บทที่ 424 เหยาเฉาและเซี่ยเชียนขัดแย้งกัน
บทที่ 424 เหยาเฉาและเซี่ยเชียนขัดแย้งกัน
ทั้งสองคนพูดคุยกัน จนลืมสวีกุ้ยเหรินที่นั่งอยู่เงียบ ๆ อีกด้านไปโดยปริยาย
นางเงียบงันมากเสียจนสร้างความตกพระทัยให้แก่จักรพรรดิ
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงความสบายใจ และความผ่อนคลายในยามที่อยู่ด้วยกันเป็นการส่วนตัว เพียงแค่เอ่ยถึงหมากล้อมในตอนนี้
นายท่านผู้ซึ่งเป็นนักปราชญ์ จะพ่ายแพ้จักรพรรดิได้อย่างไร?
ถ้าบอกว่านายท่านตั้งใจแพ้ สวีกุ้ยเหรินไม่มีทางเชื่อแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่ได้เห็นสงครามบนกระดาน และหัวคิ้วที่ขมวดกันเป็นปมต่อความพ่ายแพ้ของนายท่าน สวีกุ้ยเหรินก็เข้าใจ ทักษะหมากล้อมของจักรพรรดิคงจะพัฒนาขึ้นโดยแท้จริง
กระทั่งได้ยินจักรพรรดิเอ่ยถึงผลลัพธ์ของการรบที่ไร้พ่ายในวัยเยาว์ของตัวเองต่อเซี่ยเชียน หญิงสาวอดมองพระพักตร์ด้านข้างของจักรพรรดิไม่ได้ น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความประหลาดใจอย่างมาก ได้เอ่ยถามขึ้นอย่างแผ่วเบา “ฝ่าบาท ทักษะการเล่นหมากล้อมของฝ่าบาทดีขึ้นเพียงนี้เลยหรือเพคะ?”
จักรพรรดิเพิ่งตระหนักได้ว่ามีอีกคนที่นั่งอยู่ข้างกายตนเอง จึงได้ตรัสแบบขอไปที “อื้อ ก่อนหน้านั้นนายท่านของเจ้าก็มักจะพ่ายแพ้แก่ข้าเสมอ เจ้าว่าทักษะหมากล้อมของข้าดีขึ้นหรือไม่เล่า?”
นัยน์ตาของสวีกุ้ยเหรินเปล่งประกายออกมา
เขาอารมณ์ดีขึ้นอย่างมาก ทั้งยังคิดว่าความหมายเมื่อครู่ของสวีกุ้ยเหรินคืออยากให้ตัวเองสอนนางเล่นหมากล้อมด้วย จึงได้ตรัสด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าต้องเอาเรื่องนี้ออกมาสู้ ถึงจะเอาชนะเซี่ยเชียนได้ เจ้าเบื่ออยู่ไม่ใช่หรือ? ถ้าอยากเรียนรู้การเล่นหมากล้อม วันหน้าที่ข้าแข่งหมากล้อมกับใต้เท้าเซี่ยอีก เจ้าก็มาดูอยู่ข้างกายข้าแล้วกัน”
สวีกุ้ยเหรินดีใจขึ้นทันใด แล้วรีบกล่าวขอบพระทัยในความกรุณาของจักรพรรดิ
จักรพรรดิหันหน้าไปคุยกับเซี่ยเชียนด้วยรอยยิ้ม “ต่อไหม? ให้ข้าออมมือให้เจ้าก็ได้นะ? วัยเด็กก็ออมมือให้ตลอด โตแล้วคงจะเสียหน้าไม่ได้สิท่า”
