บทที่ 453 มารหัวใจ
บทที่ 453 มารหัวใจ
เนื่องจากวันนี้หลินซือเข้าวัง ดังนั้นเจี่ยงเถิงจึงมีเวลาสะสางงานที่สะสมเอาไว้ และในช่วงบ่ายอันร้อนระอุก็ต้องไปรายงานตัวในพระราชวัง
ตอนที่เข้าพระราชวัง เจี่ยงเถิงจงใจเดินให้ช้าลง แต่กลับไม่พบหลินซือที่ออกจากวัง เขาจึงต้องรีบจัดการกับความคิดที่ยุ่งเหยิงในหัวของตน และรีบไปห้องทรงงาน
เมื่อยังคงห่างจากห้องทรงงานขององค์จักรพรรดิ เจี่ยงเถิงเห็นว่ามีใครบางคนคุกเข่าอยู่ที่ประตูโดยไม่รู้ว่าเป็นข้าราชบริพารที่โชคร้ายคนไหน
แต่เมื่อระยะทางเข้าใกล้ขึ้น ร่างของคนผู้นั้นก็ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เจี่ยงเถิงเองก็รู้สึกกลัวขึ้นมากเรื่อย ๆ คนผู้นั้นสวมชุดเหมิงฝูสีเหลืองอร่าม นอกจากองค์รัชทายาทแล้วจะยังมีผู้ใดสวมใส่อีก แต่เขากำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นที่เปียกโชก บนศีรษะของเขามีพืชน้ำติดอยู่สองสามต้น ดูราวกับว่าเขาเพิ่งตกลงไปในสระน้ำ บนเสื้อของเขายังคงมีน้ำหยดลงมา บริเวณรอบ ๆ ยังคงมีน้ำเจิ่งนองอยู่บนพื้น ถึงแม้จะคุกเข่าอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ในยามบ่าย แต่ก็อดที่จะตัวสั่นเล็กน้อยไม่ได้
องค์รัชทายาทก้มหน้างุด เจี่ยงเถิงมองไม่เห็นการแสดงออกของอีกฝ่าย เพียงแค่ตอนเดินผ่าน สายตาสังเกตเห็นริมฝีปากที่ซีดเซียว นั่นแสดงว่าสภาพร่างกายของเขาไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
คนที่สามารถลงโทษองค์รัชทายาทได้ นอกจากองค์จักรพรรดิแล้วก็คงไม่มีใครสามารถทำได้
เจี่ยงเถิงรู้ดีว่าเรื่องนี้ตนเองไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว จึงทำได้แค่มองดูแล้วรีบเดินจากไป
“กงกง โปรดแจ้งข่าวสักครู่….” เจี่ยงเถิงกำลังจะแนะนำตนเอง แต่ขันทีที่อยู่ตรงหน้าประตูก็ได้ขัดเขาไว้ก่อน
“ใต้เท้าท่านนี้ได้โปรดกลับไปก่อน ฝ่าบาทไม่ได้อยู่ในห้องทรงงาน และวันนี้ฝ่าบาทอารมณ์ไม่ใคร่ดีนัก จึงไม่ประสงค์ที่จะพบผู้ใด”
เจี่ยงเถิงตกใจอยู่ครู่หนึ่ง ตอนนั้นเองเด็กหนุ่มก็เหลือบไปมององค์รัชทายาทที่คุกเข่าอยู่โดยไม่รู้ตัว และวางถุงเงินลงบนมือขันทีอย่างชำนาญ ชายหนุ่มยิ้มขึ้นและกล่าวว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เร่งด่วนจริง ๆ กงกงสามารถบอกได้หรือไม่ว่าฝ่าบาทจะเสด็จกลับมาเมื่อใด”
ขันทีเขย่าของในมือเพื่อพิจารณาน้ำหนัก เขาพลันเผยรอยยิ้มและส่งสายตาไปทางองค์รัชทายาท ไม่ว่าเจี่ยงเถิงจะลงเงินไปเยอะเพียงใด เขาก็ไม่สามารถกล่าวอะไรได้มากกว่านี้
ดูเหมือนว่าองค์รัชทายาทจะสร้างปัญหาที่ใหญ่โตแล้วจริง ๆ
เจี่ยงเถิงถือสมุดเอาไว้ในมือ เด็กหนุ่มลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงตัดสินใจว่าจะไม่เข้าไปยุ่งกับองค์จักรพรรดิ เขาก้าวออกมาในขณะที่ประตูห้องทรงงานถูกเปิดออกมาพอดี
“ใต้เท้าเซี่ย?”
เซี่ยเชียนกวักมือเรียกเจี่ยงเถิง และกงกงที่ยืนเฝ้าประตูอยู่ก็ไม่ได้ห้ามเขา เจี่ยงเถิงเข้าห้องทรงงานไปด้วยความประหลาดใจ
“องค์รัชทายาทก่อเรื่องวุ่นวาย” เซี่ยเชียนเปิดเรื่องก่อน
เจี่ยงเถิงบอกกับตนเองว่าเรื่องที่จะกล่าวต่อไปนี้ไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะได้ยิน แต่อีกความคิดหนึ่งก็ใคร่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรกับมารหัวใจของตน หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เซี่ยเชียนก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง
“องค์รัชทายาทมีเรื่องโต้เถียงกับองค์หญิงในสวนหลวง องค์หญิงพลาดตกลงไปในสระ องค์รัชทายาทเลยลงไปช่วยนางไว้”
“แล้วเหตุใดองค์รัชทายาทจึงถูกลงโทษหรือขอรับ” เจี่ยงเถิงเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
“เป็นเพราะว่าตอนที่ฝ่าบาทลงไปช่วยนั้น องค์หญิงเองก็เกือบจะหายใจไม่ออกแล้ว องค์รัชทายาทมองดูองค์หญิงตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะลงไปช่วย”
“แต่นี่ก็ไม่ใช่ปัญหาขององค์รัชทายาท”
เจี่ยงเถิงคาดเดาโดยไม่รู้ตัว “อาจจะเป็นเพราะว่าองค์หญิงตื่นตระหนก หากว่าตกน้ำแล้วสำลักน้ำทันที อาจเป็นไปได้ว่าตอนที่องค์รัชทายาทช่วยชีวิตองค์หญิงอาจจะเกิดความผิดพลาด อาจจะไม่ใช่การยืนดูอยู่ข้าง ๆ อย่างที่เข้าใจขอรับ”
เซี่ยเชียนไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เพียงแค่มองไปยังเจี่ยงเถิงที่วิเคราะห์อย่างฉะฉาน
เจี่ยงเถิงเองรู้ตัวว่าตนนั้นพูดมากเกินไปแล้ว จึงรีบยั้งปากของตน
“ข้าคิดว่าเจ้าจะซ้ำเติมองค์รัชทายาทเสียอีก เพราะถึงอย่างไรความสัมพันธ์ของพวกเจ้าก็ไม่ค่อยดีนัก” เซี่ยเชียนกล่าว
เจี่ยงเถิงรู้ว่าเซี่ยเชียนหมายถึงเรื่องของหลินซือ เด็กหนุ่มจึงยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกเก้อเขิน “ในฐานะเป็นขุนนางฝ่ายการค้าเกลือ สิ่งที่สำคัญมากที่สุดคือส่วนรวมกับส่วนตัวต้องแยกกันให้ชัดเจน เรื่องระหว่างข้ากับองค์รัชทายาทนั้นเป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องความปลอดภัยขององค์รัชทายาทเป็นรากฐานของประเทศ นี่คือเรื่องส่วนรวม เรื่องง่าย ๆ เช่นนี้ข้าสามารถแยกแยะได้ชัดเจนขอรับ”
เซี่ยเชียนพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “เหตุใดจึงตัดสินว่าองค์รัชทายาทเห็นคนกำลังจะตายก็ไม่ยื่นมือเข้าช่วย เหตุผลเพราะว่านั่นเป็นสิ่งที่องค์รัชทายาทกล่าวด้วยตัวเอง ไม่มีคนเห็นเหตุการณ์อยู่รอบ ๆ องค์รัชทายาทพูดความจริงที่ไม่ได้มีผลประโยชน์ต่อตัวเองเลยสักนิด”
เจี่ยงเถิงเงยหน้ามองเซี่ยเชียนด้วยความตกตะลึกเล็กน้อย
