บทที่ 480 บังเอิญจริง ๆ
บทที่ 480 บังเอิญจริง ๆ
“อาซือ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
เจี่ยงเถิงเห็นความกังวลสะท้อนออกมาทางแววตาของหลินซือ จึงรีบเดินไปข้างกายของนาง แล้วถามขึ้นอย่างอ่อนโยน
หลินซือยังไม่ทันได้พูดสิ่งใด ตู้เหิงก็เอ่ยปากพูดเสียก่อน “ร้านอวี้ฝูลอกเลียนแบบหยกจากร้านอวี้หยวน ทำไม หรือว่าพวกเจ้าจะมาช่วยนางบิดเบือนความจริง?”
“ไม่ใช่นะ” หลินซือดึงแขนเสื้อของเจี่ยงเถิงไว้ แล้วอธิบายด้วยเสียงเบา “นั่นคือฝีมือของอวี้อวี้ เดิมทีไม่ควรวางในร้าน ข้าเองก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่เห็นว่ามันสวยดีเลยนำมาวาง”
ลูกค้ารอบตัวมองมาอย่างคึกคัก เจี่ยงเถิงรู้ดีว่าเรื่องนี้อาจจะทำลายร้านหยกอวี้ฝูได้ จึงเริ่มเป็นกังวลใจขึ้นมา
ใบหน้าของเขาไม่ได้แสดงความรู้สึกใด นอกจากกดไหล่ของหลินซือและพูดอย่างหนักแน่นว่า “ไม่เป็นไร หลินซือ ข้าเข้าใจ”
ทั้งสองคนจู๋จี๋อี๋อ๋อกัน แต่ตู้เหิงยังคงวิพากษ์วิจารณ์อย่างเต็มที่
เหยาเอ้อหลางทนไม่ไหว เขาไม่มีทางเชื่อว่าเรื่องเหล่านี้เป็นฝีมือของหลินซือแน่นอน จึงตบไหล่ของชายหนุ่มที่ยิ้มแย้มตลอดเวลาข้างกาย ผลักเจ้าตัวไปข้างหน้า “คุณหนูตระกูลตู้บอกว่านี่เป็นสินค้าของร้านหยกอวี้หยวน อะไรจะบังเอิญเช่นนั้น ไปดูสิว่าเป็นของเจ้าหรือไม่”
ชายหนุ่มผู้นั้นคือหลี่จื้อสิง ลูกชายของเถ้าแก่ร้านหยกอวี้หยวนคนปัจจุบัน ช่วงก่อนหน้านั้นเหยาเอ้อหลางมักจะนัดรวมตัวกับพวกสหายตนเองในเมืองหลวงอยู่บ่อยครั้ง จึงทำให้ได้รู้จักกัน
ยามนั้นเขามองว่าคนผู้นี้สุภาพเรียบร้อยใสซื่อ แต่กลับต้องตกใจกับความสามารถในการดื่มสุราไม่น้อย สุดท้ายวงสุราคราวนั้นเหลือเพียงพวกเขาที่ยังมีสติเพียงสองคนบนโต๊ะ พอได้ร่ำสุราก็ถูกใจกัน และกลายเป็นสหายกันในที่สุด
แต่เมื่อไม่กี่วันก่อนหลี่จื้อสิงต้องออกจากเมืองหลวงเพราะเรื่องกิจการ เหยาเอ้อหลางก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้
คาดไม่ถึงว่าการที่เหยาเอ้อหลางตามเจี่ยงเถิงมาหาหลินซือที่นี่ จะบังเอิญได้เจอกับหลี่จื้อสิงที่กลับเมืองหลวงมาแล้ว
ครั้นหลี่จื้อสิงได้ยินชื่อของร้านหยกอวี้ฝู และได้ยินว่าพวกเขาจะมาจึงรีบโยนกระเป๋าเดินทางให้คนรับใช้ แล้วตามพวกเขามาด้วยกัน
เดิมทีหลี่จื้อสิงแค่อยากมาดูเฉย ๆ แต่ถูกเหยาเอ้อหลางผลักไปหน้าตู้วางสินค้า จึงจำต้องมองปิ่นที่มีรูปแบบแทบจะเหมือนกันทั้งสองอันนั้น
“ช้าก่อน” หลังจากมองครู่หนึ่ง สีหน้าของหลี่จื้อสิงก็เคร่งขรึมขึ้นฉับพลัน จากนั้นก็ชี้ไปทางหลินซือหลังตู้วางสินค้าแล้วพูดว่า “แม่นางหลิน เจ้าช่วยหยิบปิ่นอันนั้นออกมาให้ข้าดูอย่างละเอียดหน่อยได้หรือไม่?”
