ตอนที่ 35 กิมตุ้งเดินได้
เวลานี้ของอดีตชาติ บุตรสาวคนรองตระกูลหลินที่อยู่ข้างบ้านของเขาได้กลิ้งตกจากภูเขาแล้วจมน้ำตาย ทว่าตอนนี้นางไม่เพียงยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น แต่นางยังมีสติปัญญาดั่งเช่นคนปกติอีกด้วย
หากกล่าวว่าการล่าสัตว์เป็นความรู้ใหม่ที่นางได้เรียนรู้จากพรานหวัง เช่นนั้นการทำอาหารเล่า ? เขาไม่เชื่อในเรื่องของพรสวรรค์แฝงอันใดทั้งสิ้น ! ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือในร่างของบุตรสาวคนรองตระกูลหลินมีดวงวิญญาณอื่นมาอาศัยอยู่ !
พอคิดได้ว่าบางทีเด็กโง่บุตรสาวคนรองตระกูลหลินอาจฟื้นคืนชีพเหมือนกับตน ดังนั้นนางอาจเป็นคนในยุคสมัยเดียวกับเขาหรือคนในยุคสมัยที่ล้ำหน้ากว่าและอาจเป็นผู้มีความสามารถมากกว่าเขาก็ได้ เจียงโม่หานคิดได้เช่นนั้นก็เกิดความรู้สึกกระสับกระส่ายและร้อนรนเหมือนกำลังนั่งอยู่บนเปลวไฟ
ในแววตาของเจียงโม่หานเผยให้เห็นความเยือกเย็น เขาจะไม่ยอมให้มีผู้ใดมาอยู่เหนือการควบคุมของตนและมารบกวนแผนการเด็ดขาด…
เช้าตรู่วันต่อมา หลินเว่ยเว่ยออกจากบ้านก็พบเข้ากับบัณฑิตหนุ่มหน้าหวานคนเดิม นางจึงโบกมือแล้วกล่าวทักทายด้วยความเป็นมิตร เสี่ยวหาน เหตุใดไม่นอนพักอยู่บนเตียง ? ท่านหมอก็บอกแล้วมิใช่หรือว่าเจ้าต้องนอนพักให้มาก !
ผู้ใดคือเสี่ยวหาน ? เสี่ยวหานเป็นชื่อที่เจ้าเรียกข้าใช่หรือไม่ ? เจ้าจะอาศัยว่าตัวใหญ่กว่าแล้วทำทีว่าเป็นผู้อาวุโสต่อหน้าข้าหรือ ! มิช้าก็เร็วข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าผู้ใดกันแน่เป็นผู้อาวุโสอย่างแท้จริง ! !
ตอนนี้เขาชักจะเชื่อแล้วว่านางมิได้เกิดใหม่อย่างที่คิด ! เพราะไม่มีผู้ใดกล้าดูถูกดูแคลนอำนาจในอนาคตของตน รวมถึงไม่มีผู้ใดกล้าดูหมิ่นโฉวฝู่ผู้แสนเลือดเย็นคนนี้ !
ข้าออกมาหาที่สงบเพื่ออ่านตำรา ! เจียงโม่หานปรับอารมณ์อย่างรวดเร็วแล้วตอบเสียงเรียบ
หลินเว่ยเว่ยยังโน้มน้าวเขาด้วยความเป็นห่วง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องดูแลสุขภาพให้ดีเสียก่อน ร่างกายก็เปรียบเสมือนเสาหลัก ส่วนการร่ำเรียนเปรียบเสมือนการลงทุน ดูใบหน้าเล็ก ๆ ที่งดงามดั่งสตรีของเจ้าสิ ไหนจะผิวขาวซีดไร้เลือดฝาดนั่นอีก รอให้ข้ากลับมาจากในเมืองแล้วจะจับไก่ป่ามาต้มน้ำแกงบำรุงให้เจ้า !
คำที่เอ่ยออกมาจากปากของนางเหมือนไร้สาระ แม้คล้ายไม่ตั้งใจ ไม่จริงจัง ทว่าดูเป็นธรรมชาติมาก เมื่อฟังแล้วก็ให้ความรู้สึกราวกับว่านางกำลังเป็นห่วงเป็นใยเขาจริง วิญญาณที่อยู่ในร่างของเด็กอ้วนผู้นี้แท้จริงเป็นวิญญาณเช่นใดกัน ? เจียงโม่หานมองนางด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์เล็กน้อย
เหตุใดเอาแต่จ้องข้าเช่นนี้ ? เพราะข้างดงามใช่หรือไม่ ? หลินเว่ยเว่ยยกมือลูบแก้มแล้วกะพริบตาปริบ ๆ ราวกับสาวน้อยขี้อาย ทว่าในแววตาของนางเต็มไปด้วยความเย้าแหย่
เจียงโม่หานแทบทนมองไม่ไหว พูดกันตามความจริงถ้านางไม่ทำตัวแปลกจนเกินไป ด้วยใบหน้ากลม ๆ ที่จิ้มลิ้ม คิ้วเรียวโก่งเป็นก้านหลิว ดวงตาราวกับพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวพร้อมริมฝีปากเล็กรับกับจมูกโด่งได้รูป รวมถึงผิวที่ขาวเนียนละเอียดเหมือนทังหยวน1 ที่เพิ่งออกจากหม้อ แม้ไม่ได้งดงามราวเทพธิดา ทว่าก็พอไปวัดไปวาได้เลย
บัดนี้เขาได้เหลือบไปเห็นสิ่งมีชีวิตตัวหนึ่งเข้า นั่นคือ…แมวป่ามิใช่หรือ ? แถมยังมีชีวิตอยู่ด้วย ? เมื่อชาติที่แล้วเขาเคยเลี้ยงเจ้าตัวนี้อยู่หนึ่งตัว สีขนของมันจางกว่าตัวนี้เล็กน้อย นอกจากนี้ยังตัวเล็กกว่าด้วย สัตว์ป่าชนิดนี้มีความเจ้าเล่ห์และนิสัยดุร้าย ขนาดว่าผู้บังคับบัญชาเยี่ยงเขายังต้องออกแรงและหมดกำลังมากมายกว่าที่จะฝึกให้มันเชื่องได้
และเมื่อเขาเห็นว่าแมวป่าที่เดิมมีนิสัยดุร้ายป่าเถื่อนกำลังถูกนางหิ้วหนังคอด้วยท่าทีน่าสงสารจับใจ แถมดวงตาของมันยังกระสับกระส่ายคล้ายรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย เห็นได้ชัดว่านี่มิใช่แมวป่าที่ถูกฝึกให้เชื่อง ทว่าเหตุใดมันจึงไม่กล้าแสดงสัญชาตญาณดิบเมื่ออยู่ภายใต้การควบคุมของนาง ?
พอเห็นว่าบัณฑิตหนุ่มกำลังจับจ้องมาที่แมวป่าในมือของตน หลินเว่ยเว่ยจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า เจ้าตัวนี้คือแมวป่าชนิดหนึ่ง ขนที่หนาของมันสามารถให้ความอบอุ่นได้เป็นอย่างดี ร่างกายของเจ้าดูผอมแห้ง แลดูไม่แข็งแรง เช่นนั้น…ให้ข้าถลกหนังมันมาทำเสื้อกั๊กให้เจ้าดีหรือไม่ ?
เจียงโม่หานมองออกอย่างชัดเจนว่าสัตว์ป่าตัวนี้กำลังตัวสั่นด้วยความกลัวเมื่อได้ยินในสิ่งที่นางกล่าวออกมา คราวนี้มันจึงมิกล้าแม้แต่จะขยับเขยื้อนตัวสักนิด ราวกับว่ามันกำลังพยายามทำให้ดูไร้ตัวตน
ขอบใจสำหรับความปรารถนาดีของเจ้า ! เจียงโม่หานเดินผละออกไป เพราะถ้าเขาไม่รีบเดินออกไปก็มีหวังว่าจะควบคุมตัวเองไม่ได้และคงตะโกนใส่หน้านางไปแล้ว
เฮอะ ! โมโหอีกแล้วหรือ ? ข้าพูดอันใดผิด ? คนรูปงามมักเจ้าอารมณ์ แต่ถึงอย่างไรก็ยังพอให้อภัยได้ เพราะเขาหน้าตาดี ! หลินเว่ยเว่ยหันไปแลบลิ้นปลิ้นตาไล่หลังเขาแล้วพึมพำออกมา
การที่มีประสาทสัมผัสดีเกินไปก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี เจียงโม่หานกำหมัดเอาไว้แน่นพลางคาดโทษและจำชื่อของเด็กอ้วนคนนี้ไว้ไม่ลืม ! !
นางเฝิงเดินถือผ้าปักออกมาแล้วถามหลินเว่ยเว่ยว่า เด็กน้อย เจ้าจะไปในเมืองหรือ ? เช่นนั้นช่วยนำผ้าปักของน้าไปส่งที่โรงปักผ้าได้หรือไม่ ?
ในเมื่อเป็นเรื่องที่นางสามารถทำให้ได้อยู่แล้ว ดังนั้นหลินเว่ยเว่ยจึงไม่ลังเลที่จะตอบรับ นางเฝิงแค่บอกให้อีกฝ่ายพูดชื่อของตนในขณะเอาผ้าไปส่ง หลังจากนั้นก็บอกราคาของผ้าปักผืนนี้คร่าว ๆ แล้วกล่าวขอบคุณ
หลินเว่ยเว่ยหยิบงานผ้าปักแล้วไปพบพรานหวังที่ทางเข้าหมู่บ้าน จากนั้นทั้งสองก็พากันเดินเข้าเมือง
พรานหวังเห็นว่าแมวป่าในมือของนางยังมีชีวิตอยู่ เขาจึงแนะนำว่า แมวป่าเป็น ๆ ย่อมมีราคาสูงกว่าตัวที่ตายแล้ว หากเจ้าต้องการขายให้คนในเมือง ข้าเกรงว่าราคาของมันจะไม่ค่อยดีเท่าไรนัก สู้เจ้าลองไปเสี่ยงโชคที่ท่าเรือดีกว่า มิแน่ว่าเจ้าอาจโชคดีได้พบพวกคุณชายจากตระกูลสูงศักดิ์แล้วพวกเขาอาจสนใจมัน !
ได้ ! เช่