ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] – บทที่ 654 พรุ่งนี้ค่อยมาเยี่ยมเสด็จพี่ใหม่

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

บทที่ 654 พรุ่งนี้ค่อยมาเยี่ยมเสด็จพี่ใหม่

บทที่ 654 พรุ่งนี้ค่อยมาเยี่ยมเสด็จพี่ใหม่

หลินซือฟื้นจากอาการเจ็บ พวกกากเดนคนอื่นต่างถูกจับไปหมด ดังนั้นองค์รัชทายาทจึงถือว่าเรื่องในครั้งนี้ได้จบลงแล้ว หลังจากองค์รัชทายาทได้รับการลงโทษด้วยการถูกกักบริเวณพอเป็นพิธี โทสะขององค์จักรพรรดิจึงลดลงไปพอสมควร

“องค์รัชทายาท วันนี้พระองค์จะเสด็จออกนอกวังหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

“ไม่ออก จะออกไปทำไม” องค์รัชทายาทมองขันทีที่เดินมาหยุดข้างกายตนเอง ซึ่งความจริงแล้วก็คือองค์หญิงจาวเอ๋อ จึงพลันเอือมระอาระลอกหนึ่งในใจ

นับตั้งแต่องค์หญิงจาวเอ๋อขอร้องต่อองค์จักรพรรดิให้เขาในคราที่แล้ว ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดองค์หญิงจาวเอ๋อที่มักชิงชังเขามาโดยตลอดก็เหมือนกับหนอนที่ตามติด คอยอยู่ข้างกายเขาเสมอ

วันทั้งวันก็พร่ำเพ้อแต่จะออกนอกวัง ถ้าองค์รัชทายาทเสด็จออกนอกวังเพียงพระองค์เดียวนับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่หากเพิ่มองค์หญิงจาวเอ๋อไปด้วยอีกคน เกรงว่ายังไม่ทันได้เสด็จออกนอกวัง บรรยากาศในวังคงจะพลิกผันเสียก่อน

สวีกุ้ยเฟยต้องไม่ยอมปล่อยเขาเป็นคนแรกแน่นอน ไหนจะเสด็จพ่ออีกคน พวกเขาต่างเห็นจาวเอ๋อเปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจก็มิปาน ถ้าให้เขารู้ว่าตัวเองพาจาวเอ๋อเสด็จออกนอกวัง ตัวเองต้องถูกโยงเข้าไปเอี่ยวด้วยแน่นอน

ดังนั้นองค์รัชทายาทที่ไม่อยากประทับอยู่ในวังมาโดยตลอด จึงจำใจต้องอยู่ในวังเป็นเวลาหนึ่งเดือนโดยที่ไม่มีความคิดจะเสด็จออกนอกวังแต่อย่างใด

ส่วนองค์หญิงจาวเอ๋อก็ไม่ได้ร้อนใจ คล้ายกับพบเจอเรื่องที่น่าสนุกยิ่งกว่า วันนี้นางแต่งกายเป็นนางกำนัลในวัง พรุ่งนี้แต่งกายเป็นขันที วิ่งวุ่นอยู่ในวังตลอดเวลา คอยเฝ้าดูว่าใครจะสังเกตเห็นนางบ้าง เล่นสนุกไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

ถ้าคนอื่นทำเช่นนี้ จะต้องถูกองค์จักรพรรดิทรงตำหนิหาว่าไม่รู้จักกฎระเบียบเป็นแน่ แต่สำหรับองค์หญิงจาวเอ๋อนั้นไม่เหมือนกัน

หลังจากที่องค์จักรพรรดิทรงได้ยินสิ่งที่องค์หญิงจาวเอ๋อกระทำ ไม่เพียงแต่ไม่ตำหนิแล้ว ตรงกันข้ามยังชื่นชมองค์หญิงจาวเอ๋อว่าทรงมีความเฉลียวฉลาดมากอีกด้วย รู้จักสังเกตและศึกษาความต้องการของราษฎร เป็นองค์หญิงที่คำนึงถึงความทุกข์สุขของราษฎรพระองค์หนึ่ง

องค์รัชทายาทเคยชินกับความสองมาตรฐานของเสด็จพ่อแล้ว แต่เขาไม่สามารถกล่าวเรื่องไร้สาระพร่ำเพรื่อได้ ครั้นเห็นจาวเอ๋อแต่งกายเป็นขันทียืนโยกตัวไปมาอยู่ข้างกายของตน เขาก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าตรงไหนที่บ่งบอกว่านางมีความห่วงใยทุกข์สุขของราษฎรโดยแท้จริง

“เสด็จพี่ ท่านจะไม่เสด็จออกไปจริง ๆ หรือ? ข้าได้ยินคนข้างนอกพูดกันเซ็งแซ่ว่าพี่หลินซือเหมือนจะฟื้นแล้ว เสด็จพี่จะไม่ไปเยี่ยมเยือนนางหน่อยหรือ?”

ดวงตาคู่นั้นขององค์หญิงจาวเอ๋อกลอกไปมา ใครเลยจะไม่รู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใด ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงองค์รัชทายาทช่างสังเกตผู้นี้

อีกทั้งยามเอ่ยถึงหลินซือ เขามักจะนึกถึงช่วงที่ตนเสด็จไปขอโทษถึงตระกูลหลินในคราที่แล้ว แม้แต่เงาของอาซือก็ไม่เห็น ยามนั้นหลินเหราไม่รู้จักกาลเทศะจริง ๆ ด้วยความจนปัญญาที่ตอนนั้นตัวเองตั้งใจมาขอโทษชดเชยความผิด มิเช่นนั้นไม่ว่าอย่างไรเขาคงถลันเข้าไปเยี่ยมหลินซือนานแล้ว

“ไม่ไป ในเมื่ออาซือฟื้นแล้วก็ดี เจ้าคิดว่าใครจะทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเฉกเช่นเจ้าได้? บทเรียนของท่านอาจารย์เซี่ยวันนี้ข้าก็ยังทำไม่เสร็จเลย”

“หึ เสด็จพี่คิดว่าข้าไม่รู้รึ บทเรียนของท่านอาจารย์เซี่ยเสด็จพี่ให้หลินเซินทำ จากนั้นเสด็จพี่ก็ค่อยมาคัดลอก ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าเหตุใดหลินเซินต้องเชื่อฟังคำสั่งของเสด็จพี่ด้วย”

ครั้นได้ยินว่าองค์รัชทายาทอ้างจะทำแบบฝึกหัด องค์หญิงจาวเอ๋อจึงเปิดโปงเขาอย่างไม่เกรงใจ

ก่อนหน้านั้นเพราะไม่ชอบหน้าขององค์รัชทายาท ดังนั้นนางจึงคอยจ้องจับจุดอ่อนของเขาตลอดเวลา เรื่องขององค์รัชทายาท นางจึงรู้แทบทุกอย่าง เพียงแต่ไม่พูดเท่านั้น

เสด็จแม่เคยบอกนางไว้ อย่าทำในเรื่องที่ตัวเองไม่มั่นใจ ใครเลยจะรู้ว่าตอนนี้นางจะต้องมาปรองดองกับองค์รัชทายาท จุดอ่อนที่เคยรวบรวมข้อมูลไว้ก่อนหน้านั้นจึงไร้ประโยชน์ นอกจากจะหยิบออกมากลั่นแกล้งองค์รัชทายาทเป็นครั้งคราว

“เขาคือสหายร่วมเรียน ไม่เชื่อฟังข้าแล้วจะเชื่อฟังผู้ใด? จาวเอ๋อ เจ้าเกลียดชังข้ามิใช่รึ? แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงเลิกเกลียดข้าเสียได้?”

องค์รัชทายาทอยากรู้จริง ๆ ก่อนหน้านั้นทุกครั้งที่เขาและองค์หญิงจาวเอ๋อเจอหน้ากันก็เหมือนกับขิงก็ราขาก็แรง ถ้าไม่ใช่เพราะสวีกุ้ยเฟยคอยห้ามปรามอยู่ข้าง ๆ พวกเขาคงจะทะเลาะกันบ้านแตกไปแล้ว

แม้ว่าการที่ตนผู้ซึ่งกลับชาติมาเกิดใหม่ครั้งหนึ่งต้องมานั่งทะเลาะกับเด็กน้อยวัยไม่กี่ขวบคนหนึ่งมันช่างน่าอับอายมาก แต่จะมีใครบ้างที่รู้?

ถึงกระนั้นเขาก็คาดไม่ถึง เพียงระยะเวลาสั้น ๆ ความรู้สึกที่องค์หญิงจาวเอ๋อมีต่อเขาจะกลับตาลปัตรเช่นนี้ ทำให้เขารับมือไม่ทัน

“หึ หากไม่ใช่เพราะเสด็จแม่ทรงตรัสไว้ว่า เสด็จพี่เป็นบุตรที่นางเลี้ยงมาจนเติบใหญ่ และเป็นลูกของนาง ข้าเองก็เป็นลูกของนาง เราสองพี่น้องต้องสามัคคีปรองดองกันไว้ ทุกครั้งที่ข้าเห็นเสด็จแม่เอ่ยถึงเสด็จพี่ข้ามักปวดใจ และยิ่งไม่ชอบเสด็จพี่”

“แล้วทำไมถึงได้เปลี่ยนท่าทีที่มีต่อข้าไปมากมายเช่นนี้?”

“เพราะเสด็จแม่บอกว่าเสด็จพี่ทรงเป็นเด็กดี บางครั้งวิธีการที่ใช้อาจจะดูรุนแรงไปบ้าง ทั้งยังบอกว่าข้าเป็นองค์หญิง ต้องรู้จักใจกว้าง จะมาคิดเล็กคิดน้อยทุกเรื่องไม่ได้ ดังนั้นข้าจึงให้อภัยเสด็จพี่”

แม้ว่าจาวเอ๋อจะมีอายุไม่มากนัก แต่การพูดการจากลับสมเหตุสมผล ไม่รู้ว่าผู้ใดสั่งสอนนางมา

“ที่แท้ก็เช่นนี้นี่เอง”

“ใช่ ข้าไม่ได้เป็นคนใจแคบ อีกอย่างในฐานะที่ข้าเป็นน้องสาว ข้ายอมให้อภัยเสด็จพี่ได้เสมอ ซึ่งในฐานะที่เสด็จพี่เป็นพี่ชายจะไม่ใจกว้างกับข้าหน่อยหรือ?”

“…” ทำไมองค์รัชทายาทถึงรู้สึกว่าเขาถูกเด็กดูถูกเลยล่ะ

“เสด็จพี่ ตกลงเสด็จพี่จะไม่ออกนอกวังจริง ๆ ใช่ไหม?”

“ไม่ออก”

“งั้นก็ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พรุ่งนี้ข้าจะมาหาเสด็จพี่ใหม่ เสด็จพี่ไม่มีวันหนีข้าพ้น” ครั้นได้ยินคำตอบแน่วแน่ขององค์รัชทายาท องค์หญิงจาวเอ๋อก็ออกจากตำหนักขององค์รัชทายาทไป

คนที่สวีกุ้ยเฟยส่งมาให้องค์หญิงจาวเอ๋อต่างรออยู่ข้างนอกตลอด เพราะองค์หญิงจาวเอ๋อทรงตรัสไว้ ในเมื่อแต่งกายเป็นขันทีจะให้มีคนติดตามมากมายเพียงนี้ไปทำไม ทำสิ่งใดก็ต้องจริงจัง

ดังนั้นพวกเขาถึงถูกทิ้งให้รออยู่ข้างนอก ดูจากนิสัยที่องค์รัชทายาททรงชิงชังองค์หญิงจาวเอ๋อก่อนหน้านั้น พวกเขาต่างรออยู่ข้างนอกด้วยเหงื่อที่เปียกชุ่มไปทั้งตัว กลัวว่าองค์รัชทายาทจะทรงควบคุมอารมณ์ไม่อยู่แล้วเผลอโยนองค์หญิงออกมา องค์รัชทายาทคือโอรสแห่งแผ่นดิน จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นไม่ได้ แต่พวกเขานั้นแตกต่าง

