บทที่ 544 เต้นรำ
บทที่ 544 เต้นรำ
ครั้นซวีจ้าวเห็นเหยาเอ้อหลางกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุขอยู่ตรงหน้าตัวเอง ทอดถอนใจครั้งหนึ่ง สุดท้ายก็ลองเลียนแบบจังหวะเท้าของเขา
สำหรับซวีจ้าวแล้ว เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน เหยาเอ้อหลางผู้นี้มักจะทำเรื่องน่าประหลาดใจ มักจะคิดในสิ่งที่แปลกใหม่อยู่เสมอ
ตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ ผู้เป็นบิดามักจะบอกตนเสมอว่า เรื่องเดียวที่ตนต้องทำคือการฝึกฝนวรยุทธ์ ไม่ต้องสนใจเรื่องอื่นใด
เมื่อครั้งเยาว์วัย หลังจากที่บิดาและท่านแม่ทัพกลับมาจากสงคราม ก็มักจะพาตนไปฝึกฝนกับหลินจื้อในจวนหลินเสมอ
หลินจื้อมีความตั้งใจฝึกฝน นัยน์ตาของเขาสะท้อนแววตาที่ไม่มีวันยอมแพ้ จนซวีจ้าวเกิดการเปรียบเทียบ ประกอบกับไม่กล้าเพิกเฉย ด้วยศิลปะการต่อสู้ของผู้เป็นบิดาก็มีแค่ตนต้องมาสืบทอดต่อ ดังนั้นจะกระทำการใดตามใจชอบมิได้
ตัวเองยอมรับว่าในตอนที่ฝึกฝนวรยุทธ์นั้น มักจะมีเด็กที่วัน ๆ เอาแต่เอ้อระเหยลอยชายเข้ามาก่อกวนตนอยู่เสมอ
‘เฮ้! เจ้าเป็นใคร? ทำไมถึงมาอยู่ในจวนหลิน? ดูจากหน้าตาเจ้าแล้วถือว่าหล่อเหลาใช้ได้ หล่อเหลาเหมือนกับข้า ไอหยา เหตุใดถึงไม่พูดเล่า ท่านป้าบอกว่าต้องทำงานและพักผ่อนให้สมดุล มาสิ ไปเล่นกับข้า’
เหยาเอ้อหลางหัวเราะพลางออกคำสั่งกับซวีจ้าว ต่อให้โดนกลอกตาใส่ ก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไร
ซวีจ้าวกำลังฝึกนั่งท่าม้า มีเหงื่อเปียกชุ่มทั่วใบหน้า ไฉนเลยจะเสียเวลามาสนใจอีกฝ่าย เขาแค่ปรายตามองแวบหนึ่งแล้วละสายตากลับมา ฝึกต่อ
ครั้นเหยาเอ้อหลางเห็นปฏิกิริยาเช่นนี้ของเขาก็พลันขุ่นเคือง
‘เจ้า! เจ้าช่างกล้านัก! เชื่อหรือไม่ว่าตอนนี้ข้าต่อยเจ้าจนร่วงได้?’ เหยาเอ้อหลางพูดพลางยกมือขึ้น เตรียมจะซัดซวีจ้าวให้ล้ม
ถึงอย่างไรซวีจ้าวก็ถือว่าเป็นคนฝึกฝนวรยุทธ์เช่นกัน การตอบสนองย่อมคล่องแคล่วว่องไว หลบเลี่ยงไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว เหยาเอ้อหลางจึงพุ่งเข้าหาอากาศ สุดท้ายก็ลื่นล้มตีลังกาไม่เป็นท่า
ยังไม่ทันรอให้เหยาเอ้อหลางจะได้สติกลับมา ซวีจ้าวก็เดินหนีไปเสียก่อนแล้ว
เขารู้ว่าคนที่ลื่นล้มผู้นั้นเป็นหลานชายของฮูหยินท่านแม่ทัพ ตัวเองเป็นลูกชายของรองแม่ทัพ ย่อมสู้เขาไม่ได้อยู่แล้ว
แต่เรื่องมันก็ได้เกิดขึ้นแล้ว ถ้าคนอื่นรู้ว่าตัวเองก่อเรื่องคงสร้างความลำบากใจให้ท่านพ่อเป็นแน่ โชคดีที่ยังไม่ทันบอกว่าตนเองนั้นชื่อแซ่อะไร ในสองวันนี้มีผู้คนเดินกันขวักไขว่อยู่ในจวน ดูท่าคงจะสาวเรื่องไม่ถึงตัวเขาแน่
ต่อมา เรื่องนี้จะได้รับการแก้ไขอย่างไร เขาเองก็ไม่อาจล่วงรู้
เขาไม่เคยไปจวนท่านแม่ทัพอีก เพราะท่านแม่ทัพและฮูหยินย้ายไปอยู่เมืองหลวง ออกไปท่องเที่ยวทั่วทุกหนแห่ง
ความทรงจำของซวีจ้าวถูกดึงกลับมา ครั้นเห็นเหยาเอ้อหลางที่กำลังเต้นระบำอยู่ตรงหน้า มุมปากได้กระตุกโค้งขึ้นเป็นรัศมีบาง ๆ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
เขาลืมภาพวุ่นวายในวันนั้นไปแล้ว ซวีจ้าวไม่มีสหายตั้งแต่เด็กจนโต ประกอบกับนิสัยสุขุมของเขา ไม่ชอบพูดชอบจา ทำให้ไม่มีใครยอมเล่นกับเขา
ทุกครั้งที่ฝึกฝนวรยุทธ์ ก็มักจะเห็นเหยาเอ้อหลางพาเด็ก ๆ กลุ่มใหญ่ไปเล่นอยู่ที่ไกล ๆ เสมอ
เขาเคยคิดว่าเพราะเหตุใดเหยาเอ้อหลางและเด็กกลุ่มนั้นถึงได้เป็นสหายกัน?
ท้องนภาเต็มไปด้วยดอกไม้ไฟสีสันงดงาม สะเก็ดดอกไม้ไฟขนาดเล็กที่ร่วงโรยลงมา ส่องแสงระยิบระยับเหมือนกับดาวตกที่ตกลงมาจากฟากฟ้าก็มิปาน
ครั้นซวีจ้าวเห็นเหยาเอ้อหลางยิ้มอย่างไม่เกรงกลัวใคร และไร้ซึ่งเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวตรงหน้า จู่ ๆ ก็รู้สึกอิจฉาเหมือนกับว่าแค่ได้อยู่ข้างกายคนผู้นี้ก็สัมผัสได้ถึงความสุขที่ไร้ขีดจำกัดแล้ว
เขาเป็นดั่งผู้ที่พลังไม่มีวันหมด สามารถสร้างความสุขและมอบพลังให้แก่คนอื่นได้ตลอดเวลา
บางครั้ง การเป็นสหายกับเขาก็ถือว่าไม่เลว…
มารดามักบอกว่าตนนั้นน่าเบื่อเกินไป ให้ออกไปเล่นกับสหายข้างนอกเสียบ้าง
ถ้าได้อยู่กับสหายตอนนั้นก็คงจะสนุกสนานและผ่อนคลายเหมือนกับที่ได้อยู่กับเขาในตอนนี้
“เฮ้! จบแล้ว! เจ้ามัวเหม่ออะไรอยู่? ท้องฟ้ามืดแล้ว รีบกลับไปพักกันเถอะ”
เหยาเอ้อหลางโบกมือไปมาตรงหน้าของซวีจ้าว พลางกล่าวเตือน
ซวีจ้าวเงียบไปชั่วขณะจึงได้สติกลับมา ก่อนจะเกาศีรษะแก้เขิน “ขอโทษด้วย เมื่อครู่ข้าเหม่อลอยไปหน่อย ในเมื่อเต้นเสร็จแล้วเช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน”
พูดพลางหมุนตัวเตรียมเดินจากไป
ใครจะรู้ว่าเหยาเอ้อหลางจะรั้งตัวซวีจ้าวไว้ และเอ่ยด้วยรอยยิ้มมาดร้าย “อย่าเพิ่งรีบสิ! วันนี้ถือว่าข้าสอนเจ้าเต้นแล้ว ในฐานะที่เจ้าต้องตอบแทนบุญคุณข้า เจ้าต้องเลี้ยงสุราข้าสิ? รู้ไว้เสียด้วยว่าข้าไม่สอนคนทั่วไป วันนี้เจ้าได้เปรียบไปเต็ม ๆ เชียวนะ!”
ซวีจ้าวตะลึงงันไป ก่อนจะได้สติกลับมา เขาได้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ขอโทษนะ ข้าไม่ดื่มสุรา วันนี้ขอบคุณเจ้ามาก ข้าขอตัวลา”
เหยาเอ้อหลางใช่ว่าจะยอมปล่อยเขาไปโดยง่าย หากจะบอกว่าไร้ยางอาย เขาอยู่อับดับสองก็คงไม่มีใครขึ้นเป็นอันดับหนึ่งแล้ว
เขากลั้วหัวเราะแล้วโอบไหล่ของซวีจ้าว “เจ้าไม่ดื่มเป็นเพื่อน ข้าก็ดื่มได้ ชายชาติทหารจะให้เหล่าสตรีนินทาลับหลังได้อย่างไร! วันนี้ข้าจะสอนเจ้าเองว่าอะไรที่เรียกว่าชายชาติทหารโดยแท้จริง!”
