บทที่ 338 เอ้อหลางที่ชาญฉลาด
บทที่ 338 เอ้อหลางที่ชาญฉลาด
เหยาซูส่ายศีรษะ แล้วกล่าวว่า “พูดขึ้นมาก็ช่างละอายใจนัก พวกเรายังไม่ได้พบกันเลย…”
หญิงสาวยิ้มยิงฟันขาว ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “วันนี้ข้าจะเขียนจดหมายถึงเขา ให้อวี๋จือมาเป็นแขกของบ้านเราก่อน เรื่องร้านอาหารล้วนเป็นเรื่องรอง มาดูกันว่าเจ้าหนุ่มน้อยอวี๋เป็นอย่างไรบ้างในเมืองหลวง”
พี่สะใภ้รองยิ้มแล้วกล่าวขึ้นว่า “เป็นเช่นนี้นี่เอง”
เหยาซูเขียนจดหมายถึงอวี๋จือ และก็ได้รับจดหมายตอบกลับมาในวันเดียวกัน
ทุกวันนี้ชายหนุ่มอยู่ตัวคนเดียวในเมืองหลวง กินนอนที่สำนักบัณทิตฮั่นหลิน ในทุก ๆ วันนอกจากต้องเรียบเรียงและตรวจสอบหนังสือประวัติศาสตร์แล้ว ในเวลาว่างก็จะอ่านหนังสือ ถือได้ว่าใช้ชีวิตได้อย่างผ่อนคลาย
เมื่อได้รับจดหมายเชิญไปเป็นเเขกที่บ้านของเหยาซู อวี๋จือเองก็ดีใจเป็นอย่างมากแล้วยังกล่าวกับสหายร่วมงานที่อยู่ข้าง ๆ “ข้าเองก็มีสหายอยู่เมืองหลวง พวกเจ้าจะได้ไม่หัวเราะเยาะเรื่องที่ข้าไปกินข้าวคนเดียวอีกแล้ว”
ชายหนุ่มอายุยังน้อย และไม่ใช่คนที่มีความคิดลึกซึ้ง นอกจากนี้คนส่วนใหญ่ที่ทำงานที่สำนักบัณทิตฮั่นหลินต่างก็เป็นคนที่รักและชื่นชอบในการอ่านหนังสือ เเละคดโกงน้อยกว่าคนในราชสำนักเป็นอย่างมาก
สหายร่วมงานได้ยินอวี๋จือกล่าวเช่นนี้จึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ชื่อเสียงของเจ้าคงจะไม่ถูกเอาไปกล่าวถึงแบบซี้ซั้วหรอกกระมัง ครั้งที่แล้วที่ไปร้านอาหารร้านนั้น พอได้รับรู้ตัวตนของเจ้าก็เกาะเจ้าไว้ไม่ปล่อย เรื่องรู้ไปถึงคนทั้งเมืองว่าจอหงวนอันดับที่หนึ่งชอบอาหารซูโจวของร้านพวกเขา….”
อวี๋จือเองก็ทำอะไรไม่ได้จึงต้องปล่อยให้เลยตามเลย ชายหนุ่มส่ายหัวแล้วถอนหายใจ
บัณฑิตต้องไม่กล่าวว่าร้ายถึงผู้อื่น แต่เรื่องนี้สร้างปัญหามากมายให้กับเขา และอวี๋จือเองก็รู้สึกไม่พอใจกับอีกฝ่าย
ชายหนุ่มกลับกล่าวกับสหายว่า “ทำกิจการร้านอาหารไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องเข้าใจที่จะคิดวิธีการหากลวิธีต่าง ๆ”
สหายคนนั้นหัวเราะขึ้นแล้วกล่าวว่า “ได้เป็นสหายกับอวี๋จือช่างสะดวกสบายจริง ๆ ไม่จำเป็นต้องระเเวดระวังสิ่งใด”
คนในห้องได้ยินชายหนุ่มกล่าวเช่นนั้นก็ล้วนยิ้มแล้วพยักหน้า
พอถึงเวลาเย็น อวี๋จือเดินทางไปบ้านของเหยาซูที่ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของเมือง โชคดีที่สถานที่นั้นไม่ได้หายาก ชายหนุ่มจึงพบมันได้อย่างง่ายดาย
ขณะยังก้าวไปไม่ถึงบริเวณหน้าบ้าน ชายหนุ่มพลันได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากข้างหลัง “น้องอวี๋!”
อวี๋จือหันหลังกลับไป ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความประหลาดใจ “พี่รองเหยา”
เหยาเฉาเลิกงานแล้วก็รีบกลับมา จึงยังคงสวมชุดขุนนางในวังอยู่ เขาเดินมาถึงบริเวณด้านหน้าของอวี๋จือและตบไหล่ชายหนุ่ม ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “หลายเดือนที่ไม่ได้พบกัน ไยเจ้าจึงดูสูงขึ้นมานิดหน่อยเล่า”
อวี๋จือยิ้มเอียงอาย “พี่รองอย่าล้อข้าเล่นเลยขอรับ…สูงขึ้นนิดหน่อยมันก็เเค่นิดหน่อย มองไม่ออกหรอก”
เหยาเฉาโอบไหล่ชายหนุ่มและพาเขาเดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ทำไมจะมองไม่ออกเล่า ข้าดูออกว่าร่างกายของเจ้าจะสูงได้อีก ควรเตรียมเสื้อผ้าใหม่ให้พร้อม อีกไม่กี่เดือนประเดี๋ยวเจ้าก็จะพบว่าเหตุใดเสื้อผ้าของเจ้าถึงดูสั้นลง พอถึงเวลานั้นก็คงตระเตรียมไม่ทันการ”
หลายเดือนมานี้ในเวลาว่าง อวี๋จือก็มักจะติดต่อกับสหายร่วมงานที่สำนักบัณทิตฮั่นหลิน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นนักปราชญ์ หัวข้อในการสนทนาก็เป็นเรื่องประวัติศาสตร์ บทกวี เวลาที่ชายหนุ่มสนทนากับเหยาเฉาเช่นนี้ ดูราวกับว่าจู่ ๆ เขาก็กลับมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง
ในเวลานั้นชายหนุ่มเองกลับมีความรู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคยเล็กน้อย
แต่เมื่อเป็นการดูแลเอาใจใส่จากเหยาเฉา อวี๋จือก็ยังคงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “สิ่งที่พี่รองบอก ข้าจดจำไว้หมดเเล้ว”
เหยาเฉายิ้มแล้วกล่าวขึ้น “เจ้านี้เชื่อฟังดีจริง ๆ ไม่น่าแปลกใจเลยที่เหยาซูจะปฏิบัติต่อเจ้าเฉกเช่นน้องชาย”
อวี๋จือเดินตามเหยาเฉาเข้าลานบ้านไปพลางถามขึ้นมาว่า “ช่วงนี้แม่นางเหยาและพี่ใหญ่หลินเป็นเช่นไรบ้าง แล้วพี่รองเล่ายุ่งหรือไม่ ได้ยินมาว่าอาจื้อไปเรียนหนังสือกับใต้เท้าเซี่ยงั้นหรือ”
เหยาเฉาเห็นชายหนุ่มถามคำถามมากมาย ก็อดที่จะหัวเราะออกไม่ได้ “เจ้าถามออกมามากมายเช่นนี้ เกรงว่าข้าคงจะต้องคุยกับเจ้าไปถึงดึกดื่น และคนอื่น ๆ ก็คงไม่รู้ว่าจะพูดคุยอะไรกับเจ้าแล้ว รีบเข้าไปเถอะ พอถึงเวลาอาหารเย็นพวกเราค่อยพูดคุยกันให้ละเอียดกว่านี้”
อวี๋จือได้ยินเช่นนั้น ก็คิดว่าคำพูดของพี่รองนั้นมีเหตุผลจึงยิ้มเเล้วพยักหน้า
ทั้งคู่เดินมาถึงลานบ้านหลัก ขายหนุ่มยังไม่ทันจะหยุดเดิน ก็ได้ยินเสียงร้องของเด็กสาวตัวน้อย “ท่านพี่อวี๋”
เมื่ออวี๋จือเหลือบไปมอง ก็เห็นอาซือที่วิ่งมาราวกับว่าเป็นผีเสื้อตัวน้อยบินตรงมาหาเขา
สาวน้อยใช้สองมือกอดเอวเด็กหนุ่มไว้แล้วกล่าวขึ้นอย่างดีใจ “พี่อวี๋ท่านมาแล้ว”
