บทที่ 398 ทำไมคุณหนูจึงลืมหลินเหราไม่ได้
บทที่ 398 ทำไมคุณหนูจึงลืมหลินเหราไม่ได้
ระหว่างทางกลับบ้านบนรถม้าของตู้เหิง หญิงสาวยังคงอารมณ์เสียไม่คลาย
ตอนนี้อาซู่ไม่ใช่เด็กสาวตัวเล็กโง่เขลาที่ไม่รู้เรื่องราวเฉกเช่นเมื่อก่อนอีกต่อไป
นางคอยติดตามอยู่ข้างกายตู้เหิง สังเกตการเปลี่ยนแปลงของคุณหนูทีละน้อย คอยเรียนรู้ว่าเวลาไหนควรนิ่งเงียบไม่เอ่ยอะไรออกมา
นายหญิงและสาวใช้ทั้งสองกลับบ้านทั้งอย่างนี้
หลังจากที่ตู้เหิงกลับถึงเรือน หญิงสาวก็สั่งให้คนส่งจดหมายไปที่ตำหนักของเหมิงฉิงอย่างเงียบ ๆ สำหรับเนื้อหาของจดหมายนั้น แม้แต่อาซู่เองก็ยังถูกปิดบังเอาไว้
อาซู่เห็นคุณหนูยื่นจดหมายให้กับเด็กรับใช้ จากนั้นนางก็ขังตนเองไว้ในห้องหนังสือ หญิงสาวรู้ดีว่าเช้านี้นางจะไม่เรียกใช้ตน จึงไปอยู่ในห้องของแม่นม
“แม่นม ท่านอยู่หรือไม่เจ้าคะ?”
ช่วงนี้แม่นมของตู้เหิงเจ็บป่วย นางกลัวจะนำเอาไข้ไปติดคุณหนู จึงไม่ได้ได้อยู่ข้างกายตู้เหิง บางทีก็จะออกมาสูดอากาศที่ลานบ้านบ้าง แต่ส่วนมากจะพักผ่อนอยู่แต่ในห้อง
เมื่อได้ยินเสียงของหญิงสาวดังมาจากหน้าประตู แม่นมจึงกล่าวขึ้น “อาซู่ เข้ามาสิ”
อาซู่ผลักประตูเปิดออก หญิงสาวสูดดมกลิ่นในห้อง พลันขมวดคิ้วขึ้น “แม่นมวันนี้ท่านไม่ได้ดื่มยาหรือเจ้าคะ?”
หญิงชรายิ้ม แล้วดึงอาซู่นั่งลงด้านข้างของตน “ยาขม ๆ นั่นหรือ ดื่มไปก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก สู้ไม่ดื่มยังจะดีเสียกว่า”
อาซู่ที่อยู่ด้านหน้าของแม่นม เผยให้เห็นความไร้เดียงสา เด็กสาวเอ่ยเกลี้ยกล่อม “แม่นมเคยสอนอาซู่ไม่ใช่หรือเจ้าคะ! เมื่อเจ็บป่วยขึ้นมา ใช้เวลานานกว่าจะรักษาหาย ต้องคอยดูแลรักษาให้ดี ๆ จนกว่าอาการจะหาย แม่นมไม่ดื่มยาเช่นนี้แล้วอาการป่วยจะหายไปได้อย่างไร?”
แม่นมที่เฝ้าดูอาซู่เติบโต มองอีกฝ่ายประหนึ่งเป็นบุตรสาวที่ตนเลี้ยงดูมากับมือ เมื่อหญิงชราเห็นเด็กสาวใส่ใจร่างกายของตนเช่นนี้ นางจึงลูบหลังมือของอาซู่เบา ๆ “ข้าจะฟังเจ้า ข้าจะฟังเจ้า อีกสักครู่จะเรียกคนให้ไปต้มยา”
อาซู่ยิ้มออกมาพลางเอ่ยขึ้น “ไม่ต้องรอแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะไปบอกให้พ่อครัวต้มยาประเดี๋ยวนี้เลย”
แม่นมรั้งหญิงสาวไว้ไม่ทัน อาซู่ก็หายวับไปกับตา
เมื่อรอให้หญิงสาวกลับเข้ามานั่งข้าง ๆ แม่นมอีกครั้ง หญิงชราจึงเอ่ยขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าเด็กคนนี้นี่ เมื่อไรนิสัยใจร้อนของเจ้าจะแก้หาย”
อาซู่แลบลิ้นออกมา ไม่ได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใด
แม่นมรู้ว่าตอนเช้าตรู่อาซู่ออกไปข้างนอกกับตู้เหิงมา จึงเอ่ยถามขึ้น “วันนี้คุณหนูเป็นอย่างไรบ้าง อารมณ์ดีไหม?”
ครั้นเมื่อกล่าวถึงตู้เหิง รอยยิ้มบนใบหน้าของอาซู่ก็หายไปอย่างรวดเร็ว ดวงตาที่เป็นประกายทั้งสองข้างได้ซ่อนเงาหม่นหมองเอาไว้
แม่นมเห็นท่าทางของเด็กสาว นางจึงรู้ว่าเรื่องราววันนี้ต้องไม่ราบรื่น จึงได้แต่เพียงลูบปลอบหัวอาซู่
“ช่วงนี้คุณหนูอารมณ์ไม่ค่อยดีมาตลอดไม่ใช่หรือเจ้าคะ? วันนี้ก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย กลับแย่ลงกว่าเดิมด้วยซ้ำ” อาซู่พึมพำ
แม่นมถอดถอนใจ เอ่ยถามขึ้น “ได้ยินมาว่าเป็นเรื่องของร้านขายผ้า เจ้าไปดูพร้อมกับคุณหนูแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง?”
อาซู่ส่ายหัวแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่สู้ดีเลยเจ้าค่ะ ร้านขายผ้าจิ่นชิ่วของพวกเรา ตอนนี้ชื่อเสียงเสื่อมเสียจนลูกค้าไม่เข้าร้านแล้วเจ้าค่ะ”
หญิงสาวเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้กับแม่นมฟังอย่างละเอียด โดยเฉพาะการแสดงท่าทางของคุณหนูที่ร้านขายผ้า แต่หญิงชรากลับค่อย ๆ มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า
หญิงสาวขบริมฝีปาก ก้มหน้าลงและไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ
หญิงสาวรู้ดีว่า ตนในฐานะที่เป็นสาวใช้ของคุณหนูควรคิดหาวิธีต่าง ๆ เพื่อคลายความกังวลของผู้เป็นนาย เพียงแต่ว่าหลายวันมานี้ อาซู่รู้สึกว่าตนนั้นเป็นเพียงแค่เงาที่ไม่มีแม้แต่อารมณ์ความรู้สึก ได้แต่คอยติดตามอยู่ข้างกายคุณหนู
เรื่องนี้ทำให้หญิงสาวรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก ทว่าไม่ได้รู้สึกผิดต่อตู้เหิง แต่เป็นความรู้สึกผิดต่อแม่นม
หญิงสาวเพียงแค่ได้ยินแม่นมถอนหายใจออกมาเท่านั้น หญิงชราเอ่ยกับอาซู่ “เด็กดี ข้าไม่ได้โทษเจ้า”
อาซู่กล่าวพึมพำ “ก่อนหน้านี้ท่านยังบอกอีกว่า ให้ข้าคอยดูคุณหนูตลอดเวลา ให้คอยแนะนำคุณหนู…”
แม่นมยื่นมือออกมาค่อย ๆ ลูบใบหน้าอันอ่อนโยนของอาซู่ หญิงชราส่ายหัวแล้วเอ่ยขึ้น “เมื่อก่อนก็คือเมื่อก่อน ตอนนี้ก็คือตอนนี้ อารมณ์ความรู้สึกของคุณหนูตอนนี้ แม้กระทั่งคำพูดของข้าเองคุณหนูก็ไม่รับฟัง นับประสาอะไรกับเจ้า?”
ปัจจุบันตู้เหิงใช้ชีวิตอยู่ในโลกของนางเอง นางเปิดโรงรับจำนำ เปิดร้านขายผ้า ร่วมมือกับเหมิงฉิง จัดการบ้านเรือนในชนบท มองผิวเผินคล้ายจะทำแต่เรื่องของตนเอง ทว่าเรื่องราวเหล่านี้ดูเหมือนจะมีเงาอยู่เบื้องหลังทั้งหมด
การกระทำ ความคิดทั้งหมดของนาง ล้วนไม่สามารถทิ้งห่างจากเงาพวกนี้ไปได้เลย
อาซู่ไม่ได้โง่เขลา หญิงสาวมองเห็นมาตลอด เพียงแต่นางไม่มีทางที่จะเข้าใจ “แม่นม ท่านว่าเหตุใดคุณหนูจึงไม่สามารถปล่อยคุณชายหลินเหราไปได้ เขาเป็นคนที่มีความสามารถ ต่อให้จะเก่งสักแค่ไหนเขาก็ยังไม่ใช่คนดี เหตุใดคุณหนูจึงไม่เข้าใจสักทีเจ้าคะ?”
แม่นมสบตาอาซู่ “เจ้าล้วนเข้าใจในเหตุผลต่าง ๆ แล้วคุณหนูจะไม่เข้าใจหรือ? เพียงแต่นางยึดติดอยู่กับเรื่องพวกนี้”
ตู้เหิงยังคงขังตัวเองไว้ในห้องหนังสือไม่ให้ใครเข้าใกล้อยู่บ่อย ๆ อาซู่ยังเคยเห็นหญิงสาวเขียนจดหมายให้หลินเหรา
ถึงแม้ว่าจดหมายพวกนั้นเมื่อเขียนเสร็จก็ล้วนถูกเผาจนสิ้น แต่อย่างไรอาซู่ก็ยังไม่เข้าใจ การกระทำเช่นนี้ของคุณหนูมันหมายความว่าอย่างไร
“เรื่องราววุ่นวายในร้านขายผ้า คุณชายหลินก็มีส่วนกับเรื่องนี้….ถ้าหากไม่ใช่เพราะผู้แซ่หลิน คุณหนูก็คงไม่เกลียดแม่นางเหยาได้ถึงเพียงนี้ และก็คงไม่มุ่งเป้าไปที่ร้านขายผ้าเหยาจี้ พวกเราเปิดร้านแล้วทำให้กิจการราบรื่น ทุกอย่างล้วนดีไปหมด ดูตอนนี้สิเจ้าคะ ทุกอย่างกลับวุ่นวายไปหมด”
เมื่อได้ฟังอาซู่ระบายความในใจ แม่นมขมวดคิ้วเอ่ยเตือนว่า “ประโยคนี้ เจ้าอย่าให้คุณหนูได้ยินเชียวนะ”
อาซู่พยักหน้า
ยามนี้ตู้เหิงไม่เหมือนกับเด็กสาวที่โตมาด้วยกันกับอาซู่อีกแล้ว อารมณ์และความรู้สึกของนางยังคงเพ้อฝันอยู่กับหลินเหรา และนางก็ไม่ยินยอมที่จะแบ่งปันให้ผู้อื่นได้รับรู้
อาซู่รู้ดี ถ้าหากว่าคุณหนูมาได้ยินในสิ่งที่ตนกล่าว จะต้องเกลียดตนโดยไร้ซึ่งความลังเลแน่นอน
แม่นมเอ่ยถาม “เรื่องวุ่นวายที่ร้านขายผ้า คุณหนูจัดการอย่างไร?”
อาซู่เอ่ยขึ้นเบา ๆ “คุณหนูให้เวลาเถ้าแก่สิบวัน ถ้าหากว่าภายในสิบวันเขาไม่สามารถจัดการได้ ก็จะถูกไล่ออกเจ้าค่ะ”
หญิงชราและเด็กสาวต่างเงียบงันไปครู่หนึ่ง อาซู่เห็นความผิดหวังและความเหนื่อยล้าภายในส่วนลึกของสายตาแม่นม
หญิงสาวเอ่ยขึ้นเบา ๆ “แม่นม ข้ารู้ว่าข้าควรจะแนะนำคุณหนู…คุณหนูทำเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ไม่สามารถเข้าใจถึงปัญหา กลับยิ่งทำให้เถ้าแก่เสียใจ แต่ข้า…ข้าเพียงแค่ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มพูดอย่างไร…”
แม่นมลูบมืออาซู่และกล่าวขึ้นเบา ๆ “เรื่องนี้ ต่อไปข้าจะพูดเอง เจ้าไม่จำเป็นต้องพูด”
ตอนนี้ตู้เหิงก็เหมือนเม่นที่มีหนามเต็มตัวคอยทิ่มแทงคนรอบข้าง เพียงแต่แม่นมเป็นคนเลี้ยงดูตู้เหิงมาตั้งแต่หญิงสาวยังเด็ก ในตอนที่นางอยู่ต่อหน้าแม่นมนั้น ตู้เหิงก็ยังใส่ใจในความรู้สึกอยู่บ้าง
แต่ไม่เหมือนกับอาซู่ ครั้งก่อนตอนที่เกิดปัญหา อาซู่เตือนตู้เหิงเพียงแค่ไม่กี่ประโยค ก็ถูกตำหนิจนเกือบจะถูกไล่ออกไป
ภายในใจของแม่นม หญิงชราไม่ต้องการให้อาซู่ลำบากใจเวลาที่โดนคุณหนูตำหนิ
ดวงตาอาซู่ที่จ้องมองแม่นมแฝงไปด้วยความกังวลใจเล็กน้อย “แม่นมวางแผนจะแนะนำคุณหนูอย่างไรเจ้าคะ?”
ภายในใจแม่นมมีความไม่มั่นใจ
ถ้าหากจะพูดถึงในครั้งก่อน ๆ ตู้เหิงมีอารมณ์ที่ฉุนเฉียว แต่ก็ปฏิบัติตามกฎที่ถูกกำหนดไว้ ไม่เคยดื้อและประมาทเหมือนเช่นตอนนี้
แม่นมถอนหายใจแล้วกล่าวกับอาซู่เบา ๆ “ด้วยใบหน้าที่แก่ชราของข้า เวลาอยู่ต่อหน้าคุณหนูก็ขอใช้ความอาวุโสกว่ามากล่าวตักเตือนนางอีกสักครั้ง”
สิ้นเสียง หญิงชราก็ยืนลุกขึ้น จัดผมที่แปรเปลี่ยนเป็นสีขาวของตน
ไม่นานยารักษาอาการหวัดของท่านแม่นมก็มาถึง อาซู่ให้หญิงชราดื่มยา อีกทั้งยังจัดเสื้อผ้าของนางให้เรียบร้อย
……………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ทางเดียวที่จะตัดสิ้นทุกอย่าง คือให้หลินเหรามาตะโกนใส่หน้านังตู้ว่า “ข้าชิงชังรังเกียจเจ้ายิ่งนักตู้เหิง ต่อให้ผ่านไปกี่ภพกี่ชาติข้าก็ไม่รักเจ้า” รับรองประโยคเดียวจอด
นังตู้ควรตัดใจจากพี่เหราได้แล้ว เขามูฟออนจากหล่อนตั้งนานแล้ว
ไหหม่า(海馬)