที่การกระทำของคนเป็นพ่อไม่สามารถถูกมองข้ามได้
นางเปลี่ยนความคิด เอ่ยเปรียบเทียบให้เขา “ท่านคิดดูสิ หากวันนี้เป็นข้าที่ตั้งใจเขียนจดหมายแทนคนอื่น แต่ตัวอักษรโย้เย้บิดเบี้ยวไม่เป็นระเบียบ… ท่านจะประเมินในสิ่งที่ข้าทำไม่ดีต่อหน้าทุกคนหรือไม่?”
หลินเหราส่ายหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่แน่นอน”
เหยาซูพยายามพูดโน้มน้าว “ในเมื่อท่านไม่มีทางตำหนิข้าเช่นนี้ แล้วเหตุใดเมื่อเป็นลูก ถึงกระทำได้ลงคอเล่า?”
คิ้วหนาของหลินเหราได้ขมวดเข้าหากันแน่น ยากนักที่จะถูกนางถามจนไม่รู้จะพูดอย่างไร ทำให้เหยาซูเห็นแล้วได้แต่จนปัญญาและขบขัน
เขามักเป็นเช่นนี้เสมอ ทุกครั้งที่ทำเรื่องให้ผู้อื่นไม่สบายใจก็มักจะใช้ท่าทีไร้เดียงสาเช่นนี้เผชิญหน้ากับทุกคน
เหยาซูจะกล้าระเบิดเพลิงโทสะที่อยู่ในใจใส่เขาได้อย่างไร
ชายหนุ่มหยุดชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดอย่างจริงจังว่า “อาซูเจ้านั้นแสนดี แม้จะเขียนแย่ แต่ก็ยังดีอยู่ไม่น้อย”
เหยาซูตกตะลึงกับการหักหัวกลับของหลินเหรา ทำให้อับจนคำพูดไปชั่วขณะ
เดิมทีที่เขาบอกว่าจะไม่ตำหนินางนั้น กลายเป็นว่านางดีหมดทุกด้าน…
ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดหลินเหราผู้เฉลียวดฉลาดถึงได้เห็นตนอยู่ในสายตาตลอด
นางเอ่ยอย่างปวดหัวว่า “ไม่ใช่เพราะข้าดีหรือไม่ดีหรอก…ท่านลองคิดเสียหน่อย ถ้าข้าทำเรื่องที่ทำให้ท่านรู้สึกไม่ดี ท่านจะทำให้ข้าลำบากใจต่อหน้าทุกคนหรือไม่?”
หลินเหรายังคงส่ายหน้า ในที่สุดคราวนี้ก็รู้แจ้งกับความคิดของเหยาซู “ไม่มีทาง”
นางพูดต่อว่า “ท่านไม่ทำเช่นนี้ เพราะท่านรู้ว่าข้าต้องไม่สบายใจแน่นอน ลำบากใจแน่นอน ซึ่งต้าเป่าก็เหมือนกัน เขาเพิ่งจะอายุได้แค่แปดขวบ ยากจะคุมอารมณ์ของตัวเองได้”
ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าเหยาซูกำลังจะพูดสิ่งใด จึงส่ายหน้าและพูดว่า “อาซู เจ้าให้ท้ายเขาเกินไปแล้ว”
เหยาซูขมวดคิ้ว “ให้ท้ายอย่างไรไม่ทราบ?”
ในสายตาของคนยุคสมัยปัจจุบัน การดูแลความเชื่อมั่นของเด็ก เป็นเรื่องที่พ่อแม่ควรให้ความใส่ใจ แต่หลินเหรากลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น
ชายหนุ่มไม่เคยขบคิดว่าควรต้องเลี้ยงลูกอย่างไร แต่ถ้าเหยาซูอยากคุยเรื่องนี้กับตนเอง เขาเองก็จะพูดเหตุผลของตัวเองเช่นกัน
เขาพูดอย่างจริงจังว่า “เรื่องในวันนี้ อาจื้อประมาทเลินเล่อ”
เหยาซูเข้าใจว่าเขาที่เขาพูดนั้นหมายถึงเรื่องที่เด็กน้อยเขียนจดหมายแทนคนอื่นอยู่ในลานบ้าน จึงพยายามอธิบายแทนอาจื้ออย่างอดไม่ได้ “เขายังเด็ก จึงมีความคิดฟุ้งเฟ้อเป็นเรื่องปกติ”
หลินเหรากลับส่ายหน้า “สุภาพบุรุษไม่ควรหยิ่งยโส อยากแสดงความสำเร็จต่อหน้าทุกคน ให้ทุกคนพูดประจบเอาใจ นี่ไม่ใช่วิถีแห่งสุภาพบุรุษ”
เหยาซูเกิดความขุ่นเคืองในใจ อาจื้อเป็นลูกชายของเขา เหตุใดเขาถึงได้พูดถึงลูกตัวเองเช่นนี้?
