พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – บทที่ 1876 ภายนอกไม่สำคัญ

บทที่ 1876 ภายนอกไม่สำคัญ

เหมียวอี้เหล่ตาเล็กน้อย มองคล้อยหลังหยวนกงเดินจากไป จากนั้นก็นำคนที่เหลือเดินก้าวยาวเข้ามาในจวน

คนกลุ่มนี้เดินเข้ามาในเรือนด้านใน เกราะรบบนตัวเหมียวอี้สะดุดตาเกินไป กลุ่มผู้หญิงที่รออยู่จ้องบนตัวเหมียวอี้ด้วยตาเป็นประกายทันที เกราะรบของแม่ทัพใหญ่เชียวนะ! หรือว่าคนที่ถูกเรียกว่าผู้ตรวจการใหญ่คือท่านหัวหน้าภาคจริงๆ?

“นายท่าน!” หลังจากกลุ่มผู้หญิงทำความเคารพแล้ว สวีถังหรานก็ประกาศข่าวดีต่อทุกคนอย่างดีอกดีใจ ทำอย่างกับเขาได้เลื่อนเป็นผู้ตรวจการใหญ่เอง

แม้พวกผู้หญิงจะสำรวมท่าที แต่กลับตื่นเต้นดีใจจนปิดบังไว้ไม่อยู่ ย่อมเข้าใจหลักการเรือขึ้นสูงตามน้ำ ถ้ารอให้ผู้ตรวจการใหญ่ท่านนี้ยืนอย่างมั่นคงเมื่อไร ช้าเร็วผู้ชายของตัวเองก็จะได้เลื่อนขั้นสูงไปด้วย จึงรีบทำความเคารพ “คารวะผู้ตรวจการใหญ่!”

อวิ๋นจือชิวยืนมองเหมียวอี้ด้วยรอยยิ้มสนิทสนม ในดวงตาฉายแววภาคภูมิใจ

ซิงยืนมองเงียบๆ อยู่ใต้ต้นไม้

มู่หรงซิงหัวที่อยู่ข้างๆ ดวงตาฉายแววอัศจรรย์ใจ เรียกได้ว่าเรื่องในอดีตยังติดตาเหมือนเพิ่งเกิดขึ้น ใครจะไปคาดคิดว่าเหมียวอี้จะเดินมาถึงขั้นนี้ ตอนแรกมีคนมากมายคิดว่าเขาจะหมดทางทำกินแล้ว

เหมียวอี้กล่าวถ่อมตัวว่า “เป็นเพียงตำแหน่งลอยเท่านั้นเอง แค่ตำแหน่งลอยเท่านั้น” หลังจากพูดตามมารยาทแล้ว ก็เดินก้าวยาวผ่านกลุ่มคนไป

อวิ๋นจือชิวกำชับให้เฟยหงต้อนรับแขก ส่วนตัวเองพาเชียนเอ๋อร์และเสวี่ยเอ๋อร์เดินตามไป

พอกลับมาถึงในห้อง ผู้หญิงทั้งสามก็ช่วยถอดเกราะรบให้เหมียวอี้ ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ใส่สบายใจ เหมียวอี้กลับพูดเบาๆ ว่า “ข้าอยากอยู่เงียบๆ คนเดียวสักประเดี๋ยว!”

ยังไม่ทันได้ร่วมแบ่งปันความดีอกดีใจก็ไล่ตนซะแล้ว อวิ๋นจือชิวบิดเนื้อที่เอวเขาหนึ่งที แล้วก็เตะอีกที แต่กลับไม่ได้เกาะแกะเขาต่อ รู้ว่าเขาต้องมีเรื่องอะไรแน่นอน นางจึงกลอกตามองบนแล้วพาเชียนเอ๋อร์เสวี่ยเอ๋อร์ออกไป

พอโบกมือร่ายอิทธิฤทธิ์ปิดประตู เหมียวอี้ก็นั่งลงข้างโต๊ะ เขาใช้มือลูบไล้เกราะรบที่เพิ่งถอดออก หลังจากเงียบไปครู่เดียว ก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหยางชิ่ง

แผนการขั้นต้นผ่านไปได้อย่างราบรื่น เป็นเพราะแผนที่ทั้งสองวางไว้สามารถนำไปปฏิบัติจริงได้ง่าย ขั้นต่อไปต่างหากที่เป็นการเริ่มต้นของจุดสำคัญ ทั้งสองอนุมานปรึกษากันไปทีละขั้น การปรึกษานี้ใช้เวลาไปครึ่งค่อนวัน