“เรื่องทั้งหมดที่ข้าเล่าให้กับเจ้าฟังล้วนเป็นเรื่องที่เขากล่าวออกมาเองตอนคุกเข่าต่อหน้าฝ่าบาท หลังจากนั้นฝ่าบาทก็ทรงกริ้วเป็นอย่างมาก แล้วก็รีบไปตำหนักของสวีกุ้ยเฟย องค์รัชทายาทนั้นนั่งคุกเข่าอยู่หน้าห้องเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามแล้ว”
“คาดไม่ถึงเลยสิท่า?” จู่ ๆ เซี่ยเชียนก็ยิ้มให้กับเจี่ยงเถิงที่ประหลาดใจอยู่ “ในตอนแรกข้าเองก็ไม่อยากจะเชื่อ อย่างไรเสียองค์รัชทายาทก็มีความดื้อรั้น ข้าจะไม่แปลกใจเลยถ้าเขาปล่อยให้องค์หญิงจมน้ำตาย แต่ว่าเขากลับทำสิ่งที่ไม่น่าเชื่อที่สุด หากจะกล่าว ข้าที่รู้จักคนมามากหลายปี บางครั้งข้าเองก็ยังคิดผิดได้”
“แล้วฝ่าบาทตรัสอย่างไรบ้างขอรับ?” น้ำเสียงของเจี่ยงเถิงแหบแห้งเล็กน้อย
“สวีกุ้ยเฟยเป็นที่ชื่นชมขององค์รัชทายาท และเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดองค์หญิง มีความต่างทางสายสัมพันธ์ โดยเฉพาะเรื่องนี้ที่เป็นความผิดพลาดขององค์รัชทายาท ฝ่าบาทจึงต้องการอธิบายต่อสวีกุ้ยเฟย”
“องค์รัชทายาทมีเพียงแค่คนเดียว”
เจี่ยงเถิงรู้ทันทีว่าเซี่ยนเชียนจะกล่าวอะไรออกมา เม็ดเหงื่อเย็นก็ออกมาตามแผ่นหลัง
“ใช่ องค์รัชทายาทมีเพียงคนเดียว ถึงแม้เขาจะหวาดระแวงและมีนิสัยโหดเหี้ยม เพียงแต่ต้องอบรมสั่งสอนให้ดี ๆ ทำให้ควบคุมจิตใจของตนเองได้ เขาต้องเป็นสุภาพบุรษที่ดีได้” เซี่ยเชียนยิ้มอย่างมีความหมาย “ดังนั้นฝ่าบาทจึงต้องการอบรมสั่งสอนเขาให้ดี และตอนนี้ราชสำนักก็มีแรงพลังของขุนนางเยาว์วัย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าใครเป็นบุคคลน่าเลือกที่สุด”
“ขอรับ ข้าเห็นด้วย” เจี่ยงเถิงกล่าวขึ้น
คราวนี้เป็นเซี่ยเชียนเองที่ประหลาดใจ “ข้าคิดว่าเจ้าจะพิจารณาสักครู่”
“ในตอนที่พระราชครูเซี่ยเรียกข้ามา ไม่ใช่ว่าจะให้แนวทางกับข้าหรอกหรือขอรับ?” เจี่ยงเถิงทำอะไรไม่ถูก “ยังมีขุนนางผู้น้อยอีกมากมายที่มีคุณสมบัติทัดเทียมข้า ข้าอยากจะเป็นขุนนาง หากมีภูมิหลังแข็งแกร่งพอก็คงจะมีโอกาสเช่นนั้นได้ เมื่อมีใต้เท้าเซี่ยสนับสนุน ไม่แน่ว่าอาจจะพลิกวิกฤตเป็นโอกาส วันข้างหน้าจะได้ราบรื่นกว่านี้ขอรับ”
เซี่ยเชียนดูเด็กหนุ่มผู้นี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง เขาพยักหน้า “เจ้าคือคนที่ชาญฉลาดคนหนึ่ง”
“คนฉลาดมักตายเร็ว ข้าเพียงต้องการเป็นขุนนางที่ได้มาตรฐานเท่านั้นขอรับ” เจี่ยงเถิงยิ้มและกล่าวขึ้น
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
พี่เถิงเป็นมืออาชีพอยู่น้า แยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันได้
ไหหม่า(海馬)