หลินซือรู้สถานะของหลี่จื้อสิงมาจากเจี่ยงเถิงแล้ว พาให้รู้สึกลำบากใจไม่น้อย ครั้นได้ยินเขาพูด ก็รีบหยิบปิ่นปักผมอันนั้นแล้วยื่นให้อีกฝ่ายด้วยความเกรงใจ
หลี่จื้อสิงถือปิ่นปักผมแล้วมองพิจารณาซ้ายทีขวาที จากนั้นก็ถือวิสาสะหยิบปิ่นปักผมของตู้เหิงขึ้นมาดู แล้วคลี่ยิ้มทันใด
ปิ่นปักผมของตู้เหิงถูกโยนกลับไปบนตู้วางสินค้า ส่วนอีกด้ามยังคงถืออยู่ในมือของตน จากนั้นก็พูดกับหลินซืออย่างอ่อนโยนและสุภาพว่า “ข้าขอถามหน่อยว่าปิ่นปักผมอันนี้ใครเป็นคนทำ?”
“เด็กบ้านี้เป็นอะไรไป?” ตู้เหิงชิงพูดแทรกหลินซืออีกครั้ง จากนั้นก็หยิบปิ่นปักผมที่ถูกโยนอย่างไร้เยื่อใยบนตู้วางสินค้าของตัวเองขึ้นมาด้วยความปวดใจ “พวกเขาบอกว่าเจ้าคือเจ้าของร้านหยกอวี้หยวนสินะ เหตุใดถึงยังยิ้มหน้าระรื่นได้ทั้ง ๆ ที่มีผู้อื่นเลียนแบบสินค้าของเจ้า ข้าช่วยพวกเจ้าจับของลอกเลียนแบบแต่กลับกล้าโยนของของข้าเช่นนี้!”
หลี่จื้อสิงเหยียดยิ้มมุมปากเล็กน้อย แล้วพูดกับหลินซือด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คุณหนูหลิน เจ้าโปรดรอสักครู่”
จากนั้นก็หันไปมองตู้เหิง เสียงของหลี่จื้อสิงเย็นชาลงมากทีเดียว “ฮูหยิน ดูจากวิธีการแกะสลักแล้ว ปิ่นที่อยู่ในมือของท่านเทียบไม่ได้แม้แต่หนึ่งในสิบของปิ่นชิ้นนี้ ถ้ามีตาหามีแววไม่ก็อย่ามาปล่อยไก่ทำเรื่องหน้าอายที่นี่”
“อะไรนะ?!” ตู้เหิงโกรธจนควันแทบออกหู “เห็นได้ชัดว่านั้นเป็นรูปแบบที่เหมือนกับของข้า วัสดุของข้าก็ดีกว่าอันนั้น เพื่อช่วยหลินซือเจ้ายอมทำลายชื่อเสียงของร้านอวี้หยวนเลยเชียวหรือ?!”
หลี่จื้อสิงยิ้มเยาะเย็นชา จากนั้นก็นำปิ่นปักผมในมือออกมาพิจารณาอย่างระมัดระวัง มองดูหยกสีขาวที่นวลละเอียดพลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ปิ่นปักผมสองอันนี้ มองแวบแรกจะเห็นว่ามันมีลักษณะที่ไม่แตกต่างกันมานัก ทั้งสองอันล้วนใช้ทักษะในการแกะสลักค่อนข้างนาน แต่คนที่เข้าใจอย่างลึกซึ้งยิ่งกว่าจะสังเกตเห็นว่าปิ่นในมือของข้าถูกแกะลึกลงไปสามชั้น ส่วนปิ่นในมือของท่านแกะลึกลงไปสองชั้น ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ปิ่นทั้งสองอันแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ทั้งต้าเยี่ยนคนที่สามารถทำปิ่นเช่นนี้ออกมาได้มีไม่กี่คนเท่านั้น เกสรดอกไม้ทุกดอกมีทั้งหมดแปดก้าน แต่ของท่านมีแค่หกก้าน รายละเอียดอื่น ๆ ยังมีมากกว่านี้ ท่านอยากฟังหรือไม่เล่า?”
ตู้เหิงมีสีหน้าซีดเผือดลง มือที่ถือปิ่นไว้สั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้
หลินซือเองก็คาดไม่ถึงว่าปิ่นที่อวี้อวี้ทำแบบไม่จริงใจด้ามนั้นจะประณีตงดงามเพียงนี้ จึงได้มองไปทางเจี่ยงเถิงด้วยความตื่นตระหนก
เจี่ยงเถิงอธิบายให้นางฟังด้วยเสียงแผ่วเบา “ลายดอกไม้ที่นูนออกมาเป็นทักษะที่พัฒนามาจากการนำดอกไม้มาซ้อนทับกันหลายชั้น มีการแกะสลักเป็นลวดลายแบบฉลุที่ละเอียดอ่อนและชำนาญ ใช้ทักษะที่ขับให้พื้นผิวของวัตถุนูนออกมาเป็นรูปร่าง กลายเป็นเครื่องประดับที่มีการแกะสลักอย่างงดงามและสมจริง ทักษะนี้จะบอกว่ายากก็ไม่ยาก แต่การแกะสลักลึกลงไปถึงสามชั้น ข้ายังไม่เคยเห็นมาก่อน อาจารย์ที่เจ้าเชิญมา เก่งยิ่งนัก”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว” หลินซือลำพองใจขึ้นมาอีกครั้ง “ยามนั้นข้าบากหน้าไปหาอยู่นานกว่าพี่อวี้ถึงจะยอมตกลง”
สิ่งที่ออกมาจากปากของหลินซือคือประโยคที่เยินยอต่อชายอีกคน จึงได้สร้างความหึงหวงขึ้นภายในใจของเจี่ยงเถิงอย่างอดไม่ได้
แต่ครั้นเห็นสีหน้าที่ไม่ใส่ใจของหลินซือ เจี่ยงเถิงกลับทำได้แค่กล้ำกลืนฝืนทน แกล้งทำเป็นไม่สนใจยามต้องเผชิญหน้ากับการหยอกเย้าของเหยาเอ้อหลาง
ผู้ที่อยู่โดยรอบต่างพากันตื่นตกใจกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกินกว่าจะจินตนาการได้ หลังจากความเงียบเมื่อครู่มลายหายไปก็เริ่มถกเถียงกันขึ้นมาเสียงดัง
“คาดไม่ถึงว่าสินค้าในร้านหยกอวี้ฝูจะมีราคาถูก และฝีมือดียิ่งกว่า”
“ใช่ ๆ ต่อไปเราก็ไม่ต้องไปร้านหยกอวี้หยวนแล้ว ข้าว่าร้านหยกอวี้ฝูดีกว่าเป็นไหน ๆ”
“ได้ยินไหม คนผู้นั้นเป็นเจ้าของร้านหยกอวี้หยวน เขาเองก็พูดแล้ว คงไม่มีปัญหาแน่นอน”
…
ตู้เหิงได้ยินเสียงเซ็งแซ่รอบกาย จึงทำได้แค่กัดฟันกรอด
เดิมทีนางดีใจมากที่ได้เห็นปิ่นปักผมอันนั้น คิดว่าร้านค้าขนาดเล็กแห่งนี้จะเปิดต่อไปไม่ได้ คาดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วกลับเป็นฝ่ายลำบากแทนผู้อื่นเสียเอง จับพลัดจับผลูมาช่วยป่าวประกาศร้านหยกอวี้ฝูของหลินซือออกไปเสียอย่างนั้น
“ท่านแม่” ลู่เหยาทนดูต่อไปไม่ได้ นางหันไปดึงแขนเสื้อของตู้เหิง “เราไปกันเถิดเจ้าค่ะ”
ตู้เหิงมองลูกสาวผู้ไม่มีปากมีเสียง แล้วมองไปทางหลินซือที่มีความสดใสและความใจกว้าง ความไม่สมดุลในหัวใจก็พลันทวีคูณ
นางดึงแขนเสื้อของตัวเองออก จากนั้นก็เดินดุ่ม ๆ ออกไปด้วยความโกรธเคืองโดยไม่แม้แต่จะสนใจลู่เหยาแต่อย่างใด
หลินซือมองไปทางตู้เหิงที่เดินออกไป นัยน์ตาเคร่งขรึมลงเล็กน้อย นางจดจำสิ่งนี้ไว้ขึ้นใจ จากนั้นก็เดินมาตรงหน้าของหลี่จื้อสิงแล้วพูดอย่างจริงใจ “ขอบคุณคุณชายหลี่ที่ออกโรงช่วยเหลือเจ้าค่ะ”
หลี่จื้อสิงยิ้มพลางโบกมือไปมา “ข้าแค่พูดความจริง ไม่มีอะไรต้องขอบคุณ”
“อ่อ จริงสิ แม่นางหลิน ตอนนี้เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าปิ่นปักผมอันนี้เป็นฝีมือของผู้ใด?” หลี่จื้อสิงยิ้มโดยไม่มีคิดอะไรเหมือนปกติก็มิปาน แต่เจี่ยงเถิงกลับมองออกว่าภายในของอีกฝ่ายนั้นแฝงไปด้วยความกังวล
“แน่นอน นี่คืออาจารย์ที่ข้าเชิญมาด้วยตนเองมีชื่อว่า…”
“ข้างนอกเกิดอะไรขึ้น? เสียงดังเหลือเกิน!” หลินซือยังไม่ทันพูด อวี้อวี้ที่มีสีหน้าเบื่อหน่ายก็ปรากฏตัวหน้าประตูหลังร้าน “หลินซือเจ้าไม่ดูแลร้านเลยหรือ ทำไมถึงได้เสียงดังโหวกเหวกจนทำให้ข้าทำงานไม่ได้เช่นนี้”
“ชื่อว่าอาจารย์อวี้อวี้” หลินซือเติมคำพูดที่จะพูดเมื่อครู่ลงไปให้จบประโยค
ความจริงไม่ต้องให้นางบอก ตอนนี้หลี่จื้อสิงก็จับจ้องไปยังอวี้อวี้จนตาไม่กะพริบอยู่แล้ว…
……………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เก็บเศษหน้าทันไหมเนี่ยตู้เหิง โดนผู้เชี่ยวชาญตอกกลับรัวขนาดนี้
คุณชายหลี่กับช่างฝีมืออวี้นี่เกี่ยวข้องอะไรกันหรือเปล่านะ
ไหหม่า(海馬)