เมื่อม่านราตรีมาเยือน เหมียวอี้ถึงได้ผลักประตูเดินออกมา นึกไม่ถึงว่าอวิ๋นจือชิวยังนั่งอยู่ในโถงด้านนอก ข้างนางยังมีเชียนเอ๋อร์เสวี่ยเอ๋อร์ยืนอยู่ด้วย ผู้หญิงทั้งสามมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ต่างก็มองออกว่าเหมียวอี้กำลังครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังคิดอะไร

เหมียวอี้ขมวดคิ้วมุ่นขณะเอามือไขว้หลังเดินเนิบนาบไปหน้าบันไดนอกห้อง จากนั้นเงยหน้ามองท้องฟ้า ดวงจันทร์หลายดวงส่องแสงสุกสกาวอยู่ในท้องฟ้ายามราตรี

กระแสความชื้นจากน้ำค้างแผ่ความหนาวเย็น ผ้าคลุมผืนหนึ่งพาดไหล่เหมียวอี้อย่างแผ่วเบา เหมียวอี้หันกลับไปมอง สบตากับอวิ๋นจือชิวแล้วยิ้มบางๆ จากนั้นยื่นมือไปกุมมือที่อ่อนนุ่มของนาง นางก้าวขึ้นมายืนเคียงข้างเขา แล้วซบไหล่เขาเบาๆ เขายังคงเงยหน้ามองดาวบนฟ้า ทั้งสองต่างเงียบงัน…

“เฮ่อ ผิดหลักธรรมชาติเกินไปแล้ว! ผู้ตรวจการใหญ่ตลาดสวรรค์ เลื่อนขั้นเป็นผู้ตรวจการใหญ่ตลาดสวรรค์แล้วเหรอ? เรื่องที่สระน้ำมังกรดำมีใครบ้างที่ไม่รู้อยู่แก่ใจ ตระกูลอิ๋งกล้ำกลืนความแค้นนี้ได้ยังไง นี่ไม่ใช่การตบหน้าตระกูลอิ๋งเหรอ? ตระกูลอิ๋งไร้ประโยชน์จริงๆ ขนาดหนิวโหย่วเต๋อคนเดียวยังจัดการไม่ได้…”

จวนจอมพลสายเถาะ ในห้องหนังสือ ผังก้วนยืนวาดๆ เขียนๆ อยู่หน้าโต๊ะ เฉินหวยจิ่วบ่าวชรายืนเก็บมืออยู่ข้างๆ เพียงมองผังก้วนที่กำลังวาดเขียนเป็นระยะ แล้วก็มองฮูหยินจาหรูเยี่ยนที่ท้งกลมยื่นออกมา

จาหรูเยี่ยนกำลังพร่ำบ่นไม่หยุด เฉินหวยจิ่วแอบส่ายหน้า พบว่าฮูหยินคนนี้อาศัยว่าตัวเองตั้งครรภ์ จึงเริ่มควบคุมปากตัวเองไม่ได้แล้ว นายท่านเองก็อดทนไว้เพราะเห็นแก่ลูกในท้องนาง แต่นางเลือกเป้าหมายที่จะบ่นผิดคนแล้ว ถ้าพูดต่อไปแบบนี้ก็ไม่รู้ว่านายท่านจะทนได้อีกนานแค่ไหน

แต่เขาก็พอเข้าใจได้ จาหรูเยี่ยนไม่รู้ว่านายท่านกับหนิวโหย่วเต๋อมีความสัมพันธ์ลับกัน นายท่านเองก็ไม่มีทางบอกให้คนปากมากอย่างฮูหยินรู้ ถ้าปากรั่วพูดออกไป นั่นก็จะบันเทิงแล้ว

ส่วนสาเหตุที่จาหรูเยี่ยนเหม็นขี้หน้าเหมียวอี้ก็ย่อมไม่ต้องพูดเยอะ เพราะตระกูลจาขาดลูกสิ้นหลานด้วยน้ำมือเหมียวอี้ จาหรูเยี่ยนกล้ำกลืนความแค้นนี้มาตลอดราวกับเป็นก้างติดคอ เพียแต่ก่อนหน้านี้ถูกผังก้วนควบคุมไว้จึงไม่กล้ารีบร้อน กอปรกับในมือเหมียวอี้เริ่มมีกำลังทหารมากขึ้น ไม่ใช่ว่าส่งยอดฝีมือไปคนสองคนแล้วจะจัดการได้ นางยังไม่มีสิทธิ์เรียกช้งานทัพใหญ่ ดังนั้นจึงทำอะไรเหมียวอี้ไม่ได้ ทว่าหลังจากผังก้วนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นจอมพลแล้ว ความได้หน้าได้ตาของจาหรูเยี่ยนก็ย่อมไม่เหมือนในวันเก่า สภาพจิตใจก็เปลี่ยนไปบ้างแล้ว ตอนที่เหมียวอี้อยู่อย่างสงบเสงี่ยม นางไม่ยินข่าวคราวจึงปล่อยผ่านไป แต่จู่ๆ เหมียวอี้ก็กลายเป็นคนที่ได้หน้าได้ตาแบบนี้ นางจึงเหมือนถูกยั่วยุอารมณ์อีกครั้ง กอปรกับมีลูกในท้องเป็นที่พึ่ง ในที่สุดก็ทนไม่ไหวแล้ว นางหวังว่าจะเกลี้ยกล่อมให้ผังก้วนล้างแค้นเพื่อตระกูลจาได้

พอเขียนเสร็จหนึ่งตัวอักษร ในที่สุดผังก้วนก็เงยหน้าขึ้น “เจ้าพูดจบแล้วหรือยัง?”

เฉินหวยจิ่วแอบคิดในใจว่าแย่แล้ว นายท่านจะระเบิดอารมณ์แล้ว หวังว่าจาหรูเยี่ยนจะอ่านสถานการณ์ออกสักหน่อย

ทว่าจาหรูเยี่ยนยืดท้องของตัวเองไปที่โต๊ะ นัยน์ตาแดงก่ำแล้วเช่นกัน กล่าวอย่างเศร้าโศกว่า “ด้วยคุณสมบัติและประสบการณ์ของเขา มีสิทธิ์อะไรเป็นผู้ตรวจการใหญ่ตลาดสวรรค์ คนในใต้หล้าตายกันไปหมดแล้วหรือไง? นายท่าน ที่ท่านมีวันนี้ได้ ตระกูลจาของข้าไม่มีผลงานเชียวเหรอ? นายท่าน ท่านต้องช่วยล้านแค้นให้ตระกูลจาของข้านะ!”

ปั้ง! ผังก้วนพลันตบพู่กันลงบนโต๊ะ เสียงดังสะเทือนจนจาหรูเยี่ยนตกใจ

รอไม่นาน ใบหน้างามของจาหรูเยี่ยนก็หันมาพร้อมน้ำตาแล้ว พลันตะคอกว่า “ท่านทำให้ลูกตกใจแล้ว!”

ผังก้วนกล้ามเนื้อใบหน้ากระตุก เดินอ้อมจากโต๊ะยาวออกมา แล้วก็ลงมือกะทันหัน ใช้แขนกักคอที่ขาวหมดจดของนางเอาไว้ พร้อมเตือนด้วยน้ำเสียงดุร้ายว่า “ข้าจะบอกเจ้าให้นะ เจ้าตั้งใจฟังให้ดี หนิวโหย่วเต๋อจะมีวาสนาหรือมีเคราะห์ก็ปล่อยไปตามธรรมชาติ ข้าย่อมพิจารณาเองได้ เจ้าห้ามแอบเข้ามาก้าวก่ายลับหลัง ไม่อย่างนั้นอย่าโทษที่ข้าหย่ากับเจ้าก็แล้วกัน ไสหัวไป!” พูดจบก็ผลักนางออก

จาหรูเยี่ยนโซเซถอยหลัง ใบหน้าแดงก่ำ กระแอมไอติดต่อกันหลายครั้ง ราวกับเห็นผี ตั้งแต่ตังครรภ์นางก็ยังไม่เคยเห็นผังก้วนดุร้ายขนาดนี้มาก่อนเลย ถูกทำให้ตกใจแล้วจริงๆ นางก้มหน้าเดินออกไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ

แคว่กๆๆ! ผังก้วนฉีกภาพที่เพิ่งวาดเสร็จแล้วโยนทิ้ง แล้วชี้ไปด้านนอกพลางสบถด่า “ผู้หญิงโง่คนนี้ บางครั้งข้าก็อยากให้นางไปตายไกลๆ จริงๆ!”

เฉินหวยจิ่วยิ้มอย่างสงบ “ที่จริงใจในลึกๆ ของนายท่านก็รักฮูหยิน ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น นายท่านคงไม่อดทนมาถึงตอนนี้”

“…” ผังก้วนกลอกตามองบน แล้วก็ส่ายหน้าถอนหายใจ “เจ้าเองก็รู้เรื่องในปีนั้น ตอนนั้นข้าไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น…เฮ้อ อย่าพูดถึงเลย ศึกสระน้ำมังกรดำ เหตุการณ์ที่ทัพตะวันออกห้าล้านพ่ายแพ้ยับเยิน ตอนนี้ก็เข้าใจชัดเจนแล้ว การแสดงฝีมือของเจ้าหนุ่มนั่นทำให้คนรู้สึกทึ่งจริงๆ!”