ซวีจ้าวตื่นตระหนกกับพฤติกรรมที่สนิทสนมของเหยาเอ้อหลาง แต่ไหนแต่ไรมารอบกายตนมักจะมีบรรยากาศห่างเหินเข้าถึงยากเสมอ ไม่เคยมีใครทำตัวสนิทกับตนเองเช่นนี้
เหยาเอ้อหลางผู้นี้ …ช่างเป็นคนแปลกประหลาดยิ่งนัก
เรื่องที่น่าประหลาดใจก็คือ ตัวเองไม่คิดตำหนิการสัมผัสของเขาด้วย! ซวีจ้าวเกิดความสับสนในใจ
อีกด้านหนึ่งหลินซือและเจี่ยงเถิงก็เต้นจนหมดแรง ทั้งสองคนนั่งพักอยู่ข้างกองไฟ
“พี่อาเถิง เมื่อครู่มีชาวบ้านคนหนึ่งมาพูดกับข้า สิ่งที่นางหวังที่สุดตลอดชีวิตนี้คือการมีสามีที่รักตน ลูก ๆ แข็งแรง พี่ว่าเหตุใดคนสองคนถึงต้องกลายเป็นสามีภรรยากัน?”
หลินซือลูบปลายคางพลางเบิกตากว้างด้วยแววตาสุกสกาวและถามขึ้น
เจี่ยงเถิงคาดไม่ถึงว่าหลินซือจะถามคำถามเช่นนี้ คิดไปว่านางคงจะเปิดใจแล้ว จึงกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “บางทีอาจจะเพราะอยากอยู่ข้างกายอีกฝ่ายไปตลอดชีวิต ถ้าเป็นสามีภรรยากัน นั่นหมายความว่าจะต้องมีความรับผิดชอบ เพราะต้องรักกันมากพอที่จะแบกรับความรับผิดชอบนี้”
หลินซือเอียงคอมองเจี่ยงเถิงแวบหนึ่ง จากนั้นก็ถามต่อว่า “รัก? แล้วอะไรถึงจะเรียกว่ารัก? ข้ารักท่านแม่ของข้า รักท่านพ่อและท่านพี่ของข้า แต่ข้าก็ไม่รู้ว่ารักแบบไหนถึงจะเป็นรักของสามีภรรยา”
“เอ่อ….เจ้ายังเด็ก ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยเป็นค่อยไปเถอะ ต่อไปเจ้าจะรู้เองว่านั้นคือความรู้สึกแบบไหน”
เจี่ยงเถิงลูบศีรษะของเด็กหน่อยอย่างหลินซือเบามือ พลางทอดถอนใจ
เดิมทีคิดว่านางคงเปิดใจ ใครจะรู้เล่าว่านางจะแสดงท่าทีไร้เดียงสาและโง่เขลาเช่นนี้
ความรู้สึกที่ตนมีต่อนางใคร ๆ ก็มองออก แม้แต่อวี้อวี้เองก็ยังมองออก แต่นางเพียงผู้เดียวที่ไม่เข้าใจอะไรเลย!
เจี่ยงเถิงกลัวจริง ๆ เขากลัวว่าวันนั้นอาซือของตนจะถูกผู้อื่นช่วงชิงไป
เขายิ่งอยู่ยิ่งไม่ค่อยมั่นใจ ความแน่นอนที่เคยมีว่าเขาและอาซือจะกลายเป็นสามีภรรยากัน แต่ความเป็นจริงที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ในตอนนี้เหมือนจะขัดขวางแผนการของตนไว้
วันนี้เขาหวังแค่ให้อาซือค่อย ๆ รับรู้ถึงความรู้สึกของตน ให้นางเข้าใจว่านางคือคนที่สำคัญที่สุดของตนเสมอ!
ครั้นหลินซือเห็นเจี่ยงเถิงพูดอย่างคลุมเครือ จึงแบะปากแล้วพึมพำเสียงเบา “รู้ว่าถามท่านไปก็ไร้ประโยชน์ ท่านก็เหมือนกับข้าไม่ใช่หรือ ปัญญาอ่อนเบาสมองกันทั้งคู่! ท่านดูสิพี่ชายของข้าและพี่ไป๋ดีต่อกันมากเพียงใด ทั้งสองคนรักกัน ต่อไปข้าจะต้องมีคนรักที่อยากแต่งงานกับข้าให้จงได้!”
ทุกคนนอกจากหลินจื้อที่อยู่เป็นเพื่อนไป๋หรูปิงแล้ว ก็ล้วนแต่อยู่เล่นรอบกองไฟแห่งนี้ทั้งคืน ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สุดท้ายก็ทยอยกันกลับไปพักผ่อน