บทที่ 591 ศัตรูปรากฏตัวไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวคือศัตรูที่ซ่อนเร้น
บทที่ 591 ศัตรูปรากฏตัวไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวคือศัตรูที่ซ่อนเร้น
“หรือว่าอาซือไม่อยากคุยกับข้าแล้ว?”
“หม่อมฉัน…”
หลินซือไม่คิดว่าองค์รัชทายาทจะบีบบังคับกันเช่นนี้ เวลานี้นางจึงไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใด
“องค์รัชทายาท อาซือกำลังหวาดกลัว ฝ่าบาทอย่าทรงทำให้นางตกใจสิพ่ะย่ะค่ะ” ครั้นเห็นท่าทางขององค์รัชทายาท เจี่ยงเถิงก็อดเอ่ยขัดขวางไม่ได้
อาซือเป็นคนของเขา จะยอมให้ผู้อื่นมารังแกได้อย่างไร ต่อให้เป็นองค์รัชทายาทก็ไม่ยอม
“พูดอะไรเช่นนั้น ข้าก็แค่หยอกล้ออาซือก็เท่านั้น พี่อาซืออย่าได้ถือสาเลย”
“ไม่แน่นอนเพคะ” รอยยิ้มของอาซือค่อย ๆ แสดงออกถึงความขมขื่น นางไม่เข้าใจว่าองค์รัชทายาททรงคิดสิ่งใด
ความสุขที่ได้ออกมาเที่ยวเล่นในคืนนี้ ได้พังทลายลงอย่างรวดเร็ว กระทั่งตอนนี้นางอยากจะลากตัวของเจี่ยงเถิงออกไปจากตรงนี้เสียด้วยซ้ำ
“ฝ่าบาททรงทำให้พี่หลินซือหวาดกลัว” ลู่เหยามองดูทั้งสามคนสนทนาจากด้านข้าง นางไม่รู้ว่าควรจะแทรกตรงไหน จึงพยายามหาโอกาสในการพูดมาตลอด
“ไม่หรอก อาซือกล้าหาญ คุณหนูลู่ เจ้าอย่าเพิ่งคล้อยตามท่าทีของนางสิ”
ลู่เหยาข่มความขมขื่นไว้ในใจ จากนั้นก็หันไปมองหลินซือ “พี่หลินซือ วันนี้พวกเจ้าก็ออกมาฉลองเทศกาลแห่งความรักด้วยหรือ?”
“ไม่ใช่นะ ข้าอยากออกมาเดินเล่นตลาดกลางคืนต่างหาก พี่อาเถิงออกมาเป็นเพื่อนข้า ข้าเองก็เพิ่งรู้ว่าวันนี้เป็นวันแห่งความรักหลังจากที่มาถึงเหมือนกัน”
“เช่นนั้นพี่ไปเที่ยวเล่นที่ไหนมาบ้างแล้วล่ะ?”
“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่เดินเล่นไปเรื่อย ๆ ต่อมาก็พบกับชายชราขายน้ำตาลปั้นผู้หนึ่ง จึงให้เขาปั้นน้ำตาลตามลักษณะของข้าและพี่อาเถิง เจ้าดูสิ เหมือนไหม?” หลินซือพูดพลางหยิบน้ำตาลปั้นที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา แล้วยื่นให้ลู่เหยาดู
“ว้าว น่ารักมาก”
“ใช่นะสิ พี่อาเถิงยังบอกอีกว่าถ้าต่อไปได้เจอกับชายชราผู้นั้นอีก จะให้ปั้นอีกแน่นอน”
หลินซือมองเจี่ยงเถิง พลางพูดด้วยความเขินอาย
“ดูท่าช่วงนี้คุณชายเจี่ยงจะว่างมากกระมัง?” องค์รัชทายาทรู้เรื่องในราชสำนักดี และรู้ด้วยว่าถ้าเจี่ยงเถิงไม่ว่างไม่มีทางออกมา
แต่เจี่ยงเถิงไม่มีความคิดอยากจากบ้านไกลเลยแม้แต่น้อย จึงพาหลินซืออกมาเดินเล่น ดูท่าคงจะตั้งใจคว้าทุกเวลาให้คุ้มค่าที่สุด
“ไม่ว่างหรอกพ่ะย่ะค่ะ วันนี้องค์จักรพรรดิทรงมอบหมายเรื่องตรวจสอบเกลือให้กับกระหม่อมแล้ว แต่เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องทำหลังจากนี้ วันนี้กระหม่อมจึงได้มีเวลาออกมาเดินเล่นกับอาซือพ่ะย่ะค่ะ”
แม้ว่าคำพูดของเจี่ยงเถิงจะฟังดูปกติ แต่น้ำเสียงนั้นกลับแฝงไปด้วยความภาคภูมิใจที่องค์จักรพรรดิทรงเชื่อใจในตัวเขา ทั้งยังลอบจิกกัดว่าองค์รัชทายาททรงยังพระเยาว์ ดังนั้นจึงไม่สามารถรับผิดชอบงานราชการเหล่านี้ได้
นับว่านี้คือจี้จุดขององค์รัชทายาทเป็นอย่างดี ถูกต้อง เขาเข้าร่วมงานราชการเหล่านี้ไม่ได้ และยังเด็กกว่าอาซือเจ็ดถึงแปดปี ความชอบในตัวอาซือกลับกลายเป็นเรื่องน่าขบขัน ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เขาขุ่นเคืองอย่างมาก
“ในเมื่อคุณชายเจี่ยงยุ่งเพียงนี้ ต่อไปก็คงไม่มีเวลามาเที่ยวเล่นกับอาซือแล้วสินะ”
“กระหม่อมได้นำหนังสือถวายแด่องค์จักรพรรดิแล้ว ขออนุญาตพาหลินซือไปด้วย ตราบใดที่องค์จักรพรรดิทรงอนุญาต ก็คงจะพาหลินซือไปด้วยกันพ่ะย่ะค่ะ”
เจี่ยงเถิงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่กลับทำให้ก่อเกิดไฟสุมขึ้นในใจขององค์รัชทายาท
เจี่ยงเถิงให้ความสำคัญกับอนาคตเสมอ บัดนี้เขาได้ถวายหนังสือรายงานแด่องค์จักรพรรดิแล้ว ว่าในใจของเขาหลินซือสำคัญกว่าอนาคต
ครั้นเป็นเช่นนี้ แม้ว่าจะได้รับความชื่นชอบจากตระกูลหลิน แต่หนทางการเป็นขุนนางยากลำบากยิ่งกว่าแต่ก่อน
เขาทำแบบนี้ คงจะไม่เสียใจภายหลังหรอกใช่ไหม?
“จริงหรือ? พี่อาเถิง เหตุใดพี่ถึงไม่บอกข้า?”
แม้ว่าหลินซือจะไม่ได้คิดมากเหมือนกับองค์รัชทายาท แต่ทันทีที่ได้ยินคำพูดของเจี่ยงเถิงนางก็พรวดลุกขึ้น
ตลอดช่วงบ่ายวันนี้นางไม่สบายใจเพราะเรื่องที่เจี่ยงเถิงต้องเดินทางไกล พอมาตอนนี้พี่อาเถิงกลับบอกนางว่าเขาจะพานางไปด้วย สำหรับนางนี่คือข่าวดีที่สุด
“จริงสิ แต่เพราะองค์จักรพรรดิยังไม่อนุมัติ ข้าจึงไม่ได้บอกเจ้าเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เจ้าดีใจเก้อ ตอนนี้บอกเจ้าไปก็คงไม่เป็นไร”
ไม่ว่าอย่างไรผู้ชายโดยส่วนใหญ่ ยามเผชิญหน้ากับการยั่วยุของศัตรู ก็มักจะเมินเฉยไม่ได้
สำหรับคนภายนอก องค์รัชทายาทยังทรงพระเยาว์ แต่ในสายตาของเจี่ยงเถิง เขาเป็นผู้ชายที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วคนหนึ่ง แต่ผู้ชายคนนี้กำลังจ้องว่าที่ภรรยาของตัวเองตาเป็นมัน จะให้เขาอดกลั้นได้อย่างไร
เจี่ยงเถิงผู้มีคุณสมบัติโดดเด่นในราชสำนัก เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการยั่วยุขององค์รัชทายาท จิตใจคงจะนิ่งเหมือนน้ำที่สงบไม่ได้
“อื้อ ข้าจะไม่ร้องไห้ขี้มูกโป่งแน่นอน” หลินซือเหมือนถูกเจี่ยงเถิงมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่ง จึงเอ่ยด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย
การประจันหน้ากันในร้านอาหารแห่งนี้ยังคงดำเนินต่อไป
อีกด้านหนึ่ง ภายในห้องทรงอักษรขององค์จักรพรรดิก็กำลังประชุมเช่นกัน
“ได้อ่านหนังสือขออนุญาตนี้แล้ว เจ้าคิดว่าอย่างไร”
องค์จักรพรรดิที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ได้เอ่ยถามเซี่ยเชียน
เซี่ยเชียนในตอนนี้ได้ถอดชุดเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิออกเรียบร้อยแล้ว ยามนี้เขาแต่งกายด้วยชุดคลุมตัวยาวสีขาวมุก ริ้วรอยที่หลงเหลืออยู่บนใบหน้าไม่ได้ทำให้เขาสูญเสียความงดงามไปแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับทำให้เขามีชีวิตชีวาขึ้น
“เจี่ยงเถิงเป็นคนจริงจังกับทุกเรื่อง คิด ๆ ดูแล้วเขาคงอยากจะวิงวอนขอความเมตตาจากฝ่าบาท อนุญาตให้เขาพาคนของตัวเองไปด้วยเหตุผลอันสมควร ฝ่าบาทจะไม่ปล่อยให้ความรักของเด็กๆ ดำเนินไปตามทางของมันหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยเชียนยังคงพูดอย่างเป็นกลาง ไม่ได้เข้าข้างเจี่ยงเถิงเพียงเพราะมีความสัมพันธ์กับหลินซือแต่อย่างใด
“ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล แต่ถ้าข้าไม่อยากทำเช่นนี้ล่ะ?”
“กระหม่อมแสดงความคิดเห็นของตัวเอง ฝ่าบาทจะทรงตัดสินพระทัยอย่างไรสุดแล้วแต่ฝ่าบาท กระหม่อมไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย”
เซี่ยเชียนยังคงรักษาระยะห่างของความเป็นองค์จักรพรรดิและขุนนางไว้อย่างดี ไม่กล้ากระทำเกินขอบเขต เขารู้ว่าตัวเองและองค์จักรพรรดิควรรักษาระยะห่างกันแค่ไหน
“บางครั้งข้าก็คิดว่ามีเรื่องอะไรที่ทำให้เจ้ากระวนกระวายใจจนสูญเสียการควบคุมได้บ้างไหม”
“หน้าที่ของกระหม่อมคือการแก้ปัญหาให้แก่ฝ่าบาท การทำสมองให้ตื่นตัวเป็นสิ่งที่สำคัญ ดังนั้นกระหม่อมจึงไม่กล้าลืมแม้แต่เสี้ยวนาทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ”
“พอแล้ว ต่อหน้าข้าเจ้าไม่ต้องทำเช่นนี้ ที่ข้าเรียกเจ้ามาในวันนี้ก็เพราะข้าลำบากใจจริง ๆ เจ้ารู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของขุนนาง แต่มันเกี่ยวข้องกับองค์รัชทายาท”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ องค์จักรพรรดิก็ได้แต่จนปัญญา
แม้ว่าตัวเองจะไม่ได้อุทิศตัว แต่ก็ยังคิดมากเพื่อองค์รัชทายาทอยู่ไม่น้อย
สำหรับเขา ชีวิตขององค์รัชทายาทยังอีกยาวไกล ดังนั้นคนที่จะมาเป็นพระชายาในองค์รัชทายาทจึงยังไม่รีบร้อนนัก
แต่ไม่รู้ว่าองค์รัชทายาทเป็นอะไร ถึงได้ฝังใจกับหลินซือคนนั้นเหลือเกิน
ถ้าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเซี่ยเชียน หลินซือผู้นั้นจะมีชีวิตที่ดีจนถึงตอนนี้ไหม เพราะเช่นนี้ มันถึงได้ยากที่สุด…
…………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
พี่อาซือหวาดกลัวขนาดนี้น่าจะเห็นได้ชัดแล้วนะคะว่าเขาไม่ได้ชอบพระองค์เลย
ไหหม่า(海馬)