ยิ่งไปกว่านั้น อาจื้อก็ยังเด็ก ทำทุกสิ่งด้วยความตั้งใจ
วันนี้แค่นึกอยากเขียนจดหมายส่งกลับบ้านแทนทุกคนในจวน ไฉนเลยจะต้องให้ทุกคนพูดเอาใจด้วย?
คิดได้ถึงตรงนี้ เหยาซูจึงโพล่งออกมา ยิงคำถามใส่ราวกับลูกกระสุน “ต้าเป่าเริ่มรู้หนังสือมานานเพียงใด? อ่านหนังสือเพิ่งจะเท่าไหร่เอง? เขาเฉลียวฉลาดและกระตือรือร้นจะเรียนรู้ด้วยตนเองถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงจะถูกผู้อื่นชมไม่ได้? จากที่ท่านพูด สุภาพบุรุษน่าจะเหมือนหินก้อนหนึ่งมากกว่ากระมัง ที่ใครก็รู้ถึงความดีของเขาไม่ได้!”
หลินเหราเห็นนางยิ่งพูดยิ่งมีอารมณ์ ใบหน้าเล็กที่งดงามดุจหยกขาวแดงระเรื่อ ดวงตาดุจดอกท้อที่เปล่งประกายคู่นั้นเต็มไปด้วยความดื้อรั้น ทำให้เขาอับจนปัญญาอย่างช่วยไม่ได้
ครั้นนึกขึ้นได้ว่านางเดินทางมาเมืองหลวงยังไม่ได้พักผ่อน แล้วเมื่อครู่ทั้งสองคนก็ทะเลาะกันรอบหนึ่ง เขาจึงไม่อยากยั่วโมโหและต่อล้อต่อเถียงกับนางอีก
ชายหนุ่มพูดแค่ว่า “เอาละ อาซู ข้าเข้าใจความหมายของเจ้าแล้ว นั่งพักก่อนเถอะ หื้อ?”
เรื่องการอบรมสั่งสอนอาจื้อ พวกเขาสองคนล้วนมีความเห็นที่ต่างกันมาตลอด เพียงแค่ไม่ระเบิดอารมณ์ออกมาก็ดีแล้ว เพราะถ้าถึงจุดนั้นคงไม่มีใครยอมใคร
ครั้นเหยาซูนึกถึงภาพที่เห็นเขาเดินเคียงข้างกับตู้เหิงในวันนี้ จึงไม่อาจข่มไฟโทสะที่อยู่ในใจได้อีกต่อไป
บัดนี้ไม่มีคนนอก นางจึงไม่อยากทนอีก “ข้าไม่เหนื่อย ทำไมจะต้องนั่งพักด้วย? หลายวันที่ข้าไม่อยู่เมืองหลวง ท่านปฏิบัติกับลูกชายของเจ้าเช่นนี้หรือ? ท่านมอบความใกล้ชิดให้แก่สตรีคนอื่นเช่นนี้ใช่หรือไม่?”
หลินเหราไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ ๆ นางถึงดึงตู้เหิงเข้ามาเกี่ยวข้องอีกครั้ง จึงอดขมวดคิ้วแน่นไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ปริปากพูด
เมื่อเหยาซูเห็นท่าทางนี้ของเขา จึงอดทำเย็นชาใส่ไม่ได้ “ทำไม? พูดไม่ออกอย่างนั้นสิ?”
เดิมทีชายหนุ่มมักมีนิสัยเคร่งขรึมอยู่แล้ว เรื่องของอาจื้อ เขาเข้มงวดกับลูกชายมาแต่ไหนแต่ไร เหยาซูเองก็รู้ดี
แต่การดึงตู้เหิงเข้ามาเกี่ยวข้อง เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าจะอธิบายอย่างไร
บทสนทนาระหว่างเขากับตู้เหิงในสองสามวันนี้ คงจะมากสู้สิ่งที่เขาพูดหลังเจอเหยาซูไม่ได้ เหยาซูจะยอมให้เขาและตู้เหิงเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร?
แล้วเขาจะเกี่ยวข้องกับนางได้อย่างไร?
ทั้งสองคนไม่เจอกันนานเพียงนี้ เห็น ๆ อยู่ว่าสามารถนั่งคุยกันได้ สองเรื่องในตอนนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยในสายตาของหลินเหรา แต่มันขวางกั้นพวกเขาไว้ราวกับภูเขาสองลูกใหญ่
หลินเหราปวดหัว “อาซู เจ้าอย่าทำแบบนี้สิ มีอะไรก็ค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จากัน”
เหยาซูรู้สึกเหนื่อยขึ้นทันใด เหมือนกับไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่สามารถพูดกับเขาได้เลย
บางทีพวกเขาอาจจะไม่เหมาะสมกัน
บางทีคนที่เหมาะสมกับหลินเหรา อาจจะเป็นตู้เหิง สตรีที่อยู่ในยุคสมัยนี้โดยกำเนิด
แต่งงานกับสามีก็ต้องเชื่อฟังสามี ไม่ควรประณามถึงพฤติกรรมของสามี และไม่ควรสงสัยถึงวิธีการสอนลูกของสามี
นางมองใบหน้าอันหล่อเหลาที่ยากจะละสายตาของหลินเหรา ในอดีตใบหน้านี้ต่อให้อารมณ์แปรปรวนเพียงใดก็ไม่สามารถดึงจิตใจของนางได้ แต่บัดนี้นางเหนื่อยแล้วจริง ๆ
เหยาซูนั่งลง รินน้ำชาใส่แก้วให้ตัวเอง และดื่มอย่างช้า ๆ
เมื่อหลินเหราเห็นเหยาซูเป็นเช่นนี้ จึงอดพูดปลอบโยนนางด้วยเสียงต่ำไม่ได้ “อาซู … ปัญหาระหว่างเรา มีเวลาที่จะแก้ไขเสมอ อย่าได้ร้อนใจไปเลย”
เหยาซูส่ายหน้า
น้ำชาที่เย็นชืดได้ไหลผ่านลำคอ นัยน์ตาของนางค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาอย่างช้า ๆ
เหยาซูเงยหน้า และพูดกับหลินเหราว่า “สองสามวันนี้เราสงบจิตสงบใจกันและกันก่อน ข้าจะพาเด็ก ๆ ไปอยู่ข้างนอก”
หลินเหราขมวดคิ้ว “ไม่ได้”
เหยาซูจึงอดหัวเราะไม่ได้ “ท่านบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้อย่างนั้นสิ?”
หลินเหรารู้ว่าเหยาซูชอบให้ใช้ไม้อ่อน เขาจึงมีท่าทางอ่อนโยนลงและพูดว่า “อาซู อย่าทำแบบนี้ มีปัญหาอะไรเราค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จากันดีไหม?”
จิตใจของเหยาซูสงบลงไม่น้อย จากนั้นก็พูดกับเขาอย่างมีสติปัญญา “ไม่ใช่เพราะคุยกันไม่ได้ จึงต้องสงบจิตสงบใจหรอกหรือ?”
หลินเหราสังเกตเห็นความห่างเหินของนาง หากแต่กลับไม่เข้าใจว่าทำไม
ชายหนุ่มผู้เชี่ยวด้านทหารและกล้าหาญชาญชัยในสนามรบ ไม่ว่าจะเป็นโจรภูเขาที่โหดร้ายเพียงใด หรือจัดการคดีที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนในวัง ล้วนเป็นระเบียบชัดเจน และง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเหยาซูเพียงลำพัง เขากลับหมดหนทางกับนาง
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “อาซู ข้าไม่เข้าใจ ในใจของเจ้าไม่พอใจเรื่องอะไร พูดออกมาสิ ข้าเชื่อฟังทุกอย่างไม่ได้หรือ?”
เหยาซูขมวดคิ้ว ทำไมถึงรู้สึกไม่ชอบมาพากลกับคำพูดนี้!
……………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
จะรับมือกับสตรี ควรละทิ้งเหตุผลของตัวเองไว้บ้าง และโอนอ่อนผ่อนตามบ้าง รอให้ใจเย็นลงแล้วค่อยมาคุยนะคะ แข็งทื่อเป็นท่อนไม้แบบนี้ก็ไม่จบง่าย ๆ หรอกค่ะ
ไหหม่า(海馬)