ถ้าองค์หญิงจาวเอ๋อเกิดอุบัติเหตุแม้เพียงเล็กน้อย ต่อให้พวกเขาชดใช้ด้วยชีวิตก็ยังไม่พอ ดังนั้นครั้นเห็นองค์หญิงจาวเอ๋อเสด็จออกมาอย่างร่าเริง พวกเขาจึงรีบปาดเหงื่อทันที

“องค์หญิงเสด็จออกมาแล้ว”

“ใช่ ทำไมพวกเจ้าถึงได้เหงื่อออกกันจนเปียกกันทุกคนเช่นนี้ ข้างนอกก็ไม่มีแดดเสียหน่อย?” ครั้นเห็นผู้ติดตามของตัวเองเหงื่อออกเต็มหน้าผาก จาวเอ๋อยังคิดอยู่เลยว่าพวกเขาเพิ่งออกกำลังกายอะไรกันมาหรือไม่

“บ่าวเป็นห่วงองค์หญิงเพคะ องค์รัชทายาทและองค์หญิงทรงไม่ถูกกัน ถ้าองค์หญิงทรงตรัสผิดไปยั่วโมโหองค์รัชทายาทเข้าจะทำอย่างไรล่ะเพคะ?”

“แล้วอย่างไร? ข้าเป็นธิดาในสายเลือดเดียวกับองค์จักรพรรดิ องค์รัชทายาทยังกล้าทำอะไรข้าได้?”

“องค์หญิง เวลาก็เย็นมากแล้ว กลับตำหนักก่อนเถอะเพคะ”

“ก็ได้ วันนี้เสด็จพ่อจะมาหาข้าพอดี ข้าจะรีบกลับไปแต่งองค์ทรงเครื่องใหม่เสียหน่อย มิเช่นนั้นขืนเสด็จพอเห็นข้าในสภาพนี้ มีหวังได้โดนเสด็จพ่อเอ็ดเอาแน่”

“เพคะ องค์หญิงตรัสถูกต้อง” ทุกคนแทบอยากจะพาองค์หญิงจาวเอ๋อออกให้ไกลห่างจากตำหนักองค์รัชทายาทเสียโดยเร็ว เช่นนี้จึงได้พากันคล้อยตามออกไป

“งั้นก็ได้ วันนี้พอแค่นี้แล้วกัน พรุ่งนี้ข้าค่อยมาเยี่ยมเสด็จพี่ใหม่”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

องค์หญิงจาวเอ๋อมาหาองค์รัชทายาทบ่อย ๆ มีจุดประสงค์อะไรกันนะ ปกติตีกันแทบตาย

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

Status: Ongoing
เหยาซูเสียชีวิตเนื่องจากเครื่องบินตก ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองได้มาอยู่ในร่างตัวละครหนึ่งในนิยายที่ตัวเองกำลังอ่าน!หญิงสาวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกและมาเกิดใหม่ในนิยายยุคโบราณที่ตนเองกำลังอ่าน หลังฟื้นขึ้นมาจึงพบว่าตนเองอยู่ในร่างของ เหยาซู มารดาของวายร้ายทั้งสามในเรื่อง กลายเป็นแม่ม่ายลูกติดโฉมสะคราญที่ผู้คนต่างชี้หน้าบอกว่าเป็นตัวซวยทำให้สามีต้องตาย เมื่อได้ทราบว่าชีวิตของลูก ๆ ต้องเผชิญกับการดูถูก นางจึงทนไม่ไหวเก็บข้าวของหอบลูกกลับบ้านเก่า เริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกและครอบครัวทางแม่ของตน ด้วยคิดว่าหากสั่งสอนลูกดี ๆ พวกเขาคงไม่กลายเป็นตัวร้าย จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของนางได้กลับมา พวกเขาจึงได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง แต่แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าตามนิยายต้นฉบับสามีของตนจะตกหลุมรักสตรีอื่น จึงคิดหาวิธีที่จะหย่าขาดกับเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท