บทที่ 525 รู้แจ้ง
บทที่ 525 รู้แจ้ง
หลังจากที่หลินซือเห็นหลินจื้อกลับไปแล้วนางก็เอาแต่ครุ่นคิดอย่างหนัก
ในตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ นางมักจะรู้สึกไร้เรี่ยวอยู่ลึก ๆ ในใจ
เรื่องนี้คนที่ไร้เดียงสาที่สุดก็คงจะเป็นไป๋หรูปิง แต่คนที่ต้องแบกรับผลลัพธ์ที่เลวร้ายทุกอย่างกลับเป็นบุตรสาวผู้ไร้เดียงสาที่สุด
ไม่ว่าตอนจบจะเป็นอย่างไร ย่อมไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงของไป๋หรูปิงแน่นอน
เรื่องนี้นางแค่คิด แต่กลับพูดไม่ออก
นางกำลังคิดว่าถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง ตนจะทำอย่างไร
ขณะที่หลินซือกำลังครุ่นคิดเรื่องนี้ เหยาซูก็เข้ามาพอดี
เวลานี้ความคิดของหลินซือค่อนข้างสับสน นางไม่สามารถเก็บความรู้สึกของตัวเองได้ตลอดเวลา ทุกอย่างล้วนแสดงออกมาทางสีหน้า
“ท่านแม่” หลินซือก้มหน้างุด แล้วขานเรียนเสียงแผ่ว
เหยาซูมองดูท่าทางของหลินซือ ก็พอเดาได้ว่าเพราะเหตุใด “คิดว่าเรื่องที่ข้าลงมือจัดการครานี้เป็นการไม่เห็นแก่หน้าของตระกูลเช่นนั้นหรือ?”
หลินซือส่ายหน้า ไม่ว่าอย่างไร เรื่องนี้สำหรับคนเป็นแม่พูดได้ว่ามิอาจกล่าวโทษได้ นางรู้สึกอย่างไรก็แสดงออกไปเช่นนั้น
เหยาซูแตะจมูกของหลินซืออย่างแผ่วเบา “ปากบอกว่าไม่มี แต่ในใจอาจจะบ่นข้าอยู่ก็ได้!”
“ไม่มี แค่รู้สึกโลกทุกวันนี้ช่างโหดร้ายสำหรับสตรีเหลือเกินเจ้าค่ะ”
หลินซือครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยประโยคนี้ต่อหน้าเหยาซู
หลังจากนั้นก็ก้มหน้ารอคำตอบของเหยาซู แต่นางก็เอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
หลินซือเงยหน้ามองตาของเหยาซูด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ โดยที่ไม่ได้ขุ่นเคืองหมองใจมากแต่อย่างใด
“โลกใบนี้สำหรับสตรีนับว่ายากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กสาวในตระกูลมั่งคั่งเฉกเช่นเจ้า”
ใบหน้าของเหยาซูเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม “เอ้อเป่าของข้าโตเป็นสาวแล้วจริง ๆ”
หลินซือมองเหยาซูที่อยู่ตรงหน้า ไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้มันเชื่อมโยงกันอย่างไร
เหยาซูมองไปยังหลินซือ จากนั้นก็ขยับปิ่นปักผมของลูกสาว “เจ้าคิดว่ากิจการของแม่เจ้าใหญ่โตถึงเพียงนี้ ในสายตาของพวกฮูหยินขุนนางชั้นสูงเหล่านั้น เจ้าคิดเห็นอย่างไร?”
หลินซือมึนงงไปชั่วขณะ แม้คนหนุ่มสาวไม่กี่คนใต้หล้านี้จะสามารถสร้างกิจการใหญ่โตได้เหมือนกับเหยาซู แต่การทำเช่นนี้ในสายตาของพวกฮูหยินขุนนางชั้นสูงนับว่าไม่สอดคล้องกันเอาเสียเลย
หลายปีมานี้เหยาซูไม่ได้อยู่ในเมือง หลินซือต้องจัดการทุกอย่างอยู่ในจวนเพียงลำพัง ในสายตาของพวกฮูหยินของขุนนางชั้นสูง นางนับเป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่ง แต่ยามที่เอ่ยถึงเหยาซูก็ยังอดเย้ยหยันไม่ได้อยู่ดี
“ท่านแม่…” หลินซือบังเอิญได้ยินประโยคเหล่านั้น แต่หลินซือไม่อาจพูดคำนั้นต่อหน้าของเหยาซูได้ อีกทั้งลูกสาวตระกูลไหนจะกล้าเอ่ยต่อหน้าหลินซือ
หลินซืออยากรู้เหตุผลของคนเหล่านี้อย่างอดไม่ได้
“ตอนข้ายังเยาว์วัยไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อน”
เห็นได้ชัดว่าเหยาซูไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องเหล่านี้นัก “วันเวลาผันผ่านไป เจ้าก็จะไม่ใส่ใจคำคนเอง”
ความจริงแล้วตระกูลหลินไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้ หลินเหราได้เรียนรู้เป็นครั้งแรกเหมือนกับตอนที่หลินซือและหลินจื้อยังเด็ก
แม้ในสายตาของคนภายนอกหลินซือจะเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง นับตั้งแต่ที่หลินจื้อได้ออกไปร่ำเรียน การเรียนของหลินซือล้วนเป็นเซี่ยเซียนที่คอยจัดการด้วยตนเอง
บางครั้ง เซี่ยเชียนจะพาหลินซือมายังวังหลวง แล้วปล่อยให้นางกำนัลในวังอบรมสั่งสอน
ความจริงแล้วในสายตาของเซี่ยเชียน ใคร ๆ ก็พอมองออก เซี่ยเชียนเสียดายหลินซือเด็กสาวคนนี้มาตลอด ในคำพูดของเซี่ยเชียน ถ้าหลินซือเป็นบุรุษก็คงจะกลายเป็นผู้นำกิจการคนหนึ่งไปแล้ว
หลินซือเข้าใจเรื่องเหล่านี้แทบจะทุกอย่าง แม้พวกเขาจะไม่กล้าพูดเรื่องเหล่านี้กับนางตรง ๆ แต่หลินซือก็พอจะอ่านความเสียใจได้จากแววตาที่สะท้อนออกมาของพวกเขา
เหยาซูเข้าใจดีว่าถ้าพูดเรื่องนี้ออกมาย่อมสร้างปมให้กับหลินซือ แต่นางก็ไม่รู้ว่าจะปลอบใจหลินซืออย่างไร
นี่คือยุคโบราณที่กฎระเบียบเข้มงวด มิใช่ราชวงศ์ที่เปิดกว้างพอจะยอมรับสตรีหัวขบถได้ หากหลินซือไม่สนใจสิ่งใดแล้วจริง ๆ แม้แต่องค์จักรพรรดิเองก็คงมิอาจปกป้องหลินซือได้
เหยาซูไม่ใส่ใจว่าผู้อื่นจะคิดอย่างไรกับตนเอง ครั้นเห็นหลินซือเริ่มเรียนรู้การทำกิจการนางก็ไม่เข้าไปขวางหรือก้าวก่ายแต่อย่างใด
แต่ในใจของเหยาซูก็พอชั่งใจได้ บางเรื่องเจอได้ แต่บางเรื่องเจอไม่ได้
สตรีสมัยโบราณยามประสบกับคำว่า ‘ชั้นศาล’ มีหลายคนต้องจบชีวิตลง
แม้เหยาซูจะรู้แจ้ง แต่นางก็รู้ดีว่าตนไม่อาจปกป้องหลินซือได้ทุกชาติทุกภพ
ครั้นปล่อยลูกไปก็เหมือนฆ่าลูก
“สมัยที่ข้าวัยเยาว์ ตอนที่หนีออกมาทำกิจการค้าขาย ข้าถูกผู้อื่นกลอกตาใส่ไม่น้อย ตอนนี้ต่างจับจ้องว่าใครเก่งกว่าใคร”
เหยาซูโอบกอดหลินซือไว้ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความอบอุ่น
หลินซือยิ้มพร้อมกับมองไปทางเหยาซู “ท่านแม่เป็นคนที่เก่งที่สุดเท่าที่ข้าเคยเจอมา ฮูหยินขุนนางชั้นสูงเหล่านั้นจะเก่งกว่าท่านแม่ได้อย่างไรเจ้าคะ?”
ประโยคนี้ของหลินซือไม่ได้โกหกแม้แต่น้อย ในตอนแรกฮูหยินผู้ร่ำรวยทั้งหลายดูถูกเหยาซูสารพัด บางครั้งที่ฮูหยินผู้ร่ำรวยเหล่านั้นจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ก็ไม่เคยส่งเทียบเชิญให้เหยาซูเลยสักครั้ง
บอกว่าเป็นงานเลี้ยงเหล่าขุนนางชั้นสูง ไม่เหมาะกับพวกละโมบโลภมาก
เหยาซูเข้าใจคำพูดของคนเหล่านี้ดี แต่นางกลับขบขันกับเรื่องแบบนี้ ต่างคนต่างมีความปรารถนาและหนทางต่างกัน เรื่องนี้นางย่อมรู้ดีกว่าใคร
แต่หลังจากที่หลินเหราพิชิตทุกศึกสงคราม เหยาซูก็ได้รับตำลึงเงินจากราชสำนักไม่น้อย ข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ค่อย ๆ ผันเปลี่ยนไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่องค์จักรพรรดิพระราชทานของรางวัลให้แก่เหยาซู
จักรพรรดิทรงปฏิบัติอย่างจริงใจเสมอ สำหรับพระองค์ไม่ว่าจะเป็นเหล่าขุนนางหรือว่าภรรยาของเหล่าขุนนาง ไม่ว่าจะบุรุษหรือสตรี หากแบ่งเบาภาระของเขาได้ยิ่งดี
เพราะเหตุนี้ขณะที่เหยาซูยิ่งทำการค้าก็ยิ่งเติบโตนั้น ทัศนคติของคนเหล่านี้ก็เริ่มเปลี่ยนไป ในงานเลี้ยง สถานะของเหยาซูก็ค่อย ๆ สูงขึ้นเรื่อย ๆ
ภรรยาขุนนางบางกลุ่มก็เริ่มสนับสนุนเหยาซู
เนื่องจากเรื่องเหล่านี้ผ่านไปเนิ่นนานแล้ว เหยาซูจึงไม่เคยพูดเรื่องนี้กับหลินซือ แต่ครั้นเห็นหลินซือดูสับสนอับจนหนทาง เหยาซูจึงทำได้แค่โน้มน้าวนางเท่านั้น
หลินซือไม่ใช่คนโง่ นางเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของเหยาซูอย่างชัดเจน
“ข้าแค่รู้สึกว่าโลกใบนี้…ไม่เอ่ยแล้ว ช่างเถิดเจ้าค่ะ” หลินซือยังคงสับสนในเรื่องนี้ นางและเหยาซูเหมือนกัน พวกนางไม่ใช่คนที่ล้มแล้วลุกไม่ได้ เพียงแต่ความรู้สึกเช่นนี้มันน่าโศกเศร้าเกินไป
เหยาซูมองหลินซือ “ข้าไม่ขอให้เจ้ามีเงินมีทองร่ำรวยอะไรมากมาย แค่ขอให้เจ้ามีชีวิตที่มีความสุขและอยู่รอดปลอดภัย ในเมื่อเจ้ามีปณิธานยิ่งใหญ่เพียงนี้ ไม่สู้ลองดูสักตั้งเล่า”
ตอนนี้ตระกูลหลินโดดเด่นเป็นอย่างมาก ประกอบกับเหยาซูไม่ได้ขัดสนเงินทอง ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลหลินยับยั้งชั่งใจ อาจถึงขั้นเรียกได้ว่าเป็นตระกูลที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ไปแล้ว คงมีแค่วังหลวงเท่านั้นที่มีอำนาจเงินตราแข่งกับตระกูลหลินได้
หลายปีมานี้หลินซือได้รับการสรรเสริญ และได้รับการเอ็นดูไม่น้อย แต่ก็ผ่านเรื่องราวมาไม่น้อย
หลินซือไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้กลายมาเป็นเรื่องนี้ได้ แต่นางประทับใจคำพูดของเหยาซูอย่างมาก นางหยุดทอดถอนใจทันใด และหันมองเหยาซูด้วยสายตาที่เปล่งประกาย
……………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
คู่ของอาจื้อกับน้องไป๋คงต้องรอคอยกันต่อไปจนกว่าอะไร ๆ จะลงตัวละมั้ง
ไหหม่า(海馬)