กระทั่งได้ยินแค่เสียงของเซี่ยเชียนที่ยังคงเย็นชา แต่เนื้อหาที่พูดคุยนั้นกลับทิ่มแทงจิตใจคนฟังเต็ม ๆ “ต่อให้จักรพรรดิเต็มใจออมมือให้จริง ๆ กระหม่อมกลับไม่ยินดีนักพ่ะย่ะค่ะ”
เขายอมรับมิตรภาพในคราวนี้ของจักรพรรดิอย่างใจกว้าง นิ้วมืออันผุดผ่องได้หยิบหมากล้อมเมื่อครู่ขึ้นมา
รอกระทั่งทั้งสองคนเริ่มเล่นกันอีกครั้ง สวีกุ้ยเหรินจึงได้หมุนตัวเล็กน้อย สายตาไปหยุดยังเสี้ยวพระพักตร์ของจักรพรรดิ
แม้ว่าจักรพรรดิจะโตกว่านางไม่น้อย แต่กลับดูอ่อนเยาว์มากทีเดียว ภายใต้สีหน้าจริงจังยิ่งขับให้รู้สึกถึงกลิ่นอายที่โดดเด่น และความสง่าผ่าเผยที่ไม่ธรรมดา
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเปรียบเทียบกับจักรพรรดิองค์ก่อนที่มักจะกำเริบเสิบสานและหวาดระแวง แม้ว่าตอนนี้จะมีอารมณ์ฉุนเฉียวไปบ้าง และมักทำตามอำเภอใจตัวเอง แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังมีความยุติธรรม สุขุมรอบคอบ ทุกสิ่งทุกอย่างที่กระทำล้วนเพื่อความสุขสูงสุดของราษฎรแห่งต้าเยี่ยนทั้งสิ้น
มือของนางจึงยกขึ้นมาประคองท้องน้อยอย่างอดไม่ได้ ในนี้มีบุตรของนางกับพระองค์
เขาจะเป็นจักรพรรดิที่ดี
สวีกุ้ยเหรินคิดในใจ
ถ้าเขายอมปกป้องนายท่านเช่นนี้ไปตลอด คิดเผื่อนายท่านในทุก ๆ ด้าน นางจะอยู่ข้างกายของจักรพรรดิไปตลอดเช่นกัน เพื่อให้กำเนิดองค์รัชทายาท กลายเป็นดาบที่มีประโยชน์สำหรับเขาในตำหนักหลัง
ครั้นเผชิญหน้ากับทั้งสองคนที่กำลังแข่งขันกัน คนหนึ่งก็มีพระคุณต่อนาง และเป็นคนที่นางแอบรักอยู่ในใจมาโดยตลอด อีกคนก็คือบิดาของลูกนาง
การให้กำเนิดองค์ชาย ไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ต่อสถานะในราชสำนักของเซี่ยเชียน ยังแก้ปัญหาที่จักรพรรดิไม่สามารถผลิตทายาทได้ หลีกเลี่ยงคำครหาจากผู้อื่น
ในใจของสวีกุ้ยเหรินตัดสินใจอยู่เงียบ ๆ
ต่อให้หญิงสาวอ่อนแอเพียงใด ก็ยังพึ่งพาอำนาจของจักรพรรดิได้เสมอ ถึงกระนั้นนางก็ควรใช้อำนาจอย่างเต็มที่ ปกป้องคนที่สำคัญที่สุดของนางทั้งสองคนจากความโสโครกในตำหนักหลังและราชสำนัก
นี่คือความหมายของการมีตัวตนของนาง!
ครั้นเซี่ยเชียนได้ออกจากวังหลวง ก็เกือบเที่ยงวันแล้ว
เดิมทีจักรพรรดิอยากให้เขาอยู่รับประทานมื้อเที่ยงในวัง แต่เซี่ยเชียนมีธุระด่วนยืนกรานว่าต้องไป
จักรพรรดิจึงได้แต่โบกพระหัตถ์ แม้ว่าสีพระพักตร์จะไม่สบอารมณ์นัก แต่กลับต้องปล่อยเขาไป
คนรับใช้ในจวนเซี่ยนำรถม้าคันหนึ่งมาจอดรออยู่หน้าประตูวัง รอแค่นายท่านของตัวเองออกมา ครั้นมองซ้ายแลขวาไม่เจอใคร ก็รู้ทันทีว่าถูกจักรพรรดิรั้งตัวไว้พูดคุยไม่ยอมปล่อยออกมาแน่นอน
เมื่อประตูวังเปิดออก องครักษ์ได้ยินเสียงของทหารเฝ้าประตูขานเรียกอยู่ไกล ๆ ว่า ‘ใต้เท้าเซี่ย’ เด็กรับใช้จึงรีบลุกขึ้นยืน จากนั้นก็ชะเง้อมองไปด้านหลัง
กระทั่งเห็นเซี่ยเชียนในชุดคลุมยาวสีดำทั้งตัวอย่างที่คาดคิดไว้จริง ๆ ใบหน้าแสดงสีหน้าดีใจและขุ่นเคืองจนแยกไม่ออก ก่อนจะค่อย ๆ เดินไปหา
“นายท่าน!”
เด็กรับใช้เดินรุดหน้าไปไม่กี่ก้าว ใบหน้าเผยสีหน้าดีใจ “ข้าน้อยยังคิดว่าวันนี้นายท่านจะไม่กลับมาทานอาหารเสียแล้วขอรับ เดินทางตอนนี้ถึงจวนก็คงจะทานอาหารได้พอดีเลยขอรับ”
เซี่ยเชียนพยักหน้าเรียบเฉย
เด็กรับใช้ผู้นั้นไม่ค่อยชอบพูดนัก ปกติแล้วคนรับใช้ทั้งจวนเซี่ยที่พูดได้ทั้งวี่ทั้งวันล้วนแต่ไม่ค่อยพูดกับเขามากนัก
เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนในจวนเซี่ยถึงไม่กล้าพูดเสียงดังต่อหน้านายท่านเซี่ย เหมือนกับกลัวว่าจะก่อกวนความสงบของนายท่านก็มิปาน
เด็กรับใช้มักจะพากันปิดปากเงียบเมื่ออยู่ต่อหน้าเซี่ยเชียนด้วยจิตใต้สำนึก แต่หลังจากที่ได้อยู่ร่วมกับเขาเป็นเวลานาน พบว่านายท่านไม่ได้สนใจว่าตนนั้นพูดมากเพียงใด
เด็กรับใช้นำทางเซี่ยเชียนไปยังรถม้า พลางพร่ำไม่หยุด “นายท่านถูกฝ่าบาทรั้งตัวอยู่คุยหรือขอรับ? ปกติแล้วนายท่านยุ่งเพียงนี้ เหตุใดฝ่าบาทถึงไม่รู้จักเห็นใจกันบ้าง โชคดีที่ปล่อยตัวนายท่านในยามเช้า มิเช่นนั้นนายท่านจะต้องค้างคืนจนกว่าภารกิจจะเสร็จ…”
เขาบ่นพึมพำด้วยเสียงเล็ก แต่เซี่ยเชียนกลับไม่ได้มีปฏิกิริยามาตลอด อาจเพราะคิดว่าเสียงของเด็กรับใช้เหมือนเสียงนกที่ไม่มีความหมายอะไร ไม่แม้แต่จะเข้าหูเขาด้วยซ้ำ
ครั้นเซี่ยเชียกลับถึงจวน และเพิ่งลงจากรถม้าได้ไม่นาน ก็เห็นร่างเงาในชุดสีขาวอันคุ้นเคยร่างหนึ่งยืนรออยู่หน้าประตูแล้ว
กลิ่นอายแห่งฤดูสารทแผ่กระจายไปทั่วทั้งถนน กระทั่งต้นไม้ในจวนเซี่ยเริ่มค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลืองอร่าม ใบไม้ร่วงโรยไปตามสายลม ปลิวไสวออกไปนอกกำแพงของลานกว้าง ก่อนร่วงหล่นลงมาบนไหล่ของบุรุษชุดขาว
เขาได้ยินเสียงของรถม้า ครั้นเงยหน้าขึ้นก็สบเข้ากับสายตาของเซี่ยเชียนพอดี
“ใต้เท้าเซี่ย”
เหยาเฉาส่งเสียงเรียกออกไป
ปกติแล้วใบหน้าของเหยาเฉามักจะเผยรอยยิ้มอันอบอุ่นอยู่เสมอ แต่ตอนนี้ท่ามกลางสีสันของฤดูสารทที่หนาทึบเช่นนี้ กลับแฝงไปด้วยความเย็นอย่างชัดเจน
นัยน์ตาดุจดอกท้อที่เปล่งประกายคู่นั้น ทำให้รู้สึกไม่สมจริง
เด็กรับใช้ข้างกายเซี่ยเชียนเห็นว่ารอยยิ้มจาง ๆ ของชายหนุ่มผู้นั้นเกิดอาการสั่นไหวเล็กน้อย เมื่อจ้องเขม็งสีหน้าของเหยาเฉาก็ไม่ได้มีความแตกต่างจากก่อนหน้านั้น
เซี่ยเชียนพยักหน้า ส่งสัญญาณให้เหยาเฉาเข้าไปคุยในจวน
เหยาเฉาส่ายหน้า และพูดเสียงเบา “ใต้เท้า ที่ข้ามาถึงจวนในวันนี้ก็เพื่อต้องการคำยืนยันจากใต้เท้า อาเหราตอนนี้อยู่ที่ใด?”
เซี่ยเชียนพูดเสียงเรียบ “หลินเหราอยู่ในค่ายทหารซีเป่ย ก็ต้องอยู่ในซีเป่ยสิ”
เหยาเฉาขมวดคิ้ว นัยน์ตาเคร่งขรึมลงแต่น้ำเสียงกลับค่อย ๆ รุนแรงขึ้น “สงครามในซีเป่ยสิ้นสุดลงแล้ว ทหารทุกคนต่างหอบเอาชัยชนะกลับเมือง เขาได้รับพระราชทานจากราชสำนักแต่งตั้งเป็นแม่ทัพ เหตุใดถึงยังไม่กลับมาแสดงความขอบคุณ?”
สีหน้าของเซี่ยเชียนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง นัยน์ตาเรียวดุจตาหงส์คู่นั้นยังคงเย็นชา ไม่ได้แสดงความรู้สึกใด ๆ ออกมา ตรงกันข้ามกลับถามขึ้นประโยคหนึ่ง “เจียงหนิงยังอยู่ในซีเป่ย เหตุใดหลินเหราจะอยู่ไม่ได้?”
เหยาเฉาราวกับโกรธเคืองกับประโยคนี้ แม้แต่การแสดงความเคารพก็ไม่สนใจอีกต่อไป นัยน์ตาดุจดอกท้อคู่นั้นฉายแววโกรธเคืองออกมา พลางตะโกนเสียงดัง “ใต้เท้า อาเหราคือหลานชายของท่าน!”
เด็กรับใช้ข้างกายเซี่ยเชียนถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางเชื่อ ชายหนุ่มที่มีสีหน้าโกรธเคืองตรงหน้า คือคนคนเดียวกับสุภาพบุรุษที่มีความคล่องแคล่วฉับไวเหมือนกับสายลมในฤดูสารทเมื่อก่อนหน้านั้น
เซี่ยเชียนยังคงแสดงท่าทางไม่เป็นเดือดเป็นร้อนเช่นเคย ราวกับว่าต่อให้เหยาเฉาโกรธเคืองเพียงใด ก็ไม่สามารถกระตุ้นอารมณ์ในจิตใจของเขาได้
เขามองไปทางเหยาเฉาด้วยสายตาเรียบเฉย เหมือนกับกำลังจะถามว่า ‘แล้วอย่างไร?’
ครั้นเหยาเฉาเห็นดังนั้น ก็ไม่สามารถสนทนากันสองคนได้อีกต่อไป จึงสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป
ไม่นาน ข่าวความขัดแย้งระหว่างเหยาเฉากับเซี่ยเชียนตรงหน้าจวนเซี่ยก็ถูกนำมารายงานต่อเหมิงฉิง
หลายวันนี้เหมิงฉิงถูกเหยาเฉาบีบบังคับให้ถูกกักบริเวณ ทำให้รู้สึกอึดอัดอย่างมาก ครั้นได้ยินข่าวนี้ ใบหน้าที่ดูหม่นหมองก็ดูจะเปล่งประกายเล็กน้อย “เหยาเฉาและเซี่ยเชียนทะเลาะกันหรือ? ข่าวจริงใช่หรือไม่?”
เด็กรับใช้รายงานกลับด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น “ท่านอ๋อง เรื่องนี้มีหลายคนที่เห็นเหตุการณ์กับตา ไม่มีทางโป้ปดแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ! ได้ยินว่าเหยาเฉาเฝ้าอยู่หน้าประตูจวนเซี่ยหลายชั่วยาม ครั้นเซี่ยเชียนกลับไปถึงประโยคแรกที่ถามถึงคือที่อยู่ของน้องเขยตัวเอง…”
เหมิงฉิงถามขึ้น “เซี่ยเชียนตอบว่าอย่างไร?”
เด็กรับใช้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลินเหราหายตัวไป ใต้เท้าเซี่ยก็ตอบไม่ได้ เหยาเฉาจึงบันดาลโทสะเกือบจะชี้หน้าด่าอีกฝ่ายเลยทีเดียวพะยะค่ะ”
เหมิงฉิงตื่นเต้นในใจ แต่อยู่ ๆ ก็เปลี่ยนมาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “เหยาเฉาได้รับการฝึกฝนจากเซี่ยเชียน ทั้งยังมีนิสัยเจ้าเล่ห์ไม่น้อย ทั้งสองคนจะทะเลาะกันได้อย่างไร?”
เด็กรับใช้รีบเอ่ยขึ้น “ต่อให้สนใจอนาคตเพียงใด เกรงว่าคงไม่ถึงขั้นไม่สนใจแม้แต่ชีวิตของน้องสาวพ่ะย่ะค่ะ คนของเราก็เคยได้ยินมาบ้าง น้องสาวของเหยาเฉาจนตอนนี้ก็ยังไม่ยอมออกจากจวน มีหมออยู่ในจวนหนึ่งคน…”
หัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันของเหมิงฉิงได้คลายออก จากนั้นก็ก่อเกิดความรู้สึกดีใจที่ยากจะพรรณนาออกมาได้
ตอนนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ หากเหยาเฉาและเซี่ยเชียนทะเลาะกันจริงดังว่า ตัวเองคงจะมีโอกาสได้กลับมาหายใจอีกครั้ง!
ประกอบกับหลินเหราที่หายตัวไปเป็นเวลาเกือบสองเดือนแล้ว คิดว่าซากศพคงจะเน่าเปื่อยจนจำไม่ได้แล้วกระมัง
ต่อให้หลักฐานที่อยู่ในมือของเขามีมากพอแล้วอย่างไร? ในเมื่อเจ้าตัวตายไปแล้ว จะเอาหลักฐานได้อย่างไร!
ครั้นเหมิงฉิงคิดได้เช่นนี้ ในที่สุดความอึมครึมที่ปกคลุมอยู่ในใจของตัวเองกว่าสองเดือนก็จางหายไป
……………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
สวีกุ้ยเหรินคือกัปตันเรือฝ่าบาทกับนายท่านเซี่ยนี่เอง มันเกิดอะไรขึ้นคะเนี่ย จู่ๆ เรือหลวงก็กลายเป็นยานอวกาศเฉย
เหยาเฉากับนายท่านเซี่ยอย่าทะเลาะกัน เดี๋ยวมีมือที่สามใช้โอกาสนี้เล่นงานเอานะ
ไหหม่า(海馬)