บทที่ 567 วังหลวงคือสถานที่ที่น่ากลัวที่สุด
ในตำหนักเฉิงเอิน สวีกุ้ยเฟยกำลังเหม่อมองต้นไม้นอกหน้าต่าง ใบไม้ถูกสายลมโบกพัด ฤดูวสันต์มาถึงแล้ว
พริบตาเดียว ตัวเองก็ใช้ชีวิตอยู่ในวังแห่งนี้มาหลายฤดูใบไม้ผลิแล้ว
บุปผาลอยล่องเต็มท้องนภา ตัวเองก็ใช่ว่าจะไม่เคยเป็นสาวน้อยไม่รู้ความผู้นั้น
เขา…ตอนนี้กำลังทำสิ่งใดอยู่นะ? กำลังเล่นกับเด็ก ๆ อยู่ในเรือน หรือถูกองค์จักรพรรดิกักตัวให้เล่นแต่หมากรุก
เขาผู้นี้ ดูภายนอกออกจะแข็งทื่อเหมือนท่อนไม้ ถือทิฐิ ความจริงแล้วจิตใจดีกว่าใครเป็นไหน ๆ
คราวที่แล้วองค์รัชทายาททำผิดพลาด ถ้าไม่ใช่เพราะเขาแอบช่วยอยู่ลับ ๆ เกรงว่าองค์รัชทายาทคงได้รับโทษสถานหนักไปแล้ว
องค์จักรพรรดิต้องพึ่งพาเขา หลายปีมานี้เชื่อแต่เขาผู้เดียว เพราะเช่นนี้ตัวเองจึงมีความหวัง ทุกครั้งที่ไปตำหนักหยางซินก็เพื่อหวังจะได้เจอเขาสักครั้ง
เขามีหลานชายของตัวเอง ตัวเองก็มีลูกสาวแก้วตาดวงใจ พวกเขากลับไปไม่ได้แล้ว…
อวิ๋นเหอเอ่ยขึ้น “เหนียงเหนียง หลายวันมานี้ท่านแทบไม่ได้นอนเลย วันนี้เข้านอนเร็วเสียหน่อยเถิดเพคะ หม่อมฉันจะจุดเทียนหอมสมุนไพรให้ท่าน ท่านจะได้นอนหลับสบายเพคะ”
สวีกุ้ยเฟยยิ้มเยาะตัวเอง เด็กคนนี้กลับยังจงรักภักดีต่อนางเสมอ คิดเผื่อนางไปเสียทุกอย่าง “จาวเอ๋อ คืนนี้จะมาหรือไม่?”
“เหนียงเหนียง ท่านลืมไปแล้วหรือเพคะ? เมื่อครู่องค์รัชทายาททรงรับตัวองค์หญิงเสด็จไปยังตำหนักสือหนิงแล้ว คืนนี้คงจะค้างกับองค์รัชทายาทที่นั่นเพคะ”
สวีกุ้ยเฟยยิ้ม ความจำของตัวเอง ยิ่งอยู่ยิ่งแย่ลง
วังหลวงในช่วงหลายปีมานี้ไร้ซึ่งผู้คน นางในฐานะสวีกุ้ยเฟยจึงต้องดูแลงานทุกอย่างภายในวังหลัง แม้จะฟังดูมีอำนาจยิ่งใหญ่ ความจริงแล้วความอิจฉาและความจนปัญญาที่ซ่อนอยู่เบื้องลึกเบื้องหลัง มีแต่นางเท่านั้นที่รู้ดีแก่ใจ
จาวเอ๋อค่อย ๆ เติบโตขึ้น ตัวเองไม่สามารถคิดแทนนางได้
ความสัมพันธ์ระหว่างนางและองค์รัชทายาทไม่เคยดีแต่ไหนแต่ไรมา ถ้าย้อนกลับไปในสมัยวัยเยาว์คงไม่ต้องสนใจนัก แต่ตอนนี้ลูกทั้งสองคนรู้ความแล้ว ถือว่าไฟกับน้ำอยู่ร่วมกันไม่ได้ ตอนนี้ตัวเองยังต้องดูแลต่อไป เพื่อสนับสนุนจาวเอ๋อ ต่อไปถ้าตัวเองไม่อยู่แล้ว…
สวีกุ้ยเฟยคิดถึงเรื่องนี้ก็ปวดใจ
จาวเอ๋อถูกเลี้ยงอย่างตามใจมาตั้งแต่เด็กจนโต ไม่เคยได้รับความลำบาก แต่โชคชะตาขององค์หญิงดีกว่าใครหลายคนแค่ไหนกันเชียว? ถ้าไม่วางแผนไว้เสียเนิ่น ๆ เกรงว่าในอนาคตถ้านางไม่ถูกส่งไปเชื่อมความสัมพันธ์ก็คงถูกนำมาใช้ทำการค้ากับพวกขุนนางชั้นผู้ใหญ่