เฉินหวยจิ่วพยักหน้า “วีรบุรุษแห่งยุคอย่างอ๋าวเฟยยังพังทลายในรวดเดียว”

“คนแบบนี้ ถ้าทิ้งไปจะไม่เสียดายหรอกเหรอ?” ผังก้วนเหล่ตาถาม

เฉินหวยจิ่วงงไปชั่วขณะ จากนั้นก็เข้าใจความคิดของเขาทันที ก่อนหน้านี้ยังไม่ได้อยู่ในตำแหน่งนี้ ตอนนี้บางอย่างก็ทำได้แค่คิดแล้ว ที่สำคัญคือคนอื่นก็อาจดึงตัวหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ง่ายๆ เช่นกัน ฝั่งเรากับหนิวโหย่วเต๋อแอบติดต่อกันกลับเป็นการวางหมากที่ดี มีเงื่อนไขดีกว่าใครทั้งนั้น บางทีอาจไม่ต้องดึงมาเป็นพวกอย่างโจ่งแจ้งก็ได้ ขอเพียงยามจำเป็นสามารถให้พวกเราใช้งานได้ก็พอแลว ถ้าสถานการณ์เปลี่ยนแปลง การได้ทหารคนนี้มาจะต้องเหมือนเสือติดปีกแน่นอน

“นายท่านสิ้นหวังต่อประมุขชิงขนาดนี้เชียวหรือ?” เฉินหวยจิ่วถามอย่างลังเล เพราะเรื่องราวก็เห็นกันอยู่แล้ว ตราบใดที่ประมุขชิงยังอยู่ นอกจากตำหนักนารีสวรรค์ก็ไม่มีใครหาทางดึงตัวหนิวโหย่วเต๋อได้อีกแล้ว ขนาดสี่อ๋องสวรรค์ยังจนมุม ทางนี้ไม่ถึงขนาดหาเรื่องใส่ตัว อย่างน้อยก็ไม่ผ่านด่านอ๋องสวรรค์แล้ว นอกเสียจากทางด้านประมุขชิงจะมีการเปลี่ยนแปลง

ผังก้วนเอามือไขว้หลังพลางกล่าวอย่างกลุ้มใจ “พระปีศาจหนานโปยังไม่ตาย ทั้งยังมีร่างทิพย์ของประมุขไป๋ที่หนีไปอีก แดนอเวจีมีทางเข้าอีกทาง โจรกบฏพวกนั้นออกมาได้ยังไงล่ะ? สิ่งเหล่านี้ล้วนกำลังซ่อนตัวอยู่ ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของประมุขชิง ลองคิดดูสิ ว่าถ้าสิ่งเหล่านี้ปะทุออกมา มีใครบ้างที่จะปล่อยประมุขชิงไป? ทำไมยังอดทนจนถึงตอนนี้ได้โดยไม่มีปฏิกิริยาอะไรล่ะ พวกเขากำลังรออะไรหรือเปล่า หรือว่ากำลังรอโอกาส? ระหว่างประมุขชิงกับสี่อ๋องสวรรค์มีช่องว่างลึกขนาดนั้น ตอนนี้สี่อ๋องสวรรค์ไม่เข้าประชุมขุนนางด้วยซ้ำ แม้ทั้งสองฝ่ายจะอดทนเพื่อรักษาสถานการณ์โดยรวมเอาไว้ แต่ในใจประมุขชิงจะต้องขุ่นเคืองสี่อ๋องสวรรค์เป็นแน่ ตอนนี้ใต้หล้าดูเหมือนสงบเกินไป แต่ที่จริงแล้วประกายไฟอาจจะปะทุได้เสมอ ถ้าสถานการณ์ผันผวนเมื่อไร เงาผีพวกนั้นที่ซ่อนตัวอยู่จะไม่ฉวยโอกาสออกมาหรอกหรือ? ทำไมข้ารู้สึกว่าใต้หล้าจะวุ่นวายในเร็วๆ นี้ล่ะ บางทีข้าอาจจะคิดมากไป แต่คนเราถ้าไม่ตรองการไกล ความยุ่งยากใจก็จะใกล้เข้ามา! ไม่ได้บอกว่าจะต้องดึงตัวหนิวโหย่วเต๋อมาเป็นพวกให้ได้หรอก อย่างน้อยอิ๋งจิ่วกวงก็ไม่ปล่อยเขาไปแน่ เขาจะผ่านด่านนี้ไปได้หรือเปล่าก็ยังไม่แน่ เพียงแต่พวกเราจะต้องสะสมกำลังเอาไว้รับมือ ไม่อย่างนั้นเมื่อลมหนาวมาถึงแล้วจะทนได้อย่างไร?”

เรื่องแบบนี้เป็นการคาดเดาที่ไร้หลักฐาน เฉินหวยจิ่วเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี ตกอยู่ในความเงียบแล้ว…

“อ๋องอสรพิษดำไปขอพึ่งพาหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?”

ตำหนักดาราจักร ประมุขชิงที่นั่งอยู่หลังโต๊ะยาวโน้มตัวมาข้างหน้าพลางเอ่ยถาม ท่าทางเหมือนแปลกใจนิดหน่อย

ซือหม่าเวิ่นเทียนที่ยืนอยู่เบื้องล่างพยักหน้า “ใช่แล้ว! สายลับยืนยันแล้วขอรับ ผู้หญิงคนใหม่ที่มาจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลก็คือซิง อดีตอ๋องอสรพิษดำ ตอนนี้กำลังคอยรับใช้อวิ๋นจือชิว ฮูหยินของหนิวโหย่วเต๋อ”

ประมุขชิงใช้มือข้างเดียวลูบเครา เลิกคิ้วเล็กน้อย…

แดนสุขาวดี วัดพุทธะหยก สี่ด้านของยอดเขารายล้อมด้วยคลื่นเมฆ สายรุ้งทอดตัวราวกับสะพาน เสียงระฆังดังแว่วอยู่ระหว่างภูเขา งดงามราวกับแดนเซียน

ในหุบเขาเงียบสงัดที่มีค่ายกลป้องกันไม่ให้ใครบุกเข้ามาง่ายๆ ศีลแปดที่เปลือยไหล่เปลือยเท้ากำลังเอนกายนั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียงใต้ร่มไม้ มือข้างหนึ่งถือเนื้อย่างขึ้นมากัดกิน ตรงที่ไกลๆ มีน้ำตกสาดลงมาไม่ขาดสาย ข้างกายมีสาวงามเกล้าผมหลวมๆ แอบอิง

สาวงามย่อมไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นอวี้หลัวช่านั่นเอง ขณะนางมองศีลแปดที่กำลังกัดกินอาหารจนปากมันอย่างไม่หวาดกลัวสิ่งใด ก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “เจ้าทำตัวให้เหมือนคนออกบวชสักนิดได้มั้ย? ไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าฝึกวิชาพุทธออกมาได้ยังไง”

ศีลแปดเอียงหน้ามองนางแวบหนึ่ง แล้วมองเนื้อในมือตามสายตานาง จากนั้นหัวเราะแห้งๆ แล้วบอกว่า “เหล้าเนื้อผ่านลำไส้ พุทธสถิตกลางหทัย เดิมทีข้าก็เน้นจิตใจอยู่แล้ว ตราบใดที่ในใจมีพุทธะ ภายนอกล้วนไม่สำคัญ จุดสำคัญอยู่ที่ภายใน”

อวี้หลัวช่าที่สีหน้าดูเกียจคร้านช้อนตามองเขา “ข้ออ้าง! พี่ใหญ่ให้เจ้ามาเหรอ?”

พอเอ่ยถึงเหมียวอี้ ศีลแปดก็ตอบอย่างคลุมเครือทันที “อื้ม พี่ใหญ่ให้ข้ามาเยี่ยมเจ้า”

คำพูดนี้อวี้หลัวช่าได้ฟังแล้วดีใจ นางก้มลงจูบที่หน้าอกเขาแล้วนอนหมอบบนนั้น “เรื่องที่สระน้ำมังกรดำใหญ่ขนาดนั้น รายละเอียดเป็นยังไงกันแน่? พี่ใหญ่คงไม่ได้ให้เจ้ามาหลบภัยหรอกใช่มั้ย?”

“สระน้ำมังกรดำ?” ศีลแปดแปลกใจ เขาไม่ได้มีความทรงจำเรื่องนี้ติดอยู่ในหัวเลยสักนิด เขากลอกตาไปมาพร้อมถามว่า “สระน้ำมังกรดำนั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก ยังดีๆ”

อวี้หลัวช่าขยับคิ้ว จากนั้นเงยหน้าช้าๆ ค่อยๆ เท้าแขนลุกขึ้นนั่ง แล้วมองลงมาที่เขาด้วยสายตาเย็นเยียบ

…………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา!

เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’

เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น

เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง

ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง!

หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน

แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น

ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด

ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท