ตอนที่ 3 ลูกบ้านใครเหตุใดน่ารักถึงเพียงนี้ ?
หลินเว่ยเว่ยก้มมองเจ้าหนูน้อยที่มีส่วนสูงเท่าหัวเข่าของนางเท่านั้น ‘ช่างน่ารักน่าชังเสียจริง ! ’ เจ้าหนูน้อยมีดวงตากลมโตดูบริสุทธิ์เป็นอย่างมาก ขนตาหนาเป็นแพสวย ริมฝีปากเล็กเชิดขึ้นเล็กน้อย เขาหน้าตาดีกว่าดาราเด็กในยุคปัจจุบันเสียอีก เพียงแต่ว่าเด็กน้อยผู้นี้ผอมจนเกินไปจึงดูน่าสงสารยิ่งนัก
เมื่อเจ้าหนูน้อยเห็นนางหวงที่อยู่บนหลังของอีกฝ่าย ดวงตากลมโตของเขาก็มีน้ำตารื้นขึ้นมาอีกครา “ท่านแม่ ท่านเป็นอันใดไป ? ท่าน…”
ทันใดนั้นเจ้าหนูน้อยก็พบว่าร่างของตนได้ลอยขึ้นบนอากาศ เสียงของเขาจึงหยุดชะงักไปทั้งอย่างนั้นเพราะหลินเว่ยเว่ยใช้มือข้างเดียวเกี่ยวเอวของเขาขึ้นมากอดไว้นั่นเอง ด้วยความตื่นตกใจจึงทำให้เจ้าหนูน้อยถึงกับสะอื้น ทว่าก็มิได้ร้องไห้ออกมา
นางหวงเงยศีรษะขึ้นมาจากหลังของบุตรสาวพลางจ้องมองบุตรชายคนสุดท้องด้วยท่าทีผ่อนคลาย “ลูกแม่…เจ้ามิต้องกลัว แม่มิได้เป็นอันใดแล้ว ขวัญเอ๋ยขวัญมา ขวัญจงมาอยู่กับเนื้อกับตัว”
นางหวงพึมพำคำเรียกขวัญ
ซึ่งเป็นคำที่พวกชาวบ้านใช้ท่องเพื่อปลอบขวัญและเรียกสติเด็กที่กำลังรู้สึกหวาดกลัว
หลังจากที่เจ้าหนูน้อยได้ยินเสียงของนางหวง ความหวาดกลัวบนใบหน้าก็ค่อย ๆ เลือนหายไป ช่างโชคดีเสียเหลือเกินที่ท่านแม่มิได้เป็นอันใด ! ทว่า…ทว่านี่เป็นคราแรกที่เจ้าหนูน้อยถูกพี่สาวคนรองกอดไว้เช่นนี้ ! ด้วยความตื่นตกใจ เขาจึงพยายามดิ้นขัดขืนแล้วจ้องมองหลินเว่ยเว่ยด้วยสายตาแปลกใจ
หลินเว่ยเว่ยยิ้มน้อย ๆ ให้กับน้องชาย ส่วนเจ้าหนูน้อยก็ยิ้มตอบพี่สาวเช่นกัน จากนั้นเขาก็หันไปมองทางอื่นด้วยความเก้อเขิน
เมื่อครู่เจ้าหนูน้อยเห็นว่าพี่สาวคนรองแบกมารดาเอาไว้บนหลัง เขาจึงกระซิบหลินเว่ยเว่ยอย่างรู้ความว่า “ปล่อยข้าลงเถิด ข้าเดินเองได้”
“มิเป็นไร ข้ามีแรงเหลือเฟือ ต่อให้มีเจ้าอีกสิบคน ข้าก็อุ้มไหว ! ” หลินเว่ยเว่ยอุ้มเจ้าหนูน้อยขึ้นลง น้ำหนักแค่นี้สำหรับนาง…มิได้ต่างอันใดจากขนห่านเลย
