ตอนที่ 23 เป็นบุตรคนโตไม่ง่ายเช่นกัน
“ลุงหวัง ท่านไม่ต้องกังวลหรอก ในเมื่อข้ากล้าพาท่านขึ้นไปบนภูเขาก็หมายความว่าข้าสามารถรับประกันด้านความปลอดภัยของท่านได้ หากมีอันตรายเข้ามา ท่านหนีไปก่อนข้าได้เลย ข้าจะขวางไว้ให้เอง ! ” หลินเว่ยเว่ยมีความมั่นใจในตนเองมาก เพราะต่อให้นางสู้ไม่ได้ก็ยังมีมิติน้ำพุวิญญาณที่สามารถหลบซ่อนตัวได้ !
แม้พรานหวังเคยได้ยินเรื่องที่นางฆ่าหมูป่าด้วยมือ ถึงกระนั้นเขาก็มิได้เห็นกับตา ! และการขึ้นไปบนภูเขาก็ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ หากไม่ระวังขึ้นมาก็อาจจบชีวิตได้อย่างง่ายดาย
หลินเว่ยเว่ยเห็นว่าพรานหวังเกิดความลังเลไม่แน่ใจ ถึงกระนั้นนางก็ยังพยายามโน้มน้าวอีกฝ่าย “ลุงหวัง ท่านกลับไปคิดก่อนก็ได้แล้วค่อยให้คำตอบข้าทีหลัง”
เมื่อพรานหวังกลับถึงบ้าน ภรรยาได้เดินออกมาจากบ้านด้วยน้ำตาอาบแก้ม “อาการป่วยของคังเอ๋อร์กำเริบอีกแล้ว หมอเหลียงมาดูอาการแล้วบอกว่าเพราะครั้งที่แล้วหยุดยาทั้งที่ยังไม่หายดี ดังนั้นอาการจึงกลับมากำเริบอีก ครานี้เขาต้องทานยาต่อเนื่องถึงสิบวัน แค่ข้าวก็ยังไม่มีจะทานอยู่แล้ว พวกเราจะไปเอาเงินจากที่ใดมาซื้อยา ท่านพี่ ท่านรีบคิดหาวิธีเถิด ! ”
“ไม่ต้องร้อนใจ พรุ่งนี้ข้าจะเอากระต่ายป่าสองตัวนี้ไปขายแล้วซื้อยามาสักสองชุดเพื่อให้คังเอ๋อร์ได้ทานก่อน หลังจากนั้นข้าจะคิดหาวิธีให้” เขามองไปยังภรรยาที่มีรูปร่างผอมแห้งและสีหน้าซีดอมเหลืองเนื่องจากการใช้ชีวิตอย่างขัดสนและบุตรชายรูปร่างผอมซูบที่ยามนี้นอนหลับอยู่บนเตียง พรานหวังจึงกัดฟันแล้วเดินไปยังบ้านตระกูลหลินอีกครั้ง
หลินเว่ยเว่ยพาน้องชายคนเล็กกลับมาถึงหน้าประตูบ้านก็ได้ยินเสียงพี่สาวคนโตกำลังพูดติฉินนินทาน้องสาวให้มารดาฟัง “ท่านแม่ นางเด็กโง่ต้องซ่อนเงินตำลึงไว้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ เช่นนั้นเนื้อกวางตั้งหลายสิบชั่งจะซื้อได้แค่แป้งและเส้นหมี่เพียงน้อยนิดได้อย่างไร ! ”
เสียงของนางหวงดังมาจากในบ้าน “แต่น้องของเจ้าก็ซื้อแม่ไก่มาด้วยตัวหนึ่งมิใช่หรือ ? ”
“แม่ไก่ตัวเดียวจะสักเท่าไหร่กันเชียว ? ราคาแค่ร้อยกว่าอีแปะก็ถือว่าเป็นราคาที่สูงลิ่วแล้ว ! ส่วนซาลาเปาเนื้อข้าก็เคยคำนวณมาก่อนแล้ว โดยรวมนางน่าจะใช้เงินไปประมาณสองสามตำลึงเท่านั้นเจ้าค่ะ ! ” พอคิดได้ว่าเจ้าเด็กโง่สามารถใช้จ่ายเงินตำลึงได้อย่างสบาย ในขณะที่ตนไม่มีแม้แต่อีแปะเดียว ภายในใจก็รู้สึกอัดอั้นและโมโหอยู่มิน้อย !
กระนั้นนางหวงก็ยังอธิบายแทนบุตรสาวคนรอง “ปีนี้สภาพอากาศไม่ดี เพียงชั่วพริบตาก็ทำให้ราคาเมล็ดพันธุ์และวัตถุดิบสำหรับทำอาหารเพิ่มสูงขึ้นแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าวัตถุดิบสำหรับทำอาหารสองร้อยกว่าชั่งนี้มีราคาหลายตำลึงเชียวนะ ! ”
บุตรสาวคนโตได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวด้วยความโมโห “ท่านแม่ ! นางพูดสิ่งใดท่านก็เชื่อเสียหมด ! ท่านโดนนางหลอกแล้วยังไม่รู้ตัวอีก ! ข้าคิดว่าในมือของนางต้องมีเงินไม่น้อยกว่าหนึ่งตำลึงแน่นอนเจ้าค่ะ ! แล้วอีกอย่าง ต่อให้ตอนนี้ครอบครัวของเราจะมีเงินอยู่หลายตำลึงก็ไม่ควรให้นางเป็นคนดูแลทั้งหมด ใช่ว่านางอยากซื้อสิ่งใดก็ซื้อได้ตามอำเภอใจ ท่านดูเจ้าคะ นางใช้เงินมือเติบมากเพียงใด อยากซื้อสิ่งใดก็ซื้อ วันนี้ซื้อเนื้อพรุ่งนี้ซื้อไก่ เช่นนั้นก็เท่ากับว่าเป็นการให้นางผลาญเงินคนเดียวมิใช่หรือเจ้าคะ ? ”
หลินเว่ยเว่ยทนฟังต่อไม่ไหวจึงผลักประตูเข้ามา แม้ว่านางใช้แรงไม่มากนักแต่ประตูก็ยังกระแทกเข้ากับขอบประตูอีกด้านจนเกิดเสียงดัง ‘โครม’ ทำให้พี่สาวถึงขั้นสะดุ้งโหยงเพราะตกใจที่ตนกำลังนินทาน้องคนรองอยู่
“ที่ข้าซื้อเนื้อซื้อไก่มาก็เพราะต้องการบำรุงร่างกายให้ท่านแม่ทั้งนั้น หมอเหลียงก็เคยกล่าวไว้แล้วว่าท่านแม่สุขภาพไม่แข็งแรงเพราะเอาพวกเส้นหมี่และอาหารมาให้พวกเราทานทั้งหมด ดังนั้นอาการป่วยของนางจึงกำเริบ และแน่นอนว่านางต้องได้ทานของบำรุงที่ดีกว่านี้ ! ” หลินเว่ยเว่ยวางถังน้ำและฟืนลงพื้น
ส่วนน้องชายคนเล็กก็ไปยกอ่างน้ำมาให้พี่รองล้างหน้าล้างมืออย่างรู้งาน หลินเว่ยเว่ยเห็นเช่นนั้นก็อดลูบศีรษะเจ้าหนูน้อยแล้วกล่าวชื่นชมมิได้ “น้องสี่ของข้าน่ารักเหลือเกิน ! ”
พี่สาวคนโตจึงถลึงตาใส่เจ้าหนูน้อยทันที ในใจก็ด่าสาดเสียเทเสียแล้วกล่าวว่า “เพราะเจ้ามิใช่หรือ เจ้าทานคนเดียวก็เท่ากับทั้งครอบครัวทานหนึ่งมื้อ ! หากมิใช่เพราะเจ้าแล้ว คิดว่าท่านแม่จะป่วยหนักเช่นนี้หรือ ? ”
นางหวงกลัวว่าถ้อยคำของบุตรสาวคนโตจะไปกระทบจิตใจของบุตรสาวคนรองจึงรีบปรามทันที “ลูกแม่ อาการป่วยของแม่ไม่เกี่ยวกับน้องรอง…”
“เหตุใดจะไม่เกี่ยวเจ้าคะ ? เวลาที่ท่านทำบะหมี่สองชามก็มักยกให้นางคนเดียวถึงหนึ่งชาม ส่วนอีกหนึ่งชามก็ให้ข้าแบ่งกับน้องสี่ ส่วนตัวท่านทำได้แค่ดื่มน้ำซุปเท่านั้น หากไม่มีนาง ท่าน…” ในตอนที่บุตรสาวคนโตยกตัวอย่างให้ฟัง ในน้ำเสียงก็แฝงไปด้วยความโมโหและความคับข้องใจ
“เจ้าใหญ่ รอให้เจ้ามีลูกเสียก่อนแล้วจะเข้าใจเอง” นางหวงมองไปยังบุตรีด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักและเมตตา
“ข้ายอมรับว่าที่ท่านแม่ป่วยจนต้องมีสภาพเช่นนี้เพราะทำเพื่อพวกเราทุกคน ทำเพื่อครอบครัวของเรา การที่ข้าซื้อเนื้อ ซื้อไก่และซื้อของดีมาบำรุงก็เพื่อต้องการให้สุขภาพของท่านแม่กลับมาแข็งแรงมิใช่หรือ ? อีกอย่างเงินที่ข้าใช้จ่ายล้วนเป็นเงินที่หามาด้วยตนเองทั้งสิ้น ผู้อื่นไม่มีสิทธิ์มาชี้นิ้วสั่งข้า ! ”
หลินเว่ยเว่ยจับคอไก่เอาไว้แล้วใช้มีดเฉือนไปที่คอของมัน จากนั้นก็เอาชามมารองเลือดไก่ ส่วนน้องสี่ทำหน้าที่ช่วยก่อฟืนและถอนขนไก่
เมื่อได้ยินเช่นนั้น พี่สาวก็ชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ “ตอนนี้เจ้าไม่เห็นท่านแม่อยู่ในสายตาใช่หรือไม่ ? ”
“ผู้ใดบอกเจ้า ? ข้าไม่เพียงเห็นท่านแม่อยู่ในสายตาเท่านั้นแต่ยังยกให้เป็นที่หนึ่งในใจ ! ข้าคิดว่าเป็นเจ้ามากกว่า ! ควรเอาเวลาทำตัวเอื่อยเฉื่อยและขอข้าวคนอื่นทาน ไปรดน้ำพรวนดินปลูกผักไม่ดีกว่าหรือ อย่าทำตัวไร้ประโยชน์นักเลย ! ” หลินเว่ยเว่ยยั่วโทสะเพื่อความสนุกเพราะหากไม่ได้ยั่วก็คงอึดอัดและแน่นอนว่าพี่ใหญ่สมควรโดนแล้ว !
“แล้วผู้ใดที่ทานข้าวโดยไม่ทำงานมาตลอด ? คนที่ทานโดยไม่ลงแรงมานานสิบกว่าปียังกล้าตำหนิผู้อื่นว่าขอข้าวทานอีกหรือ ? ผู้ใดที่เก็บฟืนเข้าบ้าน ? ผู้ใดที่ซักผ้าให้ ? ผู้ใดกันที่ทำอาหาร ? เจ้าเพิ่งทุ่มเทดูแลคนในบ้านแค่ไม่กี่วัน แต่ข้า…”
นางหวงได้ยินเช่นนั้นก็รีบตัดบททันที “เจ้าใหญ่ ! เมื่อก่อนน้องสาวของเจ้าป่วยอยู่มิใช่หรือ ? ตอนนี้นางหายป่วยแล้วเจ้าควรดีใจถึงจะถูก เหตุใดต้องทะเลาะกันด้วย ? ”
“ท่านแม่ ! ท่านก็เอาแต่เข้าข้างนาง ! ท่านลำเอียง ! ! ” บุตรสาวคนโตวิ่งร้องไห้ออกไป
หลินเว่ยเว่ยเห็นดังนั้นก็หันไปตะโกนใส่ว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ไปเลย ประเดี๋ยวพวกข้าจะซดน้ำแกงไก่ให้หมดและไม่เหลือให้เจ้า ! ”
นางหวงได้ยินเช่นนั้นก็ทั้งหัวเราะและโมโหในเวลาเดียวกัน “เจ้านี่นะ ! ชอบแกล้งนางยิ่งนัก เจ้าเลิกยั่วยุพี่สาวได้แล้ว”
หลินเว่ยเว่ยนำไก่ที่ทำความสะอาดเสร็จแล้วใส่ลงในหม้อต้ม จากนั้นก็ใส่ต้นหอม ขิง ตังกุย เก๋ากี้แล้วตามด้วยน้ำจากมิติน้ำพุวิญญาณ ก่อนจะโหมกระพือไฟตุ๋นน้ำแกงไก่และในมิช้ากลิ่นหอมก็ลอยฟุ้งไปทั่วบ้าน
เมื่อนางได้ยินมารดากล่าวเช่นนั้นก็ตอบว่า “ท่านแม่เจ้าคะ มีครั้งใดบ้างที่นางไม่เป็นฝ่ายยั่วโมโหข้าก่อน ? ท่านไม่เห็นที่นางทำหรือ แค่นางเห็นข้าก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแล้ว นางไม่เคยเอ่ยคำดี ๆ กับข้าเลยสักครั้งและนางก็ทำราวกับข้าไปสร้างความแค้นไว้ให้มากมาย ! ”
นางหวงได้ยินบุตรสาวคนรองกล่าวเช่นนี้ก็ถอนหายใจออกมา “นางคงเก็บความโกรธและความคับข้องใจมานาน ! พี่สาวของเจ้าอายุมากกว่าเจ้าเพียงหนึ่งปีเท่านั้น ทว่านางต้องมาช่วยแม่ทำอาหารตั้งแต่ห้าหกขวบ หลังพ่อของเจ้าจากไปแม่ต้องไปช่วยชาวบ้านในหมู่บ้านอื่นทำอาหารเพื่อแลกกับวัตถุดิบและเส้นหมี่กลับมาที่บ้าน ส่วนพี่ของเจ้าก็ต้องอยู่บ้านเพื่อซักเสื้อผ้า ทำอาหารและต้องคอยดูแลเจ้ากับน้องชายที่ยังแบเบาะเดินไม่ได้ หลังจากทำงานบ้านเสร็จแล้ว นางก็ยังต้องไปลงแปลงปลูกผักกับแม่อีก…”
พอนึกถึงตอนที่บุตรสาวคนโตเพิ่งมีอายุได้เพียงไม่เท่าไรก็ต้องมาช่วยทำงานบ้านอย่างยากลำบากแล้ว นางหวงก็พลันรู้สึกสงสารบุตรสาวคนโตจับใจ
หลินเว่ยเว่ยอดลำบากใจแทนมารดามิได้ นางจึงให้คำมั่นสัญญาว่า “ท่านแม่ ขอเพียงนางไม่ทำกับข้าจนเกินไป ข้าก็จะไม่ติดใจเอาความเจ้าค่ะ ท่านไม่ต้องโศกเศร้าไปหรอก เพราะต่อไปนี้ครอบครัวของเราจะต้องดีขึ้นกว่านี้ ! ”
“แม่รู้ ลูกของแม่เป็นคนเก่ง” น้ำเสียงที่นางหวงกล่าวคล้ายกำลังปลอบเด็กน้อย “บนภูเขานั้นเต็มไปด้วยอันตราย เจ้าอย่าขึ้นไปบนนั้นนักเลย…”
ขณะที่สนทนากันอยู่นั้นตรงหน้าบ้านก็มีเสียงของพรานหวังดังขึ้น หลินเว่ยเว่ยจึงให้น้องสี่ไปคอยดูหม้อน้ำแกงแล้วทำสีหน้าบ่งบอกให้พรานหวังไปคุยกันที่ด้านนอก
พรานหวังได้กลิ่นของน้ำแกงไก่และได้ยินเพียงว่าเมื่อวานหลินเว่ยเว่ยไปล่ากวางมาได้หนึ่งตัว บัดนี้ของจริงก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา ไม่ว่าอย่างไรกวางหนึ่งตัวก็ขายได้หลายตำลึงจึงไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดครอบครัวที่ยากจนมากสุดในหมู่บ้านถึงมีน้ำแกงไก่ทาน !
พรานหวังกัดฟันแล้วกล่าวขึ้นว่า “ข้าคิดดีแล้ว ! ข้าจะร่วมมือกับเจ้า เช่นนั้นเจ้าเห็นว่าเราควรขึ้นไปบนภูเขาเมื่อไรดี ? ”
หลินเว่ยเว่ยยอมรับความเห็นของอีกฝ่าย “ลุงหวัง ท่านคิดว่าอย่างไร ? ”
“วันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน ! ” ตอนนี้ที่บ้านแทบไม่มีกินอยู่แล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือคังเอ๋อร์ต้องได้ดื่มยาโดยเร็ว แน่นอนว่ายิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี
ตอนต่อไป