ตอนที่ 17 อย่าให้ข้ารู้สึกเสียใจที่ช่วยท่าน
ลู่เหวินจวินดึงจี้หยกที่แตกต่างจากของเมื่อวานออกจากเอวแล้วยัดใส่มือของเจ้าหนูน้อยเพราะกลัวว่าหลินเว่ยเว่ยจะปฏิเสธอีก จากนั้นเขาก็ลูบแก้มของเด็กน้อยพลางกล่าวเย้าแหย่ “น้องชายตัวน้อย พี่ชายของเจ้าตัวอ้วนเพียงนี้ เหตุใดเจ้าจึงผอมนักเล่า ? เพราะเขาแย่งข้าวเจ้าทานหมดใช่หรือไม่ ? ”
“พี่สาวไม่ได้แย่งข้าวข้ากิน ! ท่านว่าร้ายพี่รอง ข้าไม่รับของจากท่านหรอก ! ” เจ้าหนูน้อยโยนจี้หยกคืนให้อีกฝ่ายแล้วปราดตามองอย่างขุ่นเคือง !
“เฮ้ ! หนูน้อย ตัวก็ไม่โตแล้วเหตุใดจึงขี้โมโหนัก ไม่อยากได้ก็บอกกันดี ๆ สิ พี่สาวของเจ้ายังมิทันได้กล่าวอันใดเลย เจ้าจะโกรธ…เห ? เดี๋ยวก่อน ! ! พะ…พี่สาว ? เจ้าควรเรียกเขาว่าพี่ชายมิใช่หรือ ? ” ลู่เหวินจวินพูดตะกุกตะกักพลางชี้หน้าหลินเว่ยเว่ย !
เจ้าหนูน้อยยังมิวายเถียงกลับ “นางคือพี่สาว ! บ้านของข้ามีพี่ชายคนเดียว ไม่ได้มีสองคน ! พี่รอง พวกเราไปกันเถิด เขาไม่เหมือนคนฉลาดเลย ! ”
หลินเว่ยเว่ยถือโอกาสตอนที่ลู่เหวินจวินกำลังตกตะลึงอุ้มน้องชายเดินจากไป
ลู่เหวินจวินอ้าปากค้างอยู่นาน กว่าจะได้สติแล้วหันไปถามบ่าวรับใช้ของตน “เมื่อครู่ข้ามิได้ล้มหัวฟาดพื้นจนหมดสติใช่หรือไม่ ? เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าได้พบผู้ที่ช่วยชีวิตเมื่อวานนี้ ? แต่น้องชายของเขาบอกว่าเขาไม่ใช่ผู้ชาย”
ชิงเฟิงบ่าวรับใช้ได้หันมามองคุณชายราวกับมองคนหัวอกเดียวกัน “คุณชายมิได้หมดสติไป…”
“สวรรค์ ! ข้าโดนสตรีนางหนึ่งที่ไม่มีรูปร่างเหมือนสตรีช่วยชีวิตไว้หรือนี่ ! แถมข้ายังกอดคอนางและถูกนางอุ้มไว้อยู่นานสองนาน…โอ้ สวรรค์ ! นาง…นางคงมิได้ต้องการให้ข้ารับผิดชอบใช่หรือไม่ ? ” ลู่เหวินจวินดูอกสั่นขวัญแขวนอยู่ไม่น้อย เขาแทบอยากให้ตนหมดสติไปเสียจริง !
“คง…คงมิต้องนะขอรับ” ชิงเฟิงนึกถึงรูปร่างของสตรีเมื่อครู่ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว !
หมิงเยว่ที่เห็นเช่นนั้นก็เสนอความคิดแทนเจ้านาย “คุณชายขอรับ ท่านคงไปทำให้เจ้าที่เจ้าทางของที่นี่โกรธโดยมิรู้ตัว ทั้งที่เพิ่งมาถึงได้เพียงสองวันก็ล้มไปแล้วสองครั้ง บ่าวคิดว่าเรารีบไปจากที่นี่กันเถิดขอรับ”
ลู่เหวินจวินรู้สึกราวกับโดนฟ้าผ่าเข้ากลางศีรษะ เขายืนตกตะลึงอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานาน แต่ท้ายที่สุดเขาก็ทำการตัดสินใจในสิ่งที่ยากลำบากและแสนเจ็บปวด “มิได้ ! ข้าเป็นคนเช่นนั้นมิได้ ! นางช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าไม่สามารถเพิกเฉยต่อบุญคุณที่นางมีต่อตนได้ ! หากนางต้องการให้ข้ารับผิดชอบ ข้า…ข้าก็จะแต่งงานกับนาง ! ”
หลินเว่ยเว่ยซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดมาแล้ว จากนั้นก็เตรียมเดินไปซื้อขนมหวานให้น้องเล็กเด็กดี แต่แล้วก็ถูกชายหนุ่มชุดสีฟ้าครามคนเดิมขวางทางไว้ นางเห็นเช่นนั้นจึงแสดงสีหน้าเอือมระอาออกมา “เจ้าคิดทำอันใดกันแน่ ? ข้าก็บอกไปแล้วมิใช่หรือว่าการช่วยชีวิตเจ้าเป็นการกระทำโดยไม่รู้ตัว มันก็แค่บังเอิญไปช่วยชีวิตของเจ้าได้เท่านั้นเอง เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้ามากมายนักหรอก เจ้าช่างน่ารำคาญเหลือเกิน ! ”
“กู่เหนียง ! ข้า…ยินดีรับผิดชอบ ! ข้าจะกลับไปบอกเรื่องนี้ต่อท่านพ่อท่านแม่เพื่อพาพวกท่านมาสู่ขอ แต่งกู่เหนียงเข้าบ้าน ! ” ลู่เหวินจวินทำสีหน้าราวกับพลีชีพเพื่อคุณธรรมอย่างไรอย่างนั้น
หลินเว่ยเว่ยพยายามอดกลั้นอารมณ์ที่อยากพุ่งตัวเข้าชกหน้าอีกฝ่ายเอาไว้แล้วกัดฟันกรอดขณะที่พูดออกไปว่า “เจ้าป่วยหรือไร เจ้า ! เจ้า ! แล้วก็เจ้าอีกคน ! นายของพวกเจ้าเป็นคนสติเลอะเลือน อย่าปล่อยเขาออกมาทำให้ผู้คนข้างนอกตกใจกลัวดีกว่า ! ”
สิ่งใดคือการไปบอกให้พ่อแม่มาสู่ขอ ให้แต่งงานเข้าบ้าน ! ข้ารู้จักเจ้าหรือ ? ไอ้คนบ้า ! ! หน้าตาก็ดีแต่ที่แท้เป็นคนบ้า !
ภายในใจของหลินเว่ยเว่ยรู้สึกสงสารเขามากแต่ก็โมโหเช่นเดียวกัน หากไปสู่ขอผู้หญิงคนอื่นมาแต่งงานด้วยไม่ได้ เขาก็ไม่ควรมาหาตามท้องถนนเช่นนี้ นี่ไม่เรียกว่าสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นหรอกหรือ ?
ชิงเฟิงจึงรีบแก้ตัวแทนคุณชายทันที “คุณชายของพวกข้าไม่รู้ว่าท่านเป็นสตรี และเมื่อวานคุณชายก็ได้ล่วงเกินท่านไปมิน้อย…คุณชายจึงกังวลว่าจะช่วงชิงความบริสุทธิ์ของท่านไป ดังนั้น…”
อ้อ…เป็นเช่นนี้เอง ! ที่แท้เขาก็เป็นบัณฑิตผู้ร่ำเรียนตำราจนสมองเลอะเลือนไปแล้ว แต่อย่างน้อยก็ยังถือว่าเป็นผู้มีความรับผิดชอบ หลินเว่ยเว่ยก้มมองพุงแสนอ้วนกลมที่เต็มไปด้วยชั้นไขมันของตน ทั้งที่เจ้าของร่างเดิมมีรูปร่างเช่นนี้แต่เขาก็ยังกัดฟันยอมแสดงความรับผิดชอบออกมา แสดงว่าเขาเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่งไม่น้อย !
