ในที่ประชุมมีขุนนางไม่น้อยรู้สึกประหลาดใจ ทุกสายตาไปรวมอยู่ที่ตัวเขาอย่างอดไม่ได้ ไม่รู้ว่าทำไมชวีหลิงจวินจึงกระโดดออกมาช่วยบันทึกผลงานให้หนิวโหย่วเต๋อ แต่เรื่องนี้มีสาเหตุแน่นอน เมื่อเห็นพวกข้างหน้าไม่ได้บอกใบ้อะไร พวกเขาก็ได้แต่มองความเปลี่ยนแปลงเงียบๆ เช่นกัน
พอเห็นปฏิกิริยาของกลุ่มขุนนาง ประมุขชิงก็แสยะยิ้มในใจ แล้วถามคำเดิมอีกว่า “ขุนนางท่านไหนมีความเห็นต่างหรือไม่?”
ในที่ประชุมเงียบงัน เงียบวิเวกนิดหน่อย เซี่ยโห้วลิ่งหันกลับไปมองปฏิกิริยาของทุกคน ในใจยิ้มเย้ยเช่นกัน รู้ว่าขุนนางพวกนั้นล้วนไม่อยากขอผลงานให้หนิวโหย่วเต๋อ แต่กลับไม่สะดวกจะคัดค้าน
อาจเพราะเห็นว่าชวีหลิงจวินออกเสียงคนเดียวคงเหงาไปหน่อย ผ่านไปสักประเดี๋ยวจึงมีคนก้าวออกนอกแถวอีก กุมหมัดคารวะกล่าวว่า “ฝ่าบาท สร้างผลงานแล้วได้รางวัลคือเรื่องที่สมควรแล้ว ข้าน้อยเห็นด้วย”
“ดูท่าคงไม่มีความเห็นแย้งอื่นแล้ว” ประมุขชิงหัวเราะเบาๆ แล้วถามอีกว่า “ทุกคนคิดว่าจะให้รางวัลยังไงดี?”
“ตามพยานบอกเล่าจำนวนมาก ทัพใหญ่แดนรัตติกาลสังหารโจรไปไม่ต่ำกว่าแสน ทัพใหญ่แดนรัตติกาลเองก็เสียหายไปเกือบสี่หมื่น เป็นศึกเลือด ตามความเห็นของข้าน้อย เลื่อนตำแหน่งให้อีกขั้นก็ไม่ถือว่าเกินไปขอรับ” ชวีหลิงจวินออกหน้าอีกแล้ว
พยานบอกเล่าเหรอ? พยานบอกเล่าอะไรกัน? ประมุขชิงรู้อยู่แจ่มแจ้งว่าเป็นคำลวง แต่ก็รู้เช่นกันว่าถ้าขุนนางพวกนี้พร้อมใจกัน การหาพยานบอกเล่ามาก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร มิหนำซ้ำเขาก็มีแนวคิดของเขาอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเอ่ยเรื่องพยาน เพียงกล่าวเสียงเรียบว่า “วรยุทธ์ของเขายังแค่ระดับบงกชรุ้ง ตอนนี้เขาอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าภาค ถ้าเลื่อนตำแหน่งอีกขั้นก็จะเป็นท่านโหวแล้ว อย่าบอกนะว่าเจ้าจะให้สร้างตำแหน่งโหวขึ้นมาอีกหนึ่งตำแหน่ง หรือว่ามีใครยินดีจะหลีกทางให้ล่ะ?”
