บทที่ 527 อยากเปิดเรือนการกุศล
บทที่ 527 อยากเปิดเรือนการกุศล
ครั้นหลินซือตื่นขึ้นในเช้าวันต่อมา ก็พบว่าท้องฟ้ายังคงมืดสลัว
เพราะเหตุผลหลายอย่างก่อนหน้านั้น ส่งผลให้หลินซือนอนไม่ค่อยหลับตลอดทั้งคืน เมื่อวานนางก็เอาแต่ครุ่นคิดทั้งคืน แต่ก็ยังคิดวิธีการที่ดีไม่ออก
หลังจากครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน หลินซือก็ตัดสินใจจะไปหาเซี่ยเชียน
ครั้นเซี่ยเชียนได้ยินว่าหลินซืออยากเจอตนก็ไม่ได้แปลกใจ กระทั่งพาหลินซือเข้ามาในห้อง
“เอ้อเป่ามีเรื่องกังวลใจอะไรหรือ?” ใบหน้าของเซี่ยเชียนแฝงไปด้วยรอยยิ้มเบาบาง
หลินซือไม่รู้ว่าจะพูดเรื่องนี้อย่างไร ความฮึกเหิมก่อนหน้านั้นกลับถูกความเยือกเย็นในยามราตรีพัดผ่านจนจางหายไปไม่น้อย คำกล่าวที่ว่าถ้าไม่ขยันเดินก็ไม่มีทางถึงพันลี้ใช่ว่าหลินซือจะไม่เข้าใจ
แต่ตอนนี้หลินซือไม่อาจเรียบเรียงเรื่องราวทุกอย่างได้ กระทั่งไม่รู้ว่านางควรเริ่มเรื่องนี้จากตรงไหนดี ด้วยเหตุนี้หลินซือจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป
“ข้าไปห้องหนังสือของท่านได้หรือไม่เจ้าคะ?”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งหลินซือก็เอ่ยปากถามคำถามที่ค่อนข้างโผงผางออกไป
หลังจากที่เซี่ยเชียนได้ยินคำถามของหลินซือก็ชะงักไปชั่วขณะ เซี่ยเชียนเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักที่ค่อนข้างเข้มงวด ปกติห้องหนังสือของเขาจะมีแค่เหล่าขุนนางในราชสำนักแวะเวียนมาหาอยู่บ่อยครั้ง การขอร้องในครานี้ของหลินซือพูดได้ว่าไร้มารยาทยิ่ง
หลังจากที่หลินซือถามคำถามนี้ออกไป ก็เพิ่งตระหนักได้ถึงความไร้มารยาทของตนเอง จึงรีบกล่าวขอโทษแต่ก็ไม่คิดว่าเซี่ยเชียนจะตอบตกลงอย่างคาดไม่ถึง
จากนั้นเซี่ยเชียนก็พาหลินซือเข้ามาในห้องหนังสือของตัวเอง
ห้องหนังสือของเซี่ยเชียนใหญ่โตกว่าห้องหนังสือของตระกูลหลินมาก ภายในห้องมีหนังสือสะสมไว้มากมาย
“เจ้าอยากได้หนังสืออะไรบอกข้ามาได้เลย”
ความจริงแล้วเซี่ยเชียนมองออกตั้งแต่แรกแล้วว่าหลินซือไม่มีความหมายแอบแฝงที่น่าสงสัยอะไร จึงได้โพล่งออกไปเช่นนั้น
เพราะทัศนคติและความสุภาพของเซี่ยเชียน หลินซือจึงกล้าหาญชาญชัยมากขึ้น “ข้าอยากเปิดเรือนการกุศลสักแห่ง เปิดเพื่อสตรีโดยเฉพาะเจ้าค่ะ”
ครั้นเซี่ยเชียนได้ยินก็ตะลึงงันไปชั่วขณะ ความจริงแล้วในช่วงเทศกาลปีใหม่ของพวกตระกูลชนชั้นสูงมักจะมีแผงลอยวางเรียงรายอยู่นอกเมืองเป็นจำนวนมาก เพื่อให้คนรวยเหล่าทำบุญแก่ผู้ยากไร้ที่อยู่โดยรอบ
แต่ก็ยังไม่เคยมีผู้ใดเอ่ยปากอยากสร้างเรือนการกุศลขึ้นมาสักคนเดียว
ความจริงแล้วหลินซือก็จนปัญญา แม้ว่าเรื่องที่นางเริ่มคิดในช่วงแรกจะไม่ใช่สิ่งนี้ แต่ถึงกระนั้นก็อยากลดภาระและความกดดันให้แก่เด็กสาวเหล่านี้
แล้วนางก็นึกถึงประสบการณ์ที่เหยาซูนำมาเล่าให้นางฟังก่อนหน้านั้น
ข่าวเล่าลือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในใต้หล้านี้ นางไม่สามารถปิดปากของสตรีเหล่านั้นได้
อีกอย่างนางไม่เคยลืมว่าในช่วงเปิดกิจการแรกเริ่มนั้นไม่มีใครสนับสนุนนาง แต่ข่าวลือกลับแพร่สะพัดออกมาจากกลุ่มของสตรีชนชั้นสูงเหล่านี้
ในช่วงแรกเริ่มหลินซือไม่มีความมั่นใจต่อแนวคิดนี้เอาเสียเลย แต่หลินซือกลับนึกถึงสิ่งที่สาวใช้ของตัวเองเคยพูดไว้ เพราะครอบครัวยากจนข้นแค้น ตนเองจึงถูกขายมาอยู่ในเรือนหลังนี้
ด้วยเหตุนี้ หลินซือจึงตัดสินใจลดระดับความยากลง
ครั้นเซี่ยเชียนได้ยินก็หันไปมองหลินซือ “เจ้าตั้งใจจะเปิดเรือนการกุศลหรือ?”
“ข้ารู้สึกว่าในช่วงหลายปีนี้แม้ว่าจะมีงานการกุศลอยู่เสมอ แต่เมื่อรวมกันแล้วมีเพียงไม่กี่วัน ซึ่งไม่สามารถแก้ไขชีวิตของพวกเขาให้ดีขึ้นได้โดยแท้จริงเจ้าค่ะ”
ความจริงแล้วหลินซือเคยไปดูสถานที่บริจาคแก่คนยากไร้มาบ้างแล้ว คนที่ยืนเข้าแถวโดยส่วนใหญ่เป็นบุรุษ ส่วนสตรีมีน้อยมากที่จะโผล่หน้ามายังสถานที่แห่งนี้
“ข้าอยากเปิดเรือนการกุศลตลอดทั้งสี่ฤดูสักแห่ง ภายในสร้างเป็นที่พักพิงสำหรับคนยากไร้ที่เอาชีวิตแทบไม่รอดบางส่วน แต่โดยหลักจะต้องเป็นสตรี ส่วนสถานที่ข้าจะเลือกคือที่ดินนอกเมือง ที่แห่งนั้นเคยเป็นเรือนอาศัยใกล้เมืองที่ท่านแม่ยกให้แก่ข้า ข้าตั้งใจจะปรับปรุงใหม่ทั้งหลังเจ้าค่ะ”
“เปิดเรือนการกุศลแล้วเจ้าจะไปเอาเงินมาจากที่ใด?” เซี่ยเชียนไม่ได้แนะนำโดยตรง แต่คำถามนี้แฝงไปด้วยความหมายที่ต้องการจะทดสอบหลินซือ “ข้ารู้ว่าก่อนหน้านั้นเจ้าเคยตามแม่ของเจ้าไปดูกิจการด้วย เจ้าตั้งใจจะใช้เงินในร้านค้าของตัวเองดูแลคนเหล่านี้ใช่ไหม?”
หลินซือส่ายหน้า “ข้าตั้งใจจะดูแลเหล่าสตรีและเด็ก ถามพวกนางว่าทำอะไรได้บ้าง จากนั้นก็เตรียมสิ่งของบางส่วนให้พวกเขาพอเลี้ยงดูตัวเองได้ แล้วค่อยให้ลูกจ้างในร้านนำพวกเขาทำกิจการ”
“เรือนข้างนอกยังว่าง ข้าจะว่าจ้างสักสองสามคนไปทำสวน แบบนี้พวกเขาจะได้มีข้าวกินด้วยเจ้าค่ะ”
หลินซือเห็นว่าเซี่ยเชียนไม่ได้ตัดบทของตัวเอง จึงได้สาธยายความคิดเห็นของตัวเองออกมาจนหมดเปลือก
เซี่ยเชียนพยักหน้า รู้ว่าหลินซือเป็นผู้ที่ชอบคิดเองทำเอง แต่หลินซือยังอายุน้อยเกินไป โดยพื้นฐานแล้วไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับคนเหล่านี้มากนัก แต่ก็ยังช่วยเสนอความเห็น “ลูกจ้างไม่ต้องหรอก สตรียากไร้เหล่านี้ล้วนแต่ทำนาเป็นโดยพื้นฐานอยู่แล้ว”
ครั้นหลินซือได้ยินก็รีบพยักหน้า จากนั้นก็จำเรื่องนี้ไว้ขึ้นใจ
เซี่ยเชียนไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลินซือถึงต้องมาขอร้องตนถึงที่นี่ สองสามีภรรยาตระกูลหลินล้วนตามใจลูกตนเองทั้งนั้น แม้ว่าพวกเขาจะไม่อยู่ในเมือง แต่ก็มิน่าจะมีผู้ใดกล้ามารังแกได้
หลินซือเด็กสาวผู้นี้มีวิชาความรู้มากมาย แต่ก็ยังขาดประสบการณ์อยู่มาก ฮูหยินในสมัยนี้มักอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ไม่มีตระกูลไหนสร้างกิจการร้านค้ามากเพียงนี้
หรือเป็นเพราะตัวเองเป็นสตรีจึงเปิดร้านไม่ได้? ซึ่งนั่นเป็นไปไม่ได้
ที่เหยาซูกล้าให้หลินซือลงมือนั้นก็พิสูจน์แล้วว่านางพบข้อบกพร่องของเด็กสาว