“เจ้า…พูดได้ด้วยหรือ ? เจ้ามิใช่คนโง่เขลาหรอกหรือ ? ” เจ้าหนูน้อยเบิกตาโตราวกับไข่ห่าน ดวงตากลมโตใสแจ๋วประดุจอัญมณีสีดำบริสุทธิ์
“เอ้อร์หวา…แม่บอกเจ้าหลายคราแล้วมิใช่หรือว่าอย่าเรียกพี่รองว่าคนโง่ ! นางคือพี่รองของเจ้า ! ! ” นางหวงตำหนิแกมบังคับบุตรชาย
เจ้าหนูน้อยลอบมองพี่รองของตนอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ จากนั้นเขาก็เอ่ยอย่างสำนึกผิดด้วยเสียงแผ่วเบา “พี่รอง ข้าผิดไปแล้ว ท่านอย่าโกรธข้าเลย…”
“ข้าไม่โกรธเจ้าหรอก ! ” หลินเว่ยเว่ยไม่สามารถต้านทานความน่ารักของเด็กน้อยได้ แน่นอนว่านางย่อมมิถือสาเด็กน้อยอยู่แล้วเพราะคนที่โง่ก็คือพี่รองของเด็กน้อยผู้นี้ ไม่ใช่หลินเว่ยเว่ยผู้มาจากโลกอนาคตเสียหน่อย ดังนั้นเหตุใดนางต้องโกรธเด็กน้อยผู้นี้ด้วยเล่า ?
แขนขวาของนางดันขาของมารดาเอาไว้ จากนั้นก็ค่อย ๆ ยกขึ้นเพื่อให้นางหวงอยู่ในท่าที่สบายแล้วก็หันไปทางนางเฝิง ซึ่งนางเฝิงกำลังมองมาที่พวกนางด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “พวกเจ้ามิเป็นอันใดก็ดีแล้ว เมื่อครู่ข้าตกใจแทบแย่ ! ”
พักนี้นางเฝิงสุขภาพมิค่อยแข็งแรง ในยามที่ขึ้นไปช่วยตามหาบุตรสาวคนรองของนางหวงก็เดินรั้งท้ายอยู่ตลอด ในยามที่ได้ยินชาวบ้านตะโกนขึ้นมาว่า ‘หมูป่า !’ นางก็ถูกฝูงชนเบียดจนต้องวิ่งสะเปะสะปะลงเขา เมื่อวิ่งมาถึงประตูทางเข้าหมู่บ้าน นางถึงได้รู้สึกตัวว่านางหวงและบุตรสาวทั้งสองมิได้วิ่งลงมาด้วย
ในขณะที่พวกชาวบ้านคิดว่าพวกนางตกตายไปแล้วนั้น จู่ ๆ บุตรสาวคนโตของนางหวงก็วิ่งลงเขามาแล้วบอกว่าหมูป่าถูกฆ่าตายไปแล้ว ให้ทุกคนรีบขึ้นไปช่วยแบกมันลงมาจะได้แบ่งเนื้อหมูกินกัน ทุกคนจึงตั้งท่าจะเดินขึ้นไปบนเขาอีกครา ทว่านางเฝิงเดินมิไหวแล้วจึงอยู่เป็นเพื่อนบุตรชายของนางหวงที่ร้องไห้ฟูมฟายอยู่หน้าประตูทางเข้าหมู่บ้านแทน
นางเฝิงอาศัยอยู่ติดกับบ้านตระกูลหลิน บ้านสองหลังนี้อยู่ห่างกันเพียงกำแพงกั้นเท่านั้น
ประตูบ้านของตระกูลหลินถูกเปิดแง้มเอาไว้ หลินเว่ยเว่ยใช้เท้าผลักประตูเบา ๆ ทว่าประตูบานนี้กลับหลุดออกจากขอบประตูแล้วล้มกระแทกพื้นดัง ‘ปึง !’
เมื่อนางหวงเห็นประตูที่ล้มลงและท่าทีของบุตรสาวจึงรีบเอ่ยขึ้นว่า “ประตูบานนี้ควรได้รับการซ่อมแซมนานแล้ว วันนี้ใช้ที่ขัดประตูดันปิดไว้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยขอให้พวกชาวบ้านมาช่วยกันซ่อม”
หลินเว่ยเว่ยวางมารดาไว้บนเตียงโทรม ๆ ภายในบ้านหลังเล็ก แขนข้างหนึ่งของนางได้อุ้มเจ้าหนูน้อยไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ง่วนอยู่กับการซ่อมประตูบ้าน
โดยทั่วไปแล้วเด็กจากครอบครัวยากจนมักถูกปล่อยให้เดินเอง น้อยครั้งที่จะมีคนอุ้มเอาไว้เช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเป็นเพราะสุขภาพร่างกายของนางหวงมิแข็งแรง กอปรกับคนในครอบครัวต่างยุ่งวุ่นวายอยู่กับการทำไร่ทำนาหาเลี้ยงชีพ ดังนั้นเจ้าหนูน้อยจึงมิเคยร้องไห้โวยวายให้ผู้ใดอุ้มเขามาก่อน แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็เถิด…ทุกคราที่เจ้าหนูน้อยเห็นบิดาของเด็กในหมู่บ้านอุ้มพวกเขาเหล่านั้นขึ้นสูง ยามที่พวกเขาหัวเราะดีใจหรือมีความสุข เจ้าหนูน้อยก็มักจะมองด้วยความอิจฉาอยู่เสมอ !
การถูกอุ้มเช่นนี้ถือเป็นประสบการณ์แปลกใหม่สำหรับเจ้าหนูน้อย และการได้อยู่ใกล้ชิดกับพี่สาวคนรองเช่นนี้ก็ถือเป็นประสบการณ์แปลกใหม่สำหรับเขาเช่นกัน
บุตรสาวคนรองของนางหวงมีแรงมากมายมหาศาล ทุกคนจึงกลัวว่านางจะมิทันระวังแล้วอาจทำให้เจ้าหนูน้อยบาดเจ็บเอาได้ ดังนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมาเจ้าหนูน้อยก็มักจะถูกคนในครอบครัวกำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ‘อยู่ให้ไกลจากพี่รองของเจ้าสักหน่อย’
และบ่อยครั้งที่พี่สาวคนโตมักขู่ให้เจ้าหนูน้อยรู้สึกหวาดกลัว ‘เจ้าโง่จะยกตัวเจ้าขึ้นมาแล้วทุ่มเจ้าลงกับพื้นจนกระดูกของเจ้าแตกละเอียด ! ’
เจ้าหนูน้อยเคยเห็นเจ้าอ้วนสามคนจับแมลงมาแล้วปาลงพื้น หลังจากนั้นแมลงก็ดูมิได้อีกเลย ทำให้เจ้าหนูน้อยจำฝังใจกับคำว่า ‘กระดูกแตกละเอียด’ อีกทั้งยังกลัวขึ้นสมองเลยด้วย โดยปกติเขามักนั่งอยู่ห่าง ๆ จากพี่สาวคนรองแล้วลอบมองเป็นประจำ ในใจของเจ้าหนูน้อยมิได้มีสิ่งใดไปมากกว่าความสงสัยและขลาดกลัว
พี่สาวคนรองบีบจานชามแตกอยู่บ่อยครั้ง เวลานั่งเก้าอี้ เก้าอี้ก็หัก…พี่สาวคนโตมักบอกเขาอยู่เสมอว่าที่ครอบครัวของพวกเรายากจนถึงเพียงนี้เป็นเพราะพี่รองทำลายข้าวของในบ้านเป็นประจำ !
ยามนี้ภายในบ้านของพวกเขามืดมาก นางเฝิงกำลังจะช่วยจุดตะเกียงให้ ทว่านางหวงบอกนางเฝิงว่า “มิต้องหรอก…ครอบครัวของข้าไม่ได้ซื้อน้ำมันตะเกียงมาหลายเดือนแล้ว”
นางเฝิงเห็นว่าเสื้อผ้าบนตัวของหลินเว่ยเว่ยเปียกน้ำจึงบอกกับอีกฝ่ายว่า “เสื้อผ้าบนตัวเจ้าเปียกโชกไปหมด วางเจ้าหนูน้อยลงแล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีหรือไม่ ? ”
ด้วยความที่เป็นเพื่อนบ้านกันมานานหลายปี นางย่อมรู้จักนิสัยของเด็กสาวคนนี้ดี ขอเพียงไม่ไปยั่วให้โมโห ยามปกติก็มักจะเงียบและเชื่อฟังเป็นอย่างดี
หลินเว่ยเว่ยก็รู้สึกว่าการสวมเสื้อผ้าเปียกทำให้ตัวเฉอะแฉะ นางจึงวางเจ้าหนูน้อยลงแล้วตามนางเฝิงไปเปลี่ยนเสื้อผ้า นางเฝิงค้นตะกร้าหวายจนกระทั่งพบเสื้อผ้าของอีกฝ่าย จากนั้นก็เอ่ยถามเสียงแผ่ว “ให้ข้าช่วยเปลี่ยนหรือไม่ ? ”
หลินเว่ยเว่ยส่ายหน้า จากนั้นก็หยิบเอาเสื้อผ้าขึ้นมาแล้วมองไปที่นางเฝิงราวกับต้องการจะสื่อว่า ‘ท่านออกไปเถิด ประเดี๋ยวข้าเปลี่ยนเอง’
เมื่อนางเฝิงเห็นดวงตาที่สงบนิ่งและดำสนิทของหลินเว่ยเว่ยก็ตกตะลึงไปชั่วครู่ ‘เด็กสาวผู้โง่เขลาคนนี้ แท้จริงแล้วมีดวงตาที่งดงามเพียงนี้เชียวหรือ ! ’
เมื่อนางเฝิงเดินออกไปแล้ว หลินเว่ยเว่ยจึงก้มหน้าลงเพื่อศึกษาวิธีการถอดชุด ทว่าพอหันไปทางช่องประตูก็พบว่ามีดวงตากลมโตของเจ้าหนูน้อยกำลังแอบมองมาด้วยความสงสัย
เมื่อเห็นว่าหลินเว่ยเว่ยมองเห็นตนแล้ว เจ้าหนูน้อยจึงรีบหดหัวกลับอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รีบวิ่งไปหานางหวง
หลินเว่ยเว่ยหัวเราะให้กับความไร้เดียงสาของเจ้าหนูน้อย หลังจากที่นางเปลืองแรงอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็สามารถเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ได้และเมื่อเดินออกมาอีกครานางเฝิงก็กลับบ้านของตนไปแล้ว
นางหวงพยายามลุกจากเตียงแล้วจัดเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่ให้แก่บุตรสาว ก่อนที่จะเอ่ยอย่างตื้นตันใจว่า “ลูกแม่เก่งขึ้นแล้ว ใส่เสื้อผ้าเองเป็นด้วย ! ลูกแม่ เจ้าหิวหรือไม่ แม่จะไปทำอาหารให้ทาน ! ”
หลินเว่ยเว่ยดันตัวนางหวงกลับไปที่เตียงดังเดิม ส่วนตนก็เดินเข้าไปในครัว จากนั้นก็พบว่าโถที่ใส่เมล็ดธัญพืชเหลือเพียงน้อยนิดเท่านั้นและมันก็คงไม่พอสำหรับสองคนอย่างแน่นอน ดังนั้นนางจึงมิได้คิดสิ่งใดอีกและนำเมล็ดธัญพืชในโถทั้งหมดออกมาบดแล้วนวดเป็นเส้นบะหมี่ ก่อนจะนำไปต้มในหม้อ
ตอนนั้นเองพี่สาวคนโตก็เปิดประตูบ้านแล้วเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม เมื่อเห็นว่าหลินเว่ยเว่ยยกชามบะหมี่ออกมาจากห้องครัว ทันใดนั้นใบหน้าของนางก็แปรเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวด้วยความโมโหทันที นางรีบพุ่งตัวไปดูโถธัญพืชในครัวแล้วก็วิ่งออกมาพลางชี้หน้าด่าหลินเว่ยเว่ยว่า “เจ้าเอาอาหารของครอบครัวที่สำรองไว้สำหรับสองวันมาทำกินหมด แล้วพรุ่งนี้พวกเราจะกินอันใด ! เจ้าอยากให้ทั้งครอบครัวอดตายใช่หรือไม่ ? ”
ตอนต่อไป