ในราชสำนักมีคนไม่น้อยแสดงปฏิกิริยาชัดเจน โดยเฉพาะท่านโหวเหล่านั้น ใจเย็นต่อไปไม่ได้แล้ว
ชวีหลิงจวินรีบบอกว่า “ฝ่าบาท ข้าน้อยไม่ได้หมายความอย่างนี้ ถ้าเป็นตำแหน่งโหว ประสบการณ์ของหนิวโหย่วเต๋อเหมือนจะยังห่างไปหน่อย แล้วเดิมทีหนิวโหย่วเต๋อก็อยู่ใต้สังกัดตำหนักนารีสวรรค์อยู่แล้ว ตำหนักนารีสวรรค์ยังคุมตลาดสวรรค์ ไม่สู้ให้เขาเลื่อนตำแหน่งในขอบเขตตำหนักนารีสวรรค์ดีกว่า นับว่าสมเหตุสมผลเช่นกัน” ยามคนพวกนี้จะจัดการเรื่องอะไร ก็มักจะหาเหตุผลมาได้เสมอ
พอเขากล่าวอย่างนี้ สายตาของบรรดาท่านโหวที่จ้องมาถึงได้อ่อนโยนขึ้น
“ถ้าเลื่อนอีกขั้นก็เป็นผู้ตรวจการใหญ่ตลาดสวรรค์น่ะสิ? ก็ดีเหมือนกัน ผู้ตรวจการใหญ่เก้าตำแหน่งของตลาดสวรรค์ บวกไปอีกหนึ่งก็เป็นสิบพอดี ถ้าทุกคนไม่ว่าอะไร งั้นก็แบ่งเขตปกครองตลาดสวรรค์ใหม่ให้ผู้ตรวจการใหญ่สิบตำแหน่งแล้วกัน” ประมุขชิงกล่าว
ก่วงจวินอันรีบก้าวออกมา กุมหมัดคารวะ “ฝ่าบาท หนิวโหย่วเต๋อประสบการณ์น้อย ถ้าให้เขาเป็นผู้ตรวจการใหญ่ตลาดสวรรค์ เกรงว่าจะคุมคนลำบาก ตามความเห็นของข้าน้อย ไม่สู้ให้เขาอยู่ในตำแหน่งลอยไปก่อน ส่วนตำแหน่งที่ขาดจริงๆ ไม่สู้ปล่อยให้ว่างไว้ก่อน ให้เวลาเขาเรียนรู้อีกสักระยะ รอให้เขาเหมาะสมกับตำแหน่งจริงๆ ก่อน แล้วค่อยแบ่งใหม่ก็ยังไม่สาย!”
ในฐานะที่เป็นลูกชายคนโตของอ๋องสวรรค์ก่วง ที่เขาออกมาพูดด้วยตัวเอง ก็เพราะดูออกว่าประมุขชิงจะฉวยโอกาสนี้ซ้ำเติม ที่ตระกูลก่วงยอมให้อิ๋งจิ่วกวงมอบตำแหน่งผู้ตรวจการใหญ่ตลาดสวรรค์ให้หนิวโหย่วเต๋อ เดิมทีก็ไม่ค่อยเต็มใจอยู่แล้ว มีหรือที่จะให้หนิวโหย่วเต๋อกุมอำนาจมหาศาลของตลาดสวรรค์เอาไว้จริงๆ ที่นั่นคือแหล่งรายได้ใหญ่ที่สำคัญมาก
ประมุขชิงตอบว่า “เป็นแค่ตำแหน่งลอยเท่านั้น จะเหมาะสมเหรอ? เลื่อนตำแหน่งให้แต่กลับไม่มีงานทำ ถ้าข่าวลือออกไปคนจะไม่เข้าใจผิดว่ากำลังเลื่อนตำแหน่งให้เพียงฉากหน้าหรอกหรือ จะให้รางวัลแบบนี้ได้ยังไง?”
“แต่พ่วงตำแหน่งทูตลาดตระเวนตลาดสวรรค์ ตำแหน่งหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลเขาก็ควบต่อไปได้ เรียกได้ว่าได้ผลดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย” ก่วงจวินอันตอบ
ประมุขชิงแสยะยิ้มในใจอีกครั้ง สายตามองไปที่กลุ่มขุนนาง สื่อว่ากำลังถามความเห็นจากทุกคน
“ข้าน้อยเห็นด้วย!”
“ข้าน้อยเห็นด้วย!”
ชั่วพริบตานั้นขุนนางกลุ่มใหญ่พากันแสดงออกว่าเห็นด้วย ล้วนเป็นคนในเครือข่ายของตระกูลก่วง ก่วงจวินอันออกหน้าด้วยตัวเองแล้ว ท่าทีของตระกูลก่วงชัดเจนแล้ว พรรคพวกของตระกูลก่วงก็ย่อมส่งเสียงช่วย
คนของตระกูลอื่นกลับยืนเงียบอยู่ที่เดิม ไม่ได้บอกว่าเหห็นด้วย แต่ก็ไม่คัดค้านเช่นกัน นับว่าไว้หน้าตระกูลอิ๋งเต็มที่แล้ว
สายตาประมุขชิงไปหยุดอยู่ที่เซี่ยโห้วลิ่ง ดวงตาฉายแววหยอกล้อ
เซี่ยโห้วลิ่งหลุบตาลง ทำท่าเหมือนเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง
“ในเมื่อไม่มีใครคัดค้าน เรื่องนี้ก็ส่งต่อให้ตำหนักนารีสวรรค์ไตร่ตรองจัดการเอาเองแล้วกัน” ประมุขชิงโบกมือ ขี้คร้านจะอ้อมค้อมกับคนพวกนี้ต่อไป นับว่าเรื่องนี้ผ่านไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะอยากเห็นว่าเหมียวอี้จะลงมือกับตระกูลอิ๋งอย่างไร เขาก็อาจจะไม่ช่วยให้เรื่องในครั้งนี้สมปรารถนาเลย ไม่แน่ว่าอาจจะสั่งสอนเหมียวอี้ด้วยซ้ำ
ที่จริงการประชุมขุนนางก็เป็นอย่างนี้ พ่อตาบอกตัวเองมีเหตุผล แม่ยายบอกตัวเองมีเหตุผล ทุกคนต่างก็บอกว่าตัวเองมีเหตุผล จากไม่มีเหตุผลก็กลายเป็นมีเหตุผลได้
การประชุมขุนนางอนุมัติเรื่องนี้แล้ว ตำหนักนารีสวรรค์ย่อมไม่ขัดขวาง ส่งคำสั่งแต่งตั้งออกมาอย่างรวดเร็ว
“หัวหน้าภาคหนิว…ไม่สิ ตอนนี้ควรจะเรียกว่าผู้ตรวจการใหญ่หนิวแล้ว ยินดีด้วย”
จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล เหวินเจ๋อที่นำคำสั่งมาส่งเรียบร้อยแล้วกุมหมัดแสดงความยินดี ขณะเดียวกันก็ส่ายหน้าเดาะลิ้นไม่หยุด
เหมียวอี้รีบตอบกลับอย่างสุภาพ “เรื่องปราบโจรที่สระน้ำมังกรดำ เหล่าพี่น้องล้วนสละชีวิต หนิวก็แค่มีวาสนาได้อาศัยบารมีไปด้วย”
เหวินเจ๋อหัวเราะเบาๆ คิดในใจว่าเจ้ากับตระกูลอิ๋งต่างก็รู้อยู่แก่ใจ แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องเปิดโปงเช่นกัน เพราะเปิดโปงไปอีกฝ่ายก็อาจไม่ยอมรับก็ได้ ไม่จำเป็นต้องหาเรื่องใส่ตัว
หลังจากนั้น ทางนี้ก็รั้งให้เหวินเจ๋ออยู่ต่ออีกสองสามวัน แต่เหวินเจ๋อปฏิเสธ เขารักษาความสัมพันธ์กับเหมียวอี้เอาไว้ แต่กลับไม่ยอมคบกันลึกซึ้งกว่านี้ ถึงอย่างไรตอนแรกทั้งคู่ก็อยู่ที่กองทัพองครักษ์เหมือนกัน สมาชิกกองทัพองครักษ์ไม่สะดวกจะสนิทสนมกับขุนนางภายนอกเกินไป โดยเฉพาะคนที่ประจำอยู่ที่วังสวรรค์ในระยะยาวก็ยิ่งต้องควบคุมตัวเอง
เหมียวอี้ไปส่งคณะของเหวินเจ๋อที่นอกประตูจวนด้วยตัวเอง มองส่งคนที่เหาะขึ้นฟ้าพลางโบกมือให้
จนกระทั่งมองไม่เห็นเงาคนแล้วถึงได้หันตัวมา ถึงได้พบว่าข้างหลังมีกลุ่มคนรีบยืนจัดแถวอย่างรวดเร็ว โดยมีสวีถังหรานคนนำ กลุ่มคนทยอยกันกุมหมัดคารวะ “คารวะผู้ตรวจการใหญ่!”
เสียงดังสะเทือนไปสี่ด้านแปดทิศ แสดงถึงความปีติยินดี
ตอนนี้เหมียวอี้คนเดียวควบสามตำแหน่ง หัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ทูตลาดตระเวนตลาดสวรรค์ ผู้ตรวจการใหญ่ตลาดสวรรค์ แม้ผู้ตรวจการใหญ่จะเป็นตำแหน่งลอย แต่กลับมีระดับสูงที่สุด พวกลูกน้องย่อมเรียกด้วยตำแหน่งที่สูงที่สุด
นกที่อยู่รอบๆ ตกใจเสียงของคนกลุ่มนี้จนบินหนีไปหมด
ในลานบ้านของหัวหน้าภาค อวิ๋นจือชิวรวมทั้งกลุ่มผู้หญิงที่อยู่ข้างกายหันไปมองทางประตูใหญ่นอกจวน เดิมทีก็รอฟังข่าวดีอยู่ที่นี่อยู่แล้ว จู่ๆ ก็มีเสียงนี้ดังขึ้น ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก ส่วนใหญ่ทำสีหน้างุนงง
“ข้าไม่ได้ฟังผิดใช่มั้ย?” เสวี่ยหลิงหลงที่สวมหมวกบนศีรษะทำสีหน้าตกตะลึง ถามอย่างงุนงงว่า “พวกเขาตะโกนอะไรนะ? กำลังตะโกนว่าผู้ตรวจการใหญ่เหรอ? กำลังตะโกนเรียกนายท่านหรือเปล่า?”
อย่าว่าแต่นางเลย ตอนที่เหมียวอี้จัดการเรื่องนี้ แม้แต่สวีถังหรานก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ แล้วเสวี่ยหลิงหลงจะไปรู้ได้อย่างไร? ก่อนหน้านี้นางเพียงได้ยินสวีถังหรานบอกเรื่องที่หัวหน้าภาคจะขอผลงานให้ทุกคน คำสั่งประทานรางวัลกำลังจะมาถึงแล้ว ให้นางไปรายงานข่าวดีให้ฮูหยินรู้
หลินผิงผิงก็งงงวยเช่นกัน หยางเจาชิงรู้เรื่องนี้ เพราะหยางเจาชิงเป็นคนจัดการเรื่องข้อตกลงลับ แต่เรื่องงานหยางเจาชิงปิดปากสนิทมาก ส่วนใหญ่จะไม่บอกเรื่องงานให้ฮูหยินของตัวเองรู้
“ผู้ตรวจการใหญ่?” เฟยหงค่อนข้างประหลาดใจ
มู่หรงซิงหัวดึงสติกลับมาอย่างยากลำบาก ตำแหน่งผู้ตรวจการใหญ่มีเพียงสองที่เท่านั้น หนึ่งคือกองทัพองครักษ์ สองคือตลาดสวรรค์ นอกจากสองแห่งนี้ก็ไม่มีที่อื่นแล้ว ผู้ตรวจการใหญ่ของกองทัพองครักษ์คุมทัพใหญ่ร้อยล้าน แทบจะตำแหน่งสูงสุดในบรรดาทหารแล้ว แม้ระดับผู้ตรวจการใหญ่ของตลาดสวรรค์จะเทียบกองทัพองครักษ์ม่ได้ แต่ในมือก็คุมตลาดสวรรค์หนึ่งพันแห่ง ไม่รู้ว่าในมือกุมช่องทางรายได้สำคัญของคนไว้มากมายเท่าไร สรุปก็คือไม่ว่าจะเป็นผู้ตรวจการใหญ่ของที่ไหน ก็ล้วนข้ามระดับแม่ทัพใหญ่ไปแล้วทั้งนั้น
ซิงกำลังยืนอยู่ใต้ร่มไม้ที่อยู่ไม่ไกล พอได้ยินแล้วขมวดคิ้วเล็กหน่อย ปากพึมพำว่า “ผู้ตรวจการใหญ่?”
ถ้าจะบอกว่าตอนนี้นางเป็นบ่าวรับใช้ของเหมียวอี้ ไม่สู้บอกว่าเป็นบ่าวรับใช้ของอวิ๋นจือชิว คอยติดตามฟังคำสั่งอวิ๋นจือชิว
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์มีสีหน้าปลาบปลื้ม เฟยหงค่อยๆ หันไปมองอวิ๋นจือชิว แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ฮูหยิน พวกเขาตะโกนเรียกนายท่านเหรอคะ?”
อวิ๋นจือชิวยิ้มอย่างสำรวมท่าที แล้วส่ายหน้าเบาๆ “ไม่แน่ใจ อีกประเดี๋ยวก็รู้แล้ว” ที่จริงนางก็รู้เรื่องแล้ว แต่ในบางมุมนางก็ไม่เคยแสดงออกเลย นางย่อมมีวิธีวางตัวของตัวเอง
ผู้หญิงกลุ่มนี้เริ่มเฝ้าคอยแล้ว
นอกประตูใหญ่จวนหัวหน้าภาค เหมียวอี้ยกมือสองข้าง พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องมากพิธี”
หลังจากลุกขึ้นแล้ว สวีถังหรานยิ้มราวกับดอกไม้บาน ก่อนหน้านี้ตอนที่ได้ยินคำสั่งนี้ในตำหนักประชุม เขาก็ยังนึกว่าตัวเองฟังผิดไป นึกไม่ถึงจริงๆ ว่านายท่านจะเก็บงำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ไว้ ทุกคนผลัดกันไปตรวจดู เขาเองก็เห็นแล้ว เขาได้เลื่อนขั้นกลายเป็นแม่ทัพเกราะม่วงห้าแทบ
ชิงเยว่ยิ้มพลางชี้เกราะรบสีแดงในมือเหยียนซิว “ผู้ตรวจการใหญ่จะนำเกราะรบชุดใหม่ไปลองว่าพอดีตัวหรือเปล่า ใช่มั้ย?”
“ดี!” สวีถังหรานปรบมือชม
“ดี!” คนกลุ่มหนึ่งส่งเสียงตาม หลงซิ่นก็หัวเราะร่าเช่นกัน เจอกับเรื่องมงคลแบบนี้ ทุกคนล้วนดีใจ ทั้งยังได้พบเรื่องน่ายินดีเหมือนกันด้วย ทุกคนล้วนได้เลื่อนยศ
ท่ามกลางคำขอที่อบอุ่นจากทุกคน เหมียวอี้ส่ายหน้าพลางรับเกราะรบมาจากมือเหยียนซิว คลายสลักออกแล้วสวมใส่บนร่าง
สวีถังหรานเขามาใกล้ทันที เป็นฝ่ายเสนอตัวช่วยเหลือเอง ทุกคนชินกับจอมประจบคนนี้แล้ว
ใช้เวลาไม่นาน เกราะรบแม่ทัพใหญ่สีแดงของตำหนักสวรรค์ก็สวมอยู่บนตัวเหมียวอี้แล้ว แม้จะเป็นเกราะหนึ่งแถบ แต่สำหรับกลุ่มคนที่อยู่ตำหนักสวรรค์ ความรู้สึกเวลามองนั้นต่างกันมาก
“เป็นยังไงบ้าง?” เหมียวอี้กางแขนหมุนตัวพลางเอ่ยถาม
หลายปีที่แดนรัตติกาลอยู่อย่างสงบเสงี่ยม ด้วยความช่วยเหลือของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ เขาได้ยศเกราะม่วงห้าแถบแล้ว สูงกว่าสวีถังหรานหนึ่งขั้น ครั้งนี้เหมียวอี้เองก็ไม่เกรงใจ ฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีแรงต้านในการประชุม ขอให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ช่วยให้ตนเลื่อนยศข้ามไปเป็นแม่ทัพใหญ่เป็นกรณีพิเศษ ผลประโยชน์ที่ส่งให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ในหลายปีมานี้ก็ไม่ถือว่าสูญเปล่า
“ดี!”
“ดูดี!”
ทุกคนพากันปรบมือ สวีถังหรานตะโกนเสียงดังอีกครั้ง “เกราะรบนี้พออยู่บนตัวผู้ตรวจการใหญ่แล้ว ดูดีกว่าเกราะรบแม่ทัพใหญ่หกแถบเสียอีก!”
เหมียวอี้รอให้ทุกคนคึกคักกันพอสมสมควรแล้ว ก็กล่าวว่า “เรื่องให้รางวัล ทุกคนรีบแจกจ่ายให้พี่น้องเบื้องล่างเถอะ ให้ทุกคนได้ดีใจสักหน่อย”
“ขอรับ!” ทุกคนเอ่ยรับ ตอนที่ทยอยกันแยกย้ายออกไป บนใบหน้ายังเจือด้วยความปลาบปลื้ม การเลื่อนยศหมู่ครั้งนี้ช่างโหดนัก กำลังพลส่วนใหญ่ของแดนรัตติกาลแทบจะข้ามไปเป็นเกราะทองหมดแล้ว ส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าเหมียวอี้ทำได้อย่างไร หรือว่าในราชสำนักไม่มีใครคัดค้านเลย?
มีเพียงหยวนกงที่รู้อยู่แก่ใจ บนราชสำนักไม่เพียงแค่ไร้คนคัดค้าน ทั้งยังมีกลุ่มคนสนับสนุนด้วย นายท่านหนิวใช้กลยุทธ์ตีชิงตามไฟโดยไม่เกรงใจเลยสักนิด! แต่จะว่าไปแล้ว โอกาสดีๆ อย่างนี้ก็หายาก ถ้าปล่อยผ่านไปก็ถือว่าทำผิดต่อตัวเองจริงๆ
และมีเพียงหยวนกงที่ดีใจไม่ออก อำนาจที่เขาแอบกุมไว้เสียหายหนักมาก! รางวัลเล็กน้อยพวกนี้สำคัญเสียที่ไหน แต่ดันไม่มีทางบอกเล่าความทุกข์ในใจให้เหมียวอี้ฟังได้
…………………