หลินซือเป็นเด็กสาวไร้เดียงสานี่คือเรื่องจริง แต่ความไร้เดียงสาและความเขลานั้นไปด้วยกันไม่ได้ เวลานี้การให้หลินซือฝึกประสบการณ์จึงเป็นหนทางที่ดีที่สุด
คนในสมัยนี้ล้วนคุ้นชินกับการเลี้ยงบุตรสาวของตัวเองอยู่แต่ในเรือน ฮูหยินส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นสตรีที่อยู่แต่ในรั้วบ้าน
หากจะกล่าวว่าสตรีเหล่านั้นมิสนใจการงาน ความจริงแล้วนี่คือการโอ้อวดอย่างหนึ่ง ด้วยเพราะสามีทั้งนั้น ตัวเองจึงได้มีชีวิตที่มั่งคั่งร่ำรวย
ในวัฒนธรรมการปฏิสัมพันธ์ของสตรีที่แต่งงานแล้ว นี่คือการโอ้อวดที่ดูอ่อนน้อมแต่ได้ผลดีมากอย่างหนึ่ง
แม้เซี่ยเชียนจะไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับคนเหล่านี้มาก่อน แค่ทุกครั้งที่มีโอกาสปฏิสัมพันธ์กับขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักย่อมรู้เรื่องนี้ดี
“เจ้าวางมือก่อนเถอะ หากเจอปัญหาก็ค่อยมาให้ข้าชี้แนะ ยามไม่มีธุระปะปังที่ไหนข้าก็มักจะอยู่ในจวน” เซี่ยเชียนมองหลินซือด้วยแววตาเมตตา
สำหรับเซี่ยเชียน หลินซือก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ แม้ว่าจะเข้าพิธีปักปิ่นแล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเข้าพิธีแต่งงานแต่อย่างใด ไม่สู้ให้ความสำคัญกับเรื่องที่ทำดีกว่า
ยิ่งไปกว่านั้นถ้าหลินซือเปิดเรือนการกุศลได้จริง ๆ ก็นับว่าเป็นความสำเร็จอีกขั้น ถ้าหากใช้งานได้จริง ๆ เซี่ยเชียนไม่รังเกียจแม้แต่น้อยที่จะช่วยป่าวประกาศไปทั่วเมือง
“ตอนนี้เจ้ายังไม่คุ้นชินกับเรื่องเหล่านี้สักเท่าไร เจ้าคนเดียวคงไม่พอ เจ้าต้องไปดู ดูว่าคนที่เจ้าสามารถช่วยได้มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร หลังจากสำรวจแล้วเสร็จพรุ่งนี้ก็ค่อยร่างแผนการรับมือ”
หลินซือได้ยินคำพูดของเซี่ยเชียนดวงตาของนางก็เปล่งประกายขึ้นทันใด ใบหน้าเผยรอยยิ้มเบิกบานใจ
หลินซือไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าเรื่องนี้ควรจะต้องทำอย่างไรต่อไป จนเซี่ยเชียนให้คำแนะนำแก่ตัวเอง หลินซือรีบทำความเคารพเซี่ยเชียนจากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไปอย่างเบิกบานใจ
เซี่ยเชียนมองแผ่นหลังของหลินซือด้วยรอยยิ้มเช่นกัน เขาชักอยากเห็นแล้วสิว่าคุณหนูผู้รอบรู้คนนี้จะทำการใหญ่ออกมาเป็นเช่นไร….
…………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ความคิดดีจังอาซือ คงเป็นเพราะได้เห็นความลำบากของผู้หญิงด้วยกันจากตระกูลพี่ไป๋สินะ ที่ว่าผู้หญิงที่ไม่ได้ยืนด้วยลำแข้งของตัวเองก็เหมือนสิ่งของของผู้ชาย จะยกให้แต่งงานกับใครก็ได้
ไหหม่า(海馬)