ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] – บทที่ 639 เรื่องนี้คงโทษองค์รัชทายาทไม่ได้

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

บทที่ 639 เรื่องนี้คงโทษองค์รัชทายาทไม่ได้

บทที่ 639 เรื่องนี้คงโทษองค์รัชทายาทไม่ได้

นางรู้ชัดเจนแก่ใจดี หากไม่ใช่เพราะตัวเอง บุตรสาวคงไม่ขอร้องไห้องค์รัชทายาทแน่นอน

“วันนี้ก็ดึกมากแล้ว เจ้ารีบพาจาวเอ๋อกลับไปพักผ่อนเสียเถอะ ดึกดื่นค่อนคืนอย่าพาเด็กน้อยออกมาเที่ยวเล่นข้างนอก มันจะไม่ดีกับนาง”

“เพคะ เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวลา”

“จาวเอ๋อขอตัวลา ต่อไปเสด็จพ่อต้องมาหาจาวเอ๋อบ่อย ๆ นะเพคะ!”

“ได้” องค์จักรพรรดิรับปากองค์หญิงจาวเอ๋อด้วยรอยยิ้ม แล้วให้ทั้งสองคนกลับออกไป ตัวเองจึงได้ยกตำราขึ้นมาอ่านต่อ

หลังจากออกจากตำหนักแล้ว องครักษ์ที่มองข้ามสวีกุ้ยเฟยเมื่อครู่ผู้นั้นยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น ไม่มีคำสั่งจากองค์หญิงจาวเอ๋อ ไหนเลยจะกล้าลุกขึ้น

แต่เมื่อครู่องค์หญิงจาวเอ๋อมัวแต่ดีใจยามได้เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ จึงไม่ได้คิดบัญชีกับเขา

นางมองเขาหลายครา แต่แล้วก็เดินจากไปพร้อมกับสวีกุ้ยเฟย องครักษ์ผู้นั้นจึงได้ถอนหายใจยาว ๆ อย่างโล่งอก ยังดีที่องค์หญิงจาวเอ๋อไม่ถือโทษเอาความ มิเช่นนั้นชีวิตน้อย ๆ ของเขาคงไม่รอดแน่

หลังจากสวีกุ้ยเฟยส่งจาวเอ๋อกลับตำหนักเรียบร้อยแล้ว ก็ตรงไปยังตำหนักขององค์รัชทายาทอีกครั้ง แม้ว่าจะดึกดื่นมากแล้ว แต่ถึงกระนั้นสวีกุ้ยเฟยก็มีศักดิ์เป็นแม่เลี้ยงขององค์รัชทายาท ดังนั้นต่อให้เป็นผู้อื่นก็พูดสิ่งใดไม่ได้

ยามไปถึง เพราะองค์รัชทายาทถูกกักขัง ดังนั้นบรรยากาศทั้งตำหนักจึงค่อนข้างหดหู่ ครั้นเห็นสวีกุ้ยเฟยเสด็จมาก็รีบเข้าไปต้อนรับด้วยความกระตือรือร้นทันที “น้อมทักทายสวีกุ้ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ”

“ลุกขึ้นเถอะ องค์รัชทายาทอยู่ไหน?”

“รายงานสวีกุ้ยเฟยเหนียงเหนียง องค์รัชทายาททรงประทับอยู่ในตำหนัก ไม่เคยเสด็จออกมาเลยพ่ะย่ะค่ะ”

“เปิดประตู ข้าจะเข้าไปดูองค์รัชทายาท”

“องค์จักรพรรดิทรงลงโทษโดยการกักขังองค์รัชทายาทไว้ หากไม่ได้รับการอนุญาตจากองค์จักรพรรดิ ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปเยี่ยมองค์รัชทายาททั้งนั้น ได้โปรดสวีกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงเห็นใจกระหม่อมด้วย”

“ข้ารู้แล้ว ฝ่าบาททรงยกเลิกการกักขังองค์รัชทายาทแล้ว พวกเจ้ายังไม่รีบเปิดประตูอีก แม้แต่คำสั่งของข้าพวกเจ้าก็ไม่เชื่อฟังแล้วสิ? หรือต้องให้ข้าร่างพระราชโองการขอร้องพวกเจ้าด้วยตัวข้าเอง?”

“กระหม่อมมิบังอาจ” ครั้นเห็นสวีกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงทรงกริ้ว องครักษ์ผู้นั้นจึงรีบเปิดประตูให้ทันที

ถึงอย่างไรต่อจากนี้หากองค์จักรพรรดิจะทรงลงโทษ อย่างน้อยก็มีกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงเป็นหน้าด่านช่วยแบกรับแทนพวกเขา ไม่ว่าอย่างไรก็คงจะตำหนิพวกเขาไม่ได้

“รอกันตรงนี้ ข้าจะเข้าไปหาองค์รัชทายาท”

“พ่ะย่ะค่ะ”กุ้ยเฟยเห็นท่าทางตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัวขององครักษ์เหล่านั้น ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความเจ้าเล่ห์ของตำหนักแห่งนี้

ครั้นนึกถึงเรื่องที่เซี่ยเชียนเคยกล่าวไว้กับนางเกี่ยวกับงานอภิเษกสมรสกับองค์หญิงเหอซั่วก่อนหน้านั้น ยามนั้นนางช่างไร้เดียงสายิ่งนัก คิดว่านั่นคือเชื้อพระวงศ์แห่งราชอาณาจักร แต่บัดนี้ เป็นเพียงศักดิ์ศรีเท่านั้น

ยามที่สวีกุ้ยเฟยมาถึง เสียงของนางไม่เบานัก ดังนั้นองค์รัชทายาทที่ประทับอยู่ข้างในจึงย่อมได้ยินเป็นธรรมดา

แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ที่กลับชาติมาเกิดใหม่ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับสวีกุ้ยเฟยอย่างไร เพราะสวีกุ้ยเฟยนั้นดีกับเขาเสมอ กระทั่งมากกว่าองค์หญิงในไส้ของนางเสียอีก

แต่องค์รัชทายาทไม่ใช่คนที่ไร้เดียงสาอีกแล้ว สวีกุ้ยเฟยทำเช่นนี้ แค่อยากให้ตัวเองปฏิบัติกับจาวเอ๋อย่างดีเท่านั้น เขารู้ทุกอย่าง

“องค์รัชทายาท พระองค์เป็นอย่างไรบ้าง?” สวีกุ้ยเฟยเดินเข้ามาในตำหนัก ครั้นเห็นองค์รัชทายาทประทับอยู่บนเก้าอี้ ปรายตามองสวีกุ้ยเฟยด้วยแววตาสับสนงุนงง

“เสด็จแม่ ท่านมาได้อย่างไร?”

“ได้ยินว่าเจ้าถูกกักขัง ข้าจึงไปขอร้องให้องค์จักรพรรดิเห็นใจเจ้า มีคำพูดของจาวเอ๋ออีกแรงจึงได้ผล หลังจากองค์จักรพรรดิทรงได้ยิน ก็อนุญาตให้ปล่อยตัวเจ้าโดยไม่พูดมากความแต่อย่างใด”

“จาวเอ๋อช่างมีน้ำใจ ขอบพระทัยที่เสด็จแม่ปกป้องข้า”

“เจ้าคือลูกของข้า แม้ว่าเราจะไม่ใช่แม่ลูกกันโดยสายเลือด แต่เราสองแม่ลูกก็มีบุญสัมพันธ์ต่อกัน ข้าย่อมเข้าข้างเจ้า แต่ … องค์รัชทายาท ครานี้เจ้าทำเกินไปจริง ๆ”

สวีกุ้ยเฟยรู้ต้นสายปลายเหตุไม่มากก็น้อย เดิมทีอยากจะมาช่วยโน้มน้าวองค์รัชทายาท แต่ครั้นเห็นองค์รัชทายาทตกอยู่ในสภาพนี้ คำดุด่าเหล่านั้นกลับพลั่งพลูไม่ออก

“เสด็จแม่ มีข่าวคราวของอาซือบ้างไหม?” องค์รัชทายาทไม่คิดว่าเรื่องทุกอย่างจะกลายมาเป็นเช่นนี้ การตำหนิตัวเองจึงสะท้อนออกมาทางแววตาอย่างชัดเจน

“ไม่มี แต่ทางจวนท่านแม่ทัพเร่งมือกันออกตามหาแล้ว น่าจะเจอตัวเร็ว ๆ นี้”

“ข้าผิดเอง ถ้าข้าไม่ทำตามใจตัวเอง อาซือก็คงไม่เกิดเรื่อง ถ้าข้าอดทนไปอีกระยะหนึ่งได้มากพอ รอให้จับโจรเหล่านั้นได้ทั้งหมด ก็คงไม่เกิดเรื่องอย่างในวันนี้”

“องค์รัชทายาท เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้า แต่ถ้าท่านแม่ทัพเจอตัวคุณหนูหลินแล้ว เจ้าต้องไปขอโทษนางถึงจวน เข้าใจไหม?”

“ข้าเข้าใจ ข้าต้องไปแน่นอน”

“แม้ว่าองค์จักรพรรดิจะทรงกริ้วมาก แต่มีจาวเอ๋อช่วยพูดให้ เขาจึงให้อภัยเจ้า พรุ่งนี้เจ้าต้องไปสำนึกผิดบาปต่อองค์จักรพรรดิ แล้วปล่อยให้เรื่องนี้มันผ่านไป”

“อื้อ ขอบพระทัยเสด็จแม่” ครั้นได้ยินคำพูดของสวีกุ้ยเฟย องค์รัชทายาทจึงรีบกล่าวขอบคุณนาง

แม้ว่าคนในวังจะดีกับเขา แต่สวีกุ้ยเฟยต้องบากหน้าไปขอร้องเว้าวอนองค์จักรพรรดิเพื่อเขาหลายครั้งหลายครา เรื่องเหล่านี้เขาจดจำมันไว้ขึ้นใจมาตลอด

“เอาล่ะ เวลาก็ดึกมากแล้ว เจ้ารีบผักผ่อนเถอะ แม่ขอตัวก่อน”

“น้อมส่งเสด็จแม่” หลังจากส่งสวีกุ้ยเฟยเรียบร้อยแล้ว องค์รัชทายาทเพิ่งกลับเข้ามาในตำหนักไม่นาน เวลานี้ คนรับใช้ตระกูลลู่รีบกลับเข้าวัง เพื่อกราบทูลรายงานองค์รัชทายาทพอดี

“ลู่เหยาเป็นอย่างไรบ้าง ฟื้นแล้วใช่หรือไม่?”

“รายงานองค์รัชทายาท คุณหนูลู่เหยาฟื้นแล้ว แต่สภาพร่างกายยังอ่อนแอมาก ต้องพักฟื้นพ่ะย่ะค่ะ”

“นางยังตกใจอยู่ไหม?”

“ข้าน้อยไม่ทราบ ฮูหยินลู่ดูแลคุณหนูลู่อย่างดี ข้าน้อยไม่เห็นคุณหนูลู่ เรื่องเหล่านี้ข้าน้อยได้ยินมาจากหมอหลวงพ่ะย่ะค่ะ”

“ข้ารู้แล้ว เจ้ากลับไปเถอะ อีกอย่างส่งโสมร้อยปีที่องค์จักรพรรดิพระราชทานให้ข้าเมื่อคราวที่แล้วไปให้คุณหนูลู่ ให้นางพักฟื้นเต็มที่ ไว้ข้าว่างข้าจะไปเยี่ยมนาง”

“พ่ะย่ะค่ะ” ครั้นได้ยินข่าวว่าลู่เหยาไม่เป็นอะไร องค์รัชทายาทก็โล่งใจลงมาก ตอนนี้มีแค่เรื่องอาซือเท่านั้น

ไม่รู้ว่าคนของท่านแม่ทัพจะเจอตัวอาซือหรือไม่ หน้าผาบริเวณจวนบนเขาแห่งนั้นสูงมาก ตกลงไปต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่นอน เป็นเพราะเขาที่คิดไม่รอบคอบเอง

อีกด้านหนึ่ง คนรับใช้ได้นำโสมมาถึงในจวนลู่ในคืนนั้น แต่ประตูจวนลู่ปิดสนิทเข้าไปไม่ได้ จึงทำได้แค่ฝากคนรับใช้หน้าประตูนำเข้าไปแทน

ครั้นเห็นคนของจวนลู่ปฏิบัติกับตัวเองอย่างไม่เกรงใจ คนรับใช้จึงไม่อยู่หน้าจวนลู่นานนัก และตรงกลับวังทันที

ตู้เหิงมองโสมที่ถูกส่งมาจากวังหลวงด้วยความโกรธเคืองที่ปะทุขึ้นในใจ แม้ว่าโสมร้อยปีชิ้นนี้จะเป็นของหายาก แต่ก็ใช่ว่าจวนลู่จะไม่มี เหตุใดองค์รัชทายาทจึงต้องลำบากสั่งคนนำมาส่งด้วย

แค่เพื่อคลายความไม่พอในภายในใจเท่านั้น นางจำได้ว่าในตำหนักขององค์รัชทายาททรงมีโสมพันปีอยู่หนึ่งชิ้น แต่ครานี้องค์รัชทายาทกลับไม่นำมาส่ง คงจะเก็บไว้ให้หลินซือนังเด็กสาวแพศยาผู้นั้นสิท่า

“ลูกรัก เจ้าก็เห็นแล้ว องค์รัชทายาทไม่ได้ใส่ใจลูก ครานี้เจ้าได้รับบาดเจ็บเพราะองค์รัชทายาท เขากลับนำโสมร้อยปีมาให้เจ้าแบบขอไปทีเท่านั้น ดูท่าในสายตาขององค์รัชทายาทเจ้าไม่ได้มีความสำคัญอะไร โชคดีที่ก่อนหน้านั้นแม่เคยบอกว่าองค์รัชทายาททรงปฏิบัติกับเจ้าแตกต่างจากหลินซือ เหมือนลู่เหยาไม่ได้สำคัญอะไรเลย”

“ท่านแม่ เดิมทีเป็นเพราะข้าเองที่ยื่นมือเข้าไปช่วยองค์รัชทายาท เรื่องนี้คงโทษองค์รัชทายาทไม่ได้” แม้ว่าลู่เหยาจะอ่อนแอ แต่ร่างกายไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด แค่จิตใจกระทบกระเทือนเท่านั้น

บัดนี้นางฟื้นแล้ว ร่างกายก็ไม่ได้บาดเจ็บมากเพียงนั้น ระดับในการฟื้นตัวค่อนข้างเร็วกว่าผู้อื่น

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ความจริงแล้วองค์รัชทายาทน่าจะถูกขังจนไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันด้วยซ้ำ ตู้เหิงนี่ก็ไม่เลิกลาจริง ๆ เลย

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

Status: Ongoing
เหยาซูเสียชีวิตเนื่องจากเครื่องบินตก ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองได้มาอยู่ในร่างตัวละครหนึ่งในนิยายที่ตัวเองกำลังอ่าน!หญิงสาวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกและมาเกิดใหม่ในนิยายยุคโบราณที่ตนเองกำลังอ่าน หลังฟื้นขึ้นมาจึงพบว่าตนเองอยู่ในร่างของ เหยาซู มารดาของวายร้ายทั้งสามในเรื่อง กลายเป็นแม่ม่ายลูกติดโฉมสะคราญที่ผู้คนต่างชี้หน้าบอกว่าเป็นตัวซวยทำให้สามีต้องตาย เมื่อได้ทราบว่าชีวิตของลูก ๆ ต้องเผชิญกับการดูถูก นางจึงทนไม่ไหวเก็บข้าวของหอบลูกกลับบ้านเก่า เริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกและครอบครัวทางแม่ของตน ด้วยคิดว่าหากสั่งสอนลูกดี ๆ พวกเขาคงไม่กลายเป็นตัวร้าย จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของนางได้กลับมา พวกเขาจึงได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง แต่แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าตามนิยายต้นฉบับสามีของตนจะตกหลุมรักสตรีอื่น จึงคิดหาวิธีที่จะหย่าขาดกับเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท