บทที่ 682 อยากสู่ขอเจ้าแล้ว
บทที่ 682 อยากสู่ขอเจ้าแล้ว
สายตาของเจี่ยงเถิงเลื่อนมายังหลินจื้อที่อยู่ในมุม หลินจื้อสัมผัสได้ถึงสายตาของเขา จึงรู้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใด
หลินจื้อเดินไปหาเจี่ยงเถิง “ข้าจะไปส่งกลับจวน”
“พวกเจ้าระวังตัวด้วย ท่านพี่รีบกลับมานะเจ้าคะ”
“ได้ ไม่ต้องเป็นห่วง”
ชายหนุ่มสองคนเดินออกจากจวนไปพร้อมกัน หลินจื้อเห็นความเหนื่อยล้าและความลำบากของเจี่ยงเถิง จึงคิดว่าความเจ็บปวดที่เขาต้องประสบมาตลอดทางคงมากมายก่ายกองจนบรรจุเป็นตะกร้าได้
“ว่ามาสิ เจ้าไปเจอสิ่งใดมา เกิดสิ่งใดขึ้น”
เจี่ยงเถิงเล่าเรื่องที่ประสบพบเจอตลอดทางทั้งหมดให้หลินจื้อฟัง รอบนี้เขาเจอเบาะแสมากมาย มีคนควบคุมราคาเกลืออยู่เบื้องหลังและต่อต้านราชสำนักอย่างเปิดเผย ทั้งยังมีคนใช้เกลือที่ด้อยคุณภาพกว่าแทนเกลือทั่วไปของราษฎร
หลังจากที่เจี่ยงเถิงสืบเจอเรื่องเหล่านี้ เจี่ยงเถิงรีบจดบันทึกตามความจริง ระหว่างที่จดบันทึกดันถูกขุนนางที่อยู่ข้างกายเขารู้เข้า ไป ๆ มา ๆ เจี่ยงเถิงก็ตกเป็นเป้าสายตา
ระหว่างทางกลับ เจี่ยงเถิงถูกหมายหัวไว้ เกิดอุปสรรคมากมายไปตลอดทาง มีหลายครั้งที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด เพราะความโชคดีจึงรอดเคราะห์กรรมนี้กลับมาได้
“มีคนควบคุมอยู่เบื้องหลังของพวกเขา”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่ก่อเรื่องคือผู้ใด?”
เจี่ยงเถิงหยุดชะงักและมองไปรอบ ๆ อย่างจริงจัง หลังจากที่มั่นใจว่าไม่มีใครแล้ว ก็ยื่นหน้าเข้าไปกระซิบบอกชื่อสามพยางค์ข้างหูของหลินจื้อ
หลินจื้อจ้องเขม็งเข้าไปในดวงตาของเจี่ยงเถิงอย่างไม่อยากเชื่อ “จริงหรือ?”
“จริง ดังนั้นเจ้าซึ่งทำงานอยู่ในสำนักบัณฑิตฮั่นหลินต้องระวังตัวด้วย เพราะเป้าหมายต่อไปอาจเป็นเจ้า”
หลังจากเจี่ยงเถิงพบเบาะแสนี้ก็รีบบอกกล่าวแก่หลินจื้อทันที เพื่อให้หลินจื้อได้ระวังตัวมากขึ้น
เขาได้เตรียมหลักฐานทั้งหมดไว้แล้ว รอแค่ร่วมมือกับหลินจื้อจับคนที่อยู่เบื้องหลังให้ได้ แต่ช่วงเวลานี้พวกเขาต้องทำตัวเหมือนกบจำศีล
“ได้ ข้ารับรู้แล้ว เจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด ไว้ให้เจ้ามีหลักฐานพร้อมสมบูรณ์ เราค่อยมาหารือกัน”
“ได้”
ทั้งสองคนแยกย้ายกันตรงสี่แยก เจี่ยงเถิงกลับจวน ครั้นเจี่ยงฉีเห็นท่าทางอ่อนล้าของลูกชายตัวเองก็อดปวดใจไม่ได้
“ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว”
เจี่ยงเถิงปรากฏตัวตรงหน้าเจี่ยวงฉี นัยน์ตาของเจี่ยงฉีเปล่งประกายทันใด
“กลับมาก็ดีแล้ว กลับมาก็ดีแล้ว”
คำพูดนับพันคำ ถูกหลอมรวมเป็นอารมณ์แห่งควงามเศร้าโศก
เจี่ยงเถิงถูกไล่ไปอาบน้ำ หลังจากอาบน้ำเสร็จสายตาของเขายังคงทอดทองออกไปข้างนอก
เจี่ยงฉีเข้าใจความคิดของเขา จึงให้เขากินอาหารร้อน ๆ อย่างสบาย ๆ แล้วค่อยไปหาอาซือ
“ท่านแม่ ข้าอยากสู่ขอหลินซือเร็ว ๆ แบบนี้นางจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
“เจ้ามีความคิดเช่นนี้ก็ดี ข้าสนับสนุนการตัดสินใจของเจ้า”
“ขอบคุณท่านแม่ขอรับ”
เขาวางชามและตะเกียบลง ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยประโยคที่ว่า “ต้องแต่งภายในเดือนนี้”
เจี่ยงเถิงตรงไปยังจวนของหลินซืออีกครั้ง เขายืนเคาะประตูจวนหลิน
พ่อบ้านเห็นว่าเป็นเจี่ยงเถิง จึงรีบเปิดประตูให้เขา
“คุณหนูใหญ่ คุณชายเจี่ยงมาขอรับ”
หลินซือกำลังนั่งปักผ้าอยู่ในจวน ครั้นได้ยินชื่อของเจี่ยงเถิงก็รีบละวางผ้าปักในมือลงทันที
นางวิ่งเหยาะ ๆ ไปตรงหน้าของเจี่ยงเถิง มองชายหนุ่มที่ดูเปล่งปลั่งสดใส
“พี่อาเถิง!”
“อาซือ อาซือ”
เขาอุ้มหลินซือพลางเอ่ยเรียกชื่อของหลินซือไม่หยุด เหมือนกับว่าเรียกเท่าไรก็ไม่เคยพอ
สายตาของชายหนุ่มเลื่อนมาหยุดอยู่ที่ผ้าปักในมือของหลินซือ เขากระตุมยิ้ม “อาซือ เจ้าไม่รักษาสัญญา ทำไมถึงยังปักไม่เสร็จ?”
แก้มของหลินซือแดงระเรื่อ “ใกล้เสร็จแล้ว เหลือเก็บรายละเอียด”
“เช่นนั้นก็ปักช้า ๆ นะ ข้าจะรอเจ้าอยู่ตรงนี้”
ใบหน้าของนางยิ่งแดงระเรื่อ หลินซือเขินอายไปชั่วขณะ “พี่เถิงไม่กลับไปพักผ่อนก่อนเล่าเจ้าคะ? งานปักเช่นนี้น่าเบื่อยิ่งนัก ข้ากลัวว่าท่านจะเหนื่อย”
“อยู่กับเจ้า ข้าไม่เหนื่อย”
เจี่ยงเถิงจูงมือของนางมานั่ง ทั้งสองคนไม่พูดอะไร คนหนึ่งก็ปักผ้าไป ส่วนอีกคนก็นั่งดูอยู่ข้างกาย
วันเวลาแห่งความสงบเช่นนี้ คือช่วงเวลาที่เขาพึงปรารถนายามเจอะเจอกับอุปสรรคมากมายข้างนอก
หลินซือกำลังตั้งอกตั้งใจปักผ้าอย่างบรรจง เข็มสุดท้ายของการเก็บรายละเอียดนางยิ่งต้องระมัดระวัง
เมื่อปักเสร็จสิ้น นางก็หยิบผ้าปักขึ้นมาส่องกลางแสดงอาทิตย์ เพื่อมองรูปเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งที่ดู ‘ไม่ค่อยเหมือน’ สักเท่าไร
นางวางมันลงตรงหน้าเจี่ยงเถิงด้วยความตื่นเต้น “พี่อาเถิง ท่านดูสิว่าเป็นอย่างไร?”
เจี่ยงเถิงรับมาตรวจดู ก่อนจะโพล่งเพียงสองพยางค์ “ก็ดี”
“เช่นนั้นข้าจะเย็บเป็นถุงเงินให้ท่านแล้วกัน ต่อไปไม่ว่าท่านจะไปที่ใด จะได้พาถุงเงินของข้าไปด้วย สิ่งที่บรรจุอยู่ในนั้นคือความสุขและความคะนึงหาที่ข้ามีต่อท่าน”
“เยี่ยม”
เจี่ยงเถิงออกแรงกุมมือน้อย ๆ ของนาง หลินซือหน้าแดงก่ำมากขึ้นไปอีกขั้น นางดึงมือกลับมาวุ่นกับการเย็บปักถักร้อยต่อ
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดถุงเงินชิ้นนี้ก็เสร็จสมบูรณ์
“พี่อาเถิง ท่านดูสิว่าชอบไหม?”
“ชอบมาก สิ่งที่เจ้าปัก ข้าชอบทั้งนั้น”
เขานำถุงเงินที่หลินซือปักให้เขามาแขวนไว้บริเวณเอว ลูบมันอย่างจริงจังสองครั้ง จากนั้นเขาก็ปรายตาขึ้นพร้อมเก็บความรักอันอบอวลไว้ในใจ ตราตรึงภาพนั้นในสายตา
“อาซือ ข้าอยากสู่ขอเจ้าแล้วสิ”
“ทำไมเร็วเช่นนี้? ไหนบอกกำหนดหลังฤดูใบไม้ร่วงอย่างไรล่ะเจ้าคะ?”
“ไม่ได้ ข้ารอไม่ได้”
เจี่ยงเถิงบอกถึงความกังวลกับผู้เป็นแม่อย่างเจี่ยงฉีและคนในจวน แค่คืนเดียว ในใจของเขาก็วาวุ่นอยากแต่งงานกับหลินซือแทบขาดใจ
เขาให้บิดามารดาขิงเขาหารือเกี่ยวกับวันแต่งงานกับบิดามารดาของหลินซือใหม่อีกครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะพิธีแต่งงานต้องถูกจัดขึ้นที่นี่ เกรงว่าเจี่ยงเถิงคงสู่ขอหลินซือมาเป็นสะใภ้ในวันพรุ่งนี้ไปแล้ว
“ทำไม?”
“การออกไปครานี้ ข้าได้คิดทบทวนหลายครั้ง ในวันที่ไม่มีเจ้าก็เหมือนชีวิตข้าไร้สีสัน มีเจ้าข้าถึงจะมีพลังทำสิ่งต่าง ๆ เจ้าคือจุดอ่อนของข้า”
เสียงของเจี่ยงเถิงอ่อนโยนมาก หลินซือหลงไหลอยู่ในสายตาของเขา นัยน์ตาคู่นั้นของนางเต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมที่มีต่อเขา
นางมีความคิดเหมือนกับเจี่ยงเถิง ถ้าเป็นไปได้ นางเองก็อยากเข้าไปเป็นสะใภ้ในจวนเจี่ยงตั้งแต่แต่พรุ่งนี้เลย
“พี่อาเถิง เรื่องนี้ข้าไม่มีความเห็น แต่คำพูดของท่านพ่อและท่านแม่เราก็ต้องเชื่อฟังไว้”
ความหมายของหลินซือชัดเจนมาก นางไม่แสดงความคิดเห็นใด เพียงแต่เรื่องงานแต่ง อย่างไรเสียก็ต้องเชื่อฟังความคิดเห็นของบิดามารดา
“เจ้าวางใจเถอะ ทั้งหมดนี้เป็นหน้าที่ข้า ข้าจะสู่ขอเจ้าภายในเดือนนี้ให้ได้!”
“ได้”
ครั้นหลินเหรากลับมาจากภารกิจข้างนอก บังเอิญเห็นคุณชายตระกูลเจี่ยงกำลังจูบลูกสาวของตนพอดี จึงเกิดความรู้สึกหวงแหน เหมือนลูกสาวผู้แสนดีของตนถูกชายอื่นย่ำยี
เขาส่งเสียงกระแอมไอหนึ่งเสียง เจี่ยงเถิงและหลินซือจึงรีบแยกออกคนละฝั่งอย่างรวดเร็ว
หลินเหราเดินมาตรงหน้าของเจี่ยงเถิง “ยังไม่ได้สู่ขอหลินซืออย่างเป็นทางการ ถึงเนื้อต้องตัวกันเช่นนี้ ไม่กลัวว่าคนอื่นจะเอาลูกสาวของข้าไปนินทากันสนุกปากรึ?”
“ท่านลุง ข้าจะสู่ขออาซือภายในเดือนนี้แล้ว ใกล้วันงานคงไม่มีใครวิจารณ์อาซือหรอกขอรับ”
“เจ้านะเจ้า คิดอะไรก็ทำอย่างนั้น มาทางไหนกลับไปทางนั้นเลยนะ”
เจี่ยงเถิงยังคงกล่าวลาหลินซืออย่างตัดใจไม่ได้ ครั้นเจี่ยงเถิงจากไป หลินซือจึงได้แต่บ่นหลินเหราอย่างไม่สบอารมณ์
“ท่านพ่อ เหตุใดท่านถึงเข้มงวดกับพี่อาเถิงเช่นนี้ เขาจริงใจนะเจ้าคะ”
“เจ้าดรุณีน้อย ยังไม่แต่งงานก็ช่วยพูดแทนเขาแล้ว พ่อเป็นห่วงเจ้านะ!”
หลินเหราพบว่าแม่นางน้อยนั้นอกตัญญู
หลินซือไม่อยากเสวนากับหลินเหรา จึงลุกขึ้นยืน “ท่านพ่อโกหก เห็น ๆ อยู่ว่าคนที่ท่านพ่อห่วงที่สุดคือท่านแม่!”
——————————————–