เรื่องของจาวเอ๋อ ตัวเองเริ่มวางแผนอยู่บ้างแล้ว
ในตำหนักเฉิงเอินนั้นเย็นเยียบ ความเยือกเย็นเหล่านั้นค่อย ๆ แผ่ขยายจากเตียงไม้ใต้ร่างเข้าสู่กระดูกภายใน
สวีกุ้ยเฟยคุ้นชินไปแล้ว องค์จักรพรรดิไม่ค่อยเสด็จมายังตำหนักนี้ เพราะความมืดครึ้มและความเหน็บหนาว แม้จะก่อไฟไปก็ยังไร้ประโยชน์
ในหนึ่งปีองค์จักรพรรดิเสด็จมาที่นี่กี่วันกันเชียว? ค่ำคืนที่แสนยาวนานจนไม่อาจพรรณนาได้ สวีกุ้ยเฟยมองจันทราที่ลอยขึ้นเหนือท้องนภา และมองมันเคลื่อนลงอีกครั้งในเวลาถัดไป หลายรุ่งสางที่ผ่านพ้น นางก็ยังนอนเพียงลำพังอยู่บนเตียงเช่นนั้นด้วยเพราะนอนไม่หลับ
องค์จักรพรรดิมักจะยุ่งอยู่ในราชสำนัก ไม่อยู่ในห้องทรงอักษรก็อยู่ในตำหนักหยางซิน กลางวันก็ปรึกษาหารือกับเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ เซี่ยเชียน…เซี่ยเชียนมีเวลาอยู่กับเขามากกว่าอยู่กับนางเสียอีก
แต่องค์จักรพรรดิไม่มาแล้วอย่างไร? นางไม่สนใจ นางคิดแค่ว่า ถ้าตัวเองเป็นนางสนมที่ดี อย่างน้อยนางก็อาจจะได้เจอกับเซี่ยเชียนมากขึ้น …นางและเขา ตลอดชีวิตนี้ไม่มีทางเป็นไปได้อีกแล้ว แต่ความคะนึงหาในใจ กลับไม่อาจปล่อยวางได้
อดีตของนางเป็นสาวใช้ของเขา และมักจะอยู่ข้างกายเขาเสมอ
เขามีนิสัยอบอุ่น และมักใจกว้างกับคนที่อยู่ใต้ปกครองเสมอ ตัวนางไม่ต้องทำงานที่หนักเกินตัวแต่อย่างใด
นางยังจำได้ วันนั้นเขาพานางเข้าร่วมงานมงคลสมรสขององค์หญิงเหอซั่วในวัง
ในวังวันนั้นถูกประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดง มีดอกไม้ไฟสว่างไสวเต็มท้องนภา ท่อนบนขององค์หญิงเหอซั่วถูกสวมใส่เป็นเสื้อคอกลมแขนกระบอกที่ถักทอเป็นลายดอกเหมย ดิ้นสีเขียวมรกตปักเป็นลายผีเสื้อ เส้นไหมสีแดงพุทราผสมกับสีน้ำตาลทองถักทอเป็นลายดอกแพงพวยฝรั่ง ท่อนล่างเป็นกระโปรงพิมพ์ลายฉลุสีแดงทอง สวมทับด้วยเสื้อคลุมที่ตัดเย็บด้วยผ้าแพรลายดอกบัวสีแดง มวยผมที่รวบตึงอย่างงดงามถูกปักด้วยปิ่นที่ประดับตกแต่งด้วยอัญมณีสีฟ้า บนหูใส่เป็นต่างหูอัญมณีเขียวมรกต บนมือที่เนียนละเอียดสวมกำไลหยกสีขาวโปร่ง คาดเอวด้วยผ้าที่ถักทอด้วยลวดลายนกยูงและพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวอย่างประณีตงดงาม มีถุงหอมผ้าดิ้นที่ปักเป็นคำว่า ‘ความสุข’[1] ห้อยลงมา ตามด้วยรองเท้าผ้าที่ปักเป็นลายดอกบัวสองชั้นสีละมุนตา
ไฉนเลยนางจะเคยเจอกับงานเลี้ยงที่อลังการและเสื้อผ้าที่หรูหราเช่นนี้ นางจึงเดินตามหลังเซี่ยเชียน พลางเอ่ยเสียงเล็ก “ว้าว! ที่นี่สวยมาก เสื้อผ้าก็งดงาม…”
ครั้นเซี่ยเชียนได้ยินเสียงของนาง ก็หันหน้ากลับไปมองแวบหนึ่งและกล่าวว่า “นี่คือพิธีมงคลสมรสขององค์หญิง ย่อมยิ่งใหญ่เป็นธรรมดา”
นางก้มหน้าลง องค์หญิง… นั่นคือองค์หญิงที่มีฐานันดรสูงศักดิ์และมีเกียรติสูงส่ง ตัวเองผู้ซึ่งมีฐานะต่ำต้อยเช่นนี้ เกรงว่าคงไม่กล้าจินตนาการไปชั่วชีวิต
งานเลี้ยงยามค่ำคืน เซี่ยเชียนไม่ชอบงานเลี้ยงที่คึกคักเช่นนี้ หลังจากต้อนรับแขกไปแล้วสองสามคนก็ปลีกตัวออกมา ส่วนนางออกมายังสวนดอกไม้ในวัง
ในมุมมืดที่มีแสงจากโคมไฟสาดส่องนี้ ในสวนดอกไม้หลังวังสือหนิง ทั้งสองคนกำลังเดินอย่างเงียบ ๆ
“ได้ยินว่าชุดเข้าพิธีที่องค์หญิงสวมใส่ใช้เวลาตัดเย็บหลายปี ต้องใช้ความสามารถของช่างปักกว่าหนึ่งร้อยคน เป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่เจ้าคะ?” นางเบิกตาที่สุกสกาวถามขึ้น
เซี่ยเชียนดื่มสุรา จึงมีอาการมึนเมาเล็กน้อย ไม่นานก็พูดขึ้น “แค่พูดเกินจริงไปเท่านั้น เพื่อแสดงถึงความรักที่องค์รัชทายาทมีต่อกู่ลุ่นกงจู่[2] แม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างภายในวังแห่งนี้จะดูงดงามมาก แต่ความจริงแล้วเป็นเพียงภาพลวงตา ความจริงเบื้องหลังทั้งอัปลักษณ์ทั้งสกปรก…”
ยามนั้นนางไม่รู้ว่าสิ่งที่เซี่ยเชียนกล่าวนั้นหมายความว่าอย่างไร หลังจากเข้าวังมา ก็ตระหนักรู้ได้ถึงแผนการและกลอุบายมากมาย จึงได้เข้าใจว่าคำพูดของเขาในยามนั้นว่าหมายถึงอะไร
วังหลวง ก็คือสถานที่เปล่าเปลี่ยวและน่ากลัวนัก
ครั้นเข้ามาในสถานที่แห่งนี้แล้ว นั่นหมายความว่าความรู้สึกทั้งหมดของตัวเองล้วนต้องขึ้นอยู่กับบุรุษที่มีสถานะสูงกว่าตนเพียงผู้เดียว
ส่วนคนที่เฝ้าคะนึงและถวิลหาทุกเช้าค่ำของตัวเอง ก็ทำได้แค่มองเขาจากที่ไกล ๆ ในงานเลี้ยงที่น้อยนักจะมีโอกาสเพียงแวบเดียวเท่านั้น
………………………………………………………………………………………………………………………..
[1] ซี (囍) แยกออกมาเป็น 喜 คำเดียวที่แปลว่าความสุข
[2] กู่ลุ่นกงจู่ (固伦公主)คำว่ากู่ลุ่นภาษาแมนจูนั้นแปลว่าสูงศักดิ์ล้ำค่า ส่วนกงจู่เป็นภาษาจีนแปลว่าเจ้าหญิง
สารจากผู้แปล
คู่อาซือกับเจี่ยงเถิงก็ต้องรอต่อไป ส่วนน้องลู่เหยาน่าสงสารเหลือเกินที่เป็นเครื่องมือแก้แค้นของแม่ตัวเอง
สวีกุ้ยเฟยก็ให้อารมณ์เหงาๆ เศร้าๆ ปลงกับชะตาชีวิต ฮ่องเต้กับเซี่ยเชียนยังจะหวานกันมากกว่าอีก
ไหหม่า(海馬)