บทที่ 560 หญิงสาวผู้ขายตัวเองเพื่อทำศพบิดา
บทที่ 560 หญิงสาวผู้ขายตัวเองเพื่อทำศพบิดา
“คุณชาย พี่อาเถิงเป็นพี่ของท่าน ในเมื่อท่านเรียกข้าว่าพี่อาซือ เช่นนั้นท่านก็ต้องเรียกเขาว่าพี่อาเถิง ตอนนี้พวกเราก็ล้วนออกมาข้างนอกเพื่อมาเที่ยวเล่น สิ่งสำคัญคือความสุขใช่หรือไม่เจ้าคะ”
หลินซือมองไปยังองค์รัชทายาทที่ลูบตัวตนเองอยู่ เด็กสาวทำได้เพียงแค่มองเขาเป็นน้องชายของตนเองคนหนึ่ง
องค์รัชทายาทเบ้ปาก ขมวดคิ้วและเอ่ยขึ้น “ข้าเข้าใจแล้วพี่อาซือ แล้วเท้าของพี่อาซือเป็นเช่นไรบ้างยังเจ็บอยู่หรือไม่? จะให้ข้าเป่าให้ท่านหรือไม่ เป่าแล้วก็จะหายเจ็บเป็นปลิดทิ้ง”
ว่าพลางก้มตัวลงหมายจะเป่าเท้าให้กับหลินซือ
หลินซือรีบเอ่ยห้ามทันใด “ไม่! คุณชายไม่ต้องทำหรอกเจ้าค่ะ ข้าไม่รู้สึกเจ็บแล้ว แค่ทายาอีกสองวันก็เดินได้แล้ว นี่มันก็ไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไร เพียงแค่เท้าเคล็ดเล็กน้อยเท่านั้น แล้วก็ไม่ได้ถือโทษเจี่ยงเถิง เป็นเพราะข้าเดินไม่ระมัดระวังเองจึงเท้าเคล็ด ดังนั้นคุณชายไม่ต้องโทษเจี่ยงเถิงแล้วนะเจ้าคะ”
องค์รัชทายาทฟังหลินซือที่ปกป้องเจี่ยงเถิง ภายในใจก็รู้สึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่กลับไม่สามารถแสดงออกมาได้ และทำได้แค่เพียงก้มหน้าข่มความขุ่นเคืองไว้ “เข้าใจแล้ว พี่อาซือพูดอะไรข้าจะเชื่อหมด”
เมื่อพูดเสร็จก็กลับห้องไปคนเดียว เมื่อลู่เหยาเห็นสิ่งนี้ก็ได้ตามเขาไป
เมื่อหลินจื้อเห็นผู้คนยิ่งสนทนาก็ยิ่งอารมณ์คุกรุ่นมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงได้รีบเอ่ยเตือนขึ้นมา “ข้างนอกลมพัดแรง เท้าของอาซือเองก็บาดเจ็บ เข้าไปข้างในก่อนแล้วค่อยพูดคุยกันเถอะ”
เจี่ยงเถิงพยักหน้า และเข็นรถเข็นของหลินซือเข้าไปในห้อง หลินซือมองดูรอบ ๆ และเอ่ยขึ้นด้วยความงงงวย “เอ๊ะ? เหตุใดจึงไม่เห็นพี่รอง? โอ้สวรรค์ ในที่สุดข้าก็ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของพี่รองแล้ว!”
หลินจื้อหัวเราะแล้วอธิบาย “พี่รองไปตกปลาตั้งแต่เช้าแล้ว ตอนนี้ยังไม่กลับมา เกรงว่าน่าจะไปพบอะไรใหม่ ๆ และสนุกสนานเข้า เจ้าเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้นิสัยที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ของเขานี่”
ในอีกด้านหนึ่ง เหยาเอ้อหลางและซวีจ้าวเพิ่งจะกินอาหารที่โรงเตี๊ยมเสร็จ และกำลังจะเตรียมตัวกลับหมู่บ้าน ก็เห็นว่าถนนมีผู้คนรายล้อมอยู่เป็นจำนวนมาก
“ทุก ๆ ท่านช่วยด้วย ท่านพ่อของข้าป่วยและเสียชีวิตไปแล้ว ที่บ้านข้านั้นยากจน เงินซื้อโลงศพก็ยังไม่มี ท่านใดพอจะมีน้ำใจช่วยเหลือข้าบ้าง อวี๋ชิวจะต้องตอบแทนให้อย่างแน่นอน ได้โปรดช่วยเหลือข้าด้วย”
หญิงสาวหน้าตาสะสวยเอ่ยขึ้นทั้งน้ำตา
ซวีจ้าวเดินเข้าไป ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วเอาเงินทั้งหมดที่มีให้กับแม่นางท่านนี้ พลางเอ่ยขึ้นแผ่วเบา “เงินนี่ให้เจ้าไปหาโลงศพให้ท่านพ่อของเจ้า จะได้ให้ท่านไปสู่สุคติ” กล่าวเสร็จก็หันตัวเดินกลับไป
ผู้ใดจะไปคาดคิดว่าอวี๋ชิวผู้นั้นจะดึงตัวซวีจ้าวไว้ เอ่ยขึ้นด้วยความประทับใจ “ขอบคุณคุณชายมาก! ท่านช่างมีเมตตาเหลือเกิน อวี๋ซิวไม่รู้จะตอบแทนเช่นไร ข้ารู้ดีว่าตัวเองนั้นต่ำต้อย ข้าไม่ขอสถานะใด ๆ ขอแค่ติดตามท่านชายและคอยช่วยเหลือเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ท่าน”
ซวีจ้าวไม่คาดคิดว่าจะเป็นเช่นนี้ เด็กหนุ่มดึงมือของหญิงสาวออกและเอ่ยขึ้นเบา ๆ “ข้าไม่ได้ต้องการคนคอยปรนนิบัติติดตาม แม่นางรีบไปจัดการเรื่องของท่านพ่อเจ้าเสียเถิด ข้าขอตัว”
“ช้าก่อนคุณชาย ท่านพ่อเคยสอนข้าไว้ว่า ต้องรู้จักที่จะทดแทนบุญคุณ วันนี้ท่านชายช่วยเหลือข้าถึงขนาดนี้ ข้าก็ต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อท่านชาย ตอนนี้อวี๋ชิวไร้ที่พึ่งพา จึงวอนขอให้ท่านชายให้อวี๋ชิวผู้นี้คอยติดตามเถิดเจ้าค่ะ!” อวี๋ชิวเอ่ยขึ้นพร้อมน้ำตา
เหยาเอ้อหลางที่กำลังมองดูอยู่จากอีกด้าน กลับไม่คิดว่าซวีจ้าวที่ท่าทางจะดูเย็นชา จู่ ๆ จะมาช่วยเหลือคนเช่นนี้
เมื่อมองดูหญิงผู้นี้เข้าไปรบกวนซวีจ้าว การทำความดีครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่สำเร็จแต่กลับสร้างความเดือนร้อนขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ซวีจ้าว แม่นางได้เอ่ยมาเช่นนี้แล้ว เหตุใดจึงไม่เห็นด้วย? ตรงกันข้ามข้ามองว่าคนที่ไม่ละเอียดอ่อนเช่นเจ้าเองก็คงไม่อาจดูแลตนเองได้ การที่มีแม่นางคอยติดตามมันไม่ดีกว่าหรือ? เจ้าดูตัวเองสิ รีบ ๆ ตกลงเร็วเข้า” เหยาเอ้อหลางรู้สึกสนุกสนานและไม่ได้เห็นเป็นเรื่องใหญ่ เขาจึงขยิบตาให้อีกฝ่าย
ซวีจ้าวจ้องเหยาเอ้อหลางเขม็ง มองดูผู้คนที่ค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ มันคงไม่ดีต่อผู้ใดแน่ ๆ ถ้าต่างฝ่ายต่างยืนกรานไม่ยอมอ่อนข้อกัน เขาจึงไม่มีทางเลือก ซวีจ้าวจึงตอบตกลงกับอวี๋ชิว
หลังจากคนไม่กี่คนมาจัดการเรื่องของท่านพ่อของอวี๋ชิวเสร็จ ซวีเจ้าก็พานางกลับหมู่บ้าน ตลอดทางเหยาเอ้อหลางคอยถามไถ่เรื่องราวของอวี๋ชิว มีเพียงซวีจ้าวเท่านั้นที่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
“แม่นางอวี๋ชิว ปีนี้เจ้าอายุเท่าไรแล้ว? ” เหยาเอ้อหลางถามโดยไม่ได้ใส่ใจ
อวี๋ชิวก้มหน้าลง และเอ่ยขึ้นเบา ๆ “ตอบคำถามคุณชาย ปีนี้อวี๋ชิวอายุสิบสี่ปี อีกหนึ่งปีก็จะเข้าพิธีปักปิ่นแล้วเจ้าค่ะ”
เหยาเอ้อหลางพยักหน้าและเอ่ยขึ้นราวกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ “ช่างเป็นสตรีที่น่าเห็นใจ เจ้าวางใจเสียเถอะ เขาจะปฏิบัติต่อเจ้าดีมาก ๆ” พูดเสร็จก็พลางไปมองซวีจ้าว ใครจะไปรู้ว่าซวีจ้าวจะไม่มองเขาเลย
เมื่อกลับมาถึงหมู่บ้าน ซวีจ้าวหาห้องให้อวี๋ชิวพัก
หลินซือและคนอื่น ๆ บ่นเกี่ยวกับเหยาเอ้อหลางหลังจากที่พวกเขารู้สถานการณ์ “พี่รองนี่ช่างจริง ๆ เลย อยากจะทำอะไรก็ทำ นี่คือทั้งชีวิตของนางนะ จะว่าไปแล้วซวีจ้าวก็ยังไม่ได้แต่งงาน เช่นนี้จะมีผลกระทบต่อชื่อเสียงของเขาหรือไม่ เจ้ารับผิดชอบได้ไหม? ข้าคิดว่าตอนนี้รองแม่ทัพกำลังเจอปัญหาใหญ่แล้ว”
เหยาเอ้อหลางเบ้ปาก “บนโลกนี้ใครไม่มีอนุภรรยาหลายคนบ้าง? แม่นางคนนั้นก็ดูน่าเวทนา นางบอกเองว่าจะคอยติดตามซวีจ้าวไปตลอดชีวิต ต่อหน้าผู้คนมากมายจะให้ซวีจ้าวปฏิเสธนางได้เช่นไร?”
เหยาเอ้อหลางเองก็เอ่ยขึ้นทั้งที่ก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนจึงเอ่ยไปเช่นนั้น เพียงแต่เมื่อเห็นอวี๋ชิวเอ่ยขอติดตามเด็กหนุ่ม ภายในใจของตนก็รู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็อยากให้เขาลองดู ในท้ายที่สุดซวีเจ้าจะยอมรับนางได้หรือไม่
ความปรารถนาเขาสำเร็จแล้ว แต่ในใจของเอ้อหลางกลับรู้สึกหลงทาง ถ้าเกิดว่าซวีจ้าวเกิดรักอวี๋ชิวขึ้นมา เช่นนั้นแล้วตนเองจะสามารถนับได้ว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้หรือไม่
ตั้งแต่กลับมาซวีจ้าวก็ไม่พูดไม่จาสักคำ ดูเหมือนว่าเขากำลังโกรธ
เหยาเอ้อหลางพูดกับเด็กหนุ่มไม่กี่คำ ซวีจ้าวก็ทำเหมือนว่าไม่ได้ยิน บรรยากาศอึดอัดเป็นที่สุด
หลินซือกระซิบข้าง ๆ หูของเหยาเอ้อหลาง “พี่รอง ท่านจบแล้ว ท่านทำให้ซวีจ้าวโกรธ ท่านก็รู้ว่าซวีจ้าวนั้นอารมณ์ดีสุด ๆ แต่เมื่อเขาโกรธเมื่อใดไม่ว่าใครก็ไม่อาจเกลี้ยกล่อมได้”
หลินซือจำได้ในตอนเด็ก ๆ ซวีจ้าวมาที่จวนเพื่อมาฝึกวรยุทธ์กับหลินจื้อ เด็กสาวและเจี่ยงเถิงจึงไปเล่นกับซวีจ้าว แต่ว่าเด็กน้อยกลับไม่แสดงท่าทีใด ๆ และก็ไม่สนทนากับผู้ใด
เวลานั้นหลินซือรู้สึกว่า คนคนนี้ช่างแปลกเสียจริง มักจะทำหน้าบอกบุญไม่รับ ราวกับว่ามีคนติดหนี้เขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น
หลังจากนั้นมีครั้งหนึ่งท่านแม่ทัพซวีฝูก็มาบอกพวกเขา เดิมทีซวีจ้าวไม่ได้มีนิสัยเช่นนี้ แต่เนื่องจากมารดาของเขากำลังจะจากเขาไป สร้างความเสียหายต่อจิตใจเขาเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นเขาก็เปลี่ยนไปเป็นอีกคน
หลังจากทราบเหตุผลแล้ว หลินซือก็มักจะพาเจี่ยงเถิงไปเล่นกับซวีจ้าวอยู่บ่อย ๆ ผ่านไปไม่นานทุก ๆ คนก็รู้ว่าซวีจ้าวนั้นเย็นชาแค่ภายนอกเท่านั้น จริง ๆ แล้วภายในเขานุ่มนวลและอ่อนโยนมาก
แต่เขามีจุดที่ประหลาดที่สุดอยู่หนึ่งจุด นั่นคือเขาเป็นคนโกรธยาก แต่ถ้าโกรธขึ้นมาต้องใช้เวลานานมากจึงจะสามารถง้อเขาได้
โดยเฉพาะตอนโกรธเขาจะไม่บอกใครเลย ได้แต่เก็บความรู้สึกเอาไว้ในใจ และไม่พูดคุยกับใคร
นั่นเป็นเพราะนิสัยที่แปลกประหลาดของเขา หลายปีมานี้จึงไม่มีสหายเลย
………………………………………………………………………………………………………………………