อวี๋จือเอื้อมมือไปเปรียบเทียบความสูงของอาซือแล้วกล่าวขึ้นว่า “ไม่ได้พบกันตั้งหลายเดือน อาซือสูงขึ้นแล้ว”
เหยาเฉาที่ยืนอยู่อีกฝั่งก็หัวเราะออกมา
ปรากฏว่าเมื่อคนที่อายุมากกว่าพบกับคนที่อายุน้อยกว่า ก็มันจะใช้คำถามของผู้ใหญ่ที่ชอบถามถึงความสูงเช่นนี้ อวี๋จือก็เรียนรู้สิ่งนี้มาเช่นกัน
อย่างไรก็ตามเรื่องที่เขาพูดก็เป็นความจริง ร่างกายของอาซือก็สูงขึ้นอย่างช้า ๆ ไม่ได้พบกันเพียงแค่ไม่กี่เดือน ก็นับว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด
เด็กน้อยดึงมือของอวี๋จือเข้าไปในห้องอย่างมีความสุข พลางกล่าวขึ้นว่า “ข้าสูงขึ้นแล้ว ท่านแม่ก็กล่าวแบบนี้ ข้าจะพยายามยิ่งขึ้น อีกไม่นานก็จะตามท่านพี่ทันแล้วเจ้าค่ะ”
หลังจากที่ได้ยินสาวน้อยกล่าวเช่นนี้ อวี๋จือก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
เขาไม่ได้พูดความจริงเพื่อทำลายความสุขเล็ก ๆ ของสาวน้อย และกล่าวขึ้นมาว่า “เจ้าต้องกินข้าวให้เยอะ ๆ ออกกำลังบ่อย ๆ วันข้างหน้าจะต้องงามเหมือนแม่นางเหยาแน่นอน”
อาซือดีใจมากจนอดไม่ไหวที่จะโผเข้าหาอวี๋จือและกอดเด็กหนุ่มไว้โดยไม่ปล่อยมือ
เหยาเฉามองไปที่ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของคนสองคนนี้ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าอวี๋จือเป็นที่ชื่นชอบของเด็ก ๆ โดยเฉพาะเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ เช่นอาซือ
เหยาเฉากลับบ้านของตนเพื่อไปเปลี่ยนเสื้อผ้า หลังจากนั้นก็กลับมาลานบ้านหลัก
ท้องฟ้ายังคงสว่าง เนื่องด้วยภารกิจในวังยังไม่เสร็จสิ้น หลินเหราจึงยังปลีกตัวออกมาไม่ได้ เหยาเฟิงก็ออกไปข้างนอก ในบ้านจึงมีเพียงเเค่ผู้หญิงเเละเด็ก ๆ
อวี๋จือนั่งตรงกลางระหว่างทุก ๆ คนและถูกพวกเด็ก ๆ รายล้อมอยู่ อีกทั้งต้องคอยตอบคำถามเหยาซูในเวลาเดียวกัน ช่างเป็นอะไรที่ยุ่งเหยิงไม่น้อย
เหยาเฉาเดินเข้ามาหาเด็กหนุ่มยิ้มแล้วกล่าวว่า “เจ้าหนุ่มน้อยอวี๋จือ เจ้ายังไม่เคยพบกับสะใภ้ใหญ่ของตระกูลเราใช่หรือไม่”
ครั้งที่เขายังอยู่ในบ้านของเหยาเฉา ชายหนุ่มเคยพบเเค่เซียงเวยเท่านั้น
เหยาเฟิงและภรรยาอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลเหยามาตลอดเลยยังไม่เคยติดต่อกับอวี๋จือ
พี่สะใภ้ใหญ่เหยากล่าวอย่างอบอุ่น “ถึงเเม้ว่าจะไม่เคยพบกับน้องอวี๋มาก่อน เเต่ก็ได้ยินจากปากของเหยาซูอยู่บ่อย ๆ วันนี้ได้พบกันเเล้วกลับไม่รู้สึกว่าเป็นคนแปลกหน้าเลย”
อวี๋จือหัวเราะออกมาก่อนที่จะพยักหน้าและกล่าวว่า “พี่สะใภ้ใหญ่พูดได้ถูกต้องขอรับ”
คนทั้งหมดดึงเหยาเฉาให้นั่งลง ทั้งหมดสนทนาดื่มชากันรอให้พวกเหยาเฟิงกลับบ้านมา
อวี๋จือสังเกตได้ว่าอาจื้อไม่ได้อยู่ที่นี่จึงถามขึ้นมาว่า “ต้าเป่ายังไม่กลับมาจากจวนตระกูลเซี่ยหรือขอรับ”
เหยาซูพยักหน้า “ใช่เเล้ว พวกเจ้าที่เป็นบัณฑิตก็คงจะไม่ง่ายเลย คงจะเหน็ดเหนื่อยกันมากที่ต้องตื่นเเต่เช้าและอยู่จนดึกดื่น อาจื้อนั้นตั้งเเต่เช้าจรดเย็น ฟ้ายังไม่สว่างก็ออกจากบ้านไปแล้ว พอกลับบ้านมาก็เป็นเวลาอาหารเย็น ช่างยากลำบากจริง ๆ ”
อวี๋จือค่อย ๆ ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ต้าเป่ายังถือว่าดี ตอนนี้เขายังเด็กอยู่ ปัจจุบันต้องสร้างพื้นฐานให้แข็งแรง ในวันข้างหน้าต้องเรียนรูปแบบอักษรแล้ว เกรงว่าจะต้องใช้ความอุตสาหะเป็นอย่างมาก”
เมื่อพูดถึงประเด็นนี้ เหยาเอ้อหลางเองก็มีหัวข้อสนทนาขึ้นมา จึงได้พูดเเทรกมาจากทางด้านข้าง “ท่านพ่อของข้าบอกว่า การวิริยะอุตสาหะมันไม่ยากอะไรขนาดนั้น…”
ก่อนที่เด็กชายจะพูดจบ เขาก็ถูกเหยาเฉาเคาะหน้าผากด้วยพัด ทำให้เกิดเสียงที่ดังฟังชัดเจน
เหยาเอ้อหลางกุมศีรษะของตนแล้วร้องด้วยความเจ็บปวด “ท่านพ่อ!”
ดวงตาดอกท้อทั้งสองข้างของเหยาเฉาเบิกกว้างขึ้นแล้วก็กล่าวขึ้นว่า “ตัวเจ้าไม่ตั้งใจเรียนหนังสือเอง ยังจะมาพูดถึงผู้อื่นเช่นนี้”
เหยาเอ้อหลางมองดูผู้ใหญ่ด้วยสายตาที่ไร้เดียงสา แล้วนึกขึ้นในใจ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ตนกล่าวขึ้นเเต่อย่างใด
ในท้ายที่สุดเหยาต้าหลางก็หัวเราะออกมาไม่หยุด เขาดึงชายเสื้อของเอ้อหลาง “เอ้อหลาง สิ่งที่อารองพูดนั้นก็จริง เเต่ไม่ใช่ความหมายนี้…เขาใช้คำพูดปลอบโยนผู้อื่น เพราะมองว่าเรื่องกังวลในใจข้ามีมากเกินไป ”
เหยาเอ้อหลางขมวดคิ้ว “จะปลอบโยนเจ้าได้อย่างไร ในเมื่อมันใช้ปลอบโยนข้าไม่ได้”
พี่สะใภ้รองรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้า นางรู้ดีว่าเอ้อหลางทนไม้ทนมือมาแต่กำเนิด ไม่ว่าจะเวลาไหนก็สามารถหยอกล้อกับผู้คนได้ตลอด
ตรงกันข้ามกับอวี๋จือที่หัวเราะออกมาแล้วกล่าวกับเหยาเฉา “เอ้อหลางช่างฉลาดนัก”
สีหน้าของเหยาเฉาดูหมดหนทาง เขาอยากจะเคาะลูกชายอีกครั้ง และกล่าวด้วยความปวดหัวว่า “วัน ๆ ก็เอาเเต่เถียง ข้าไม่อยากที่จะเอ่ยปากพูดต่อหน้าเขาเลย”
ทุก ๆ คนล้วนหัวเราะ เเต่เอ้อหลางเป็นคนเดียวที่หน้ามุ่ยและไม่กล่าวอะไรออกมา
……………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เหมือนได้พบคนในครอบครัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา อวี๋จือไม่เหงาแล้ว
จริง ๆ เอ้อหลางก็ฉลาดนะคะ เพียงแต่ฉลาดกับเรื่องที่ไม่ใช่การร่ำเรียนตำราเท่านั้นเอง
ไหหม่า(海馬)