“คุณชาย ท่านจะทำเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด ! ข้าไม่อยากกลายเป็นคนอาศัยผลประโยชน์จากบุญคุณมาทำเรื่องเห็นแก่ตัวในสายตาของผู้อื่น หากท่านยังพูดจาเรื่อยเปื่อยเช่นนี้อีกก็อย่าหาว่าข้าไร้คุณธรรมแล้วกัน ! หากท่านซาบซึ้งในบุญคุณของข้าก็จงคิดว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน พวกเราต่างก็มีเส้นทางที่ต้องเดินของตนทั้งสิ้น ! ”
หลินเว่ยเว่ยทำท่าเหมือนอยากไล่เขาไปให้พ้น จากนั้นนางก็หันหลังแล้วเดินออกไปโดยไม่แยแสเขา ทั้งหมดที่ลู่เหวินจวินเตรียมตัวเตรียมใจมาเป็นอย่างดีต้องพังมิเป็นท่า หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้เขาคงตอบแทนน้ำใจนางด้วยการโยนตั๋วเงินให้ยังดีกว่าเสียกว่า !
“กู่เหนียง รอก่อน…” ลู่เหวินจวินเดินตามไปติด ๆ
หลินเว่ยเว่ยจึงหันมาหาเขาทันที “หากท่านยังดึงดันเช่นนี้ ข้าก็จะตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้น ! อย่าให้ข้าต้องรู้สึกเสียใจที่ช่วยท่านเลย ! ”
ลู่เหวินจวินจึงจำใจหยุดฝีเท้าเอาไว้แล้วก็ได้แต่มองนางเดินจากไปไกล ภาพลักษณ์ของนางยิ่งเด่นชัดขึ้นในหัวใจของเขา !
หลินเว่ยเว่ยเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็เห็นว่ามีร่างคุ้นตายืนอยู่หน้าร้านหนังสือ ‘เขตเมืองนี้เล็กถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? เหตุใดหลังจากที่ข้าเพิ่งทะลุมิติมาได้เพียงสองวันก็พบเจอคนคุ้นตามากมายเช่นนี้ ? ’
ชุดบัณฑิตที่ดูเรียบร้อยและสุุขุม แม้ถูกซักจนสีซีดก็ไม่อาจบดบังใบหน้าที่แสนหล่อเหลาของชายหนุ่มผู้นี้ได้ ไม่ว่าเป็นสาวน้อยหรือสาวใหญ่ที่เดินผ่านไปมาตามท้องถนนก็ล้วนส่งสายตาหยาดเยิ้มไปที่เขา มีบางคนที่มัวแต่มองเขาจนเดินชนคนข้างหน้าและก็มีบางคนสะดุดเท้าตนเองเพราะมิได้มองทาง หรือมีแม้กระทั่งบางคนเดินชนขอบประตู…เขาช่างเป็นบุรุษที่สร้างความเดือดร้อนให้สตรียิ่งนัก !
เมื่อเป็นเพื่อนบ้านกันจะแกล้งทำไม่เห็นก็คงไม่เหมาะสม หลินเว่ยเว่ยจึงจับมือของเจ้าหนูน้อยแล้วเดินไปทางร้านหนังสือ น้องสี่ก็เห็นพี่ชายข้างบ้านที่คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดีจึงกล่าวทักทายอย่างเป็นมิตร “พี่โม่หาน ! ”
เจียงโม่หานพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเรียบเฉย คางของชายหนุ่มเชิดขึ้นเล็กน้อย แววตาที่มองไปยังหลินเว่ยเว่ยเต็มไปด้วยความหยิ่งทะนง ถึงกระนั้นก็ยังแฝงไปด้วยความซับซ้อนบางอย่าง มุมปากของเขาจึงกระตุกยิ้มเย้ยหยันขึ้นมา
เฮอะ ! เจ้าหนุ่มคนนี้ เหตุใดต้องทำราวกับตนเป็นยอดฝีมือผู้สูงส่งและโดดเดี่ยวอยู่เป็นประจำ ทำราวกับว่าอยู่เหนือคนทั้งปวง ไม่ทราบว่าจะทำสีหน้าดูถูกดูแคลนให้ผู้ใดดู ? เจ้าก็แค่บัณฑิตที่ร่ำเรียนหนังสือหลายปีมิใช่หรือ ? ก็แค่บัณฑิตที่สอบผ่านถงเซิง เมื่อชาติก่อนข้าเป็นถึงนักศึกษามหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในประเทศเลยนะ ! แม้ว่ามิใช่ผู้เชี่ยวชาญที่สุดแต่ก็เป็นนักศึกษาผู้มากความสามารถ ! คนอย่างเจ้ามีสิ่งใดให้ทะนงตนต่อหน้าข้าหรือ ?
เมื่อหลินเว่ยเว่ยเดินมาถึงหน้าประตูร้านหนังสือ ทันใดนั้นนางก็พบว่าบริเวณที่ชายหนุ่มหน้าหวานยืนอยู่สามารถมองเห็นฉากตอนที่นางถูกเด็กหนุ่มสมองกลับตามตื๊อได้อย่างชัดเจน
“เจ้าเห็นแล้วใช่หรือไม่ ? ” ทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็รู้สึกขัดหูขัดตากับรอยยิ้มดูแคลนของเขา ! ‘นายมีปัญหาหรือไง ? นายคิดว่าเป็นเช่นนี้แล้วจะทำให้จับฉันไว้ในกำมือได้หรือ ? แน่จริงก็ลองยิ้มดูแคลนออกมาอีกทีสิ’
เจียงโม่หานไม่แม้แต่มองหน้านางเลยสักนิด เขายังมองไกลออกไป “เห็นสิ่งใดหรือ ? เห็นว่ามีคนมาขอเจ้าแต่งงานใช่หรือไม่ ? ก็แค่พวกคนมีเงินที่หาความบันเทิงส่วนตัว เจ้าคิดว่าเขาจริงจังด้วยหรือ ? ”
หลินเว่ยเว่ยเริ่มรู้สึกโมโหเข้าแล้ว “จุดประสงค์ที่เจ้ามายืนอยู่ตรงนี้ก็เพื่อให้ข้ามองเห็นเจ้าแล้วเดินมาหา จากนั้นจะได้เตือนข้าว่าอย่าให้ผู้อื่นหลอกใช่หรือไม่ ? เหตุใดไม่ยอมพูดมันออกมาดี ๆ ”
เจียงโม่หานหันกลับไปมองนาง แต่หลังจากนั้นเขาก็หันกลับมาอย่างรวดเร็ว “เจ้าคิดมากไปแล้ว ! ”
หลังกล่าวจบเขาก็รีบเดินปรี่เข้าไปในร้านหนังสือ จากนั้นก็นำบรรดาตำราเล่มน้อยเล่มใหญ่ที่คัดลอกมาตลอดหลายวันนี้ให้หลงจู๊ตรวจสอบความเรียบร้อย ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นกังวลเกี่ยวกับนางมากไป เจ้าเด็กโง่ของตระกูลหลินมิได้โง่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว หลังจากที่อาการป่วยของนางหายดีก็เฉลียวฉลาดจนอยู่เหนือความคาดหมายของทุกคน !
ทางด้านหลินเว่ยเว่ยคิดในใจว่า ‘เฮอะ ! พ่อบัณฑิตหนุ่มผู้ทรงคุณธรรม ผู้มีความรู้สึกไว ผู้หยิ่งทะนง ถ้านายรู้สึกเป็นห่วงผู้อื่นก็แค่พูดออกมาตามตรง เหตุใดต้องทำให้ผู้ฟังอยากชกหน้านายสักหมัดด้วยล่ะ’
“น้องสี่ ไปกันเถิด ข้าจะซื้อขนมให้เจ้า ! ” หลินเว่ยเว่ยแบกถุงเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดขึ้นหลัง ขณะที่อีกมือหนึ่งก็จับมือของน้องเล็กเอาไว้แล้วเดินกลับหมู่บ้านด้วยความโมโห !
ต่อให้บททดสอบในชีวิตจะยากเพียงใด แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องยิ้มสู้และก้าวเดินต่อไปเพราะชัยชนะมักเป็นของผู้ที่กล้าหาญเสมอ ! นี่คือคำขวัญประจำใจของนางตั้งแต่เมื่อชาติที่แล้ว
ชาติที่แล้วนางถูกเลี้ยงดูมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า อาศัยความมุมานะและความพยายามของตนเพื่อบรรลุเป้าหมายในชีวิตจนได้เข้าเรียนในสถาบันมีชื่อเสียง ! ซึ่งในชาตินี้นางก็จะทำให้ได้เช่นกัน ! !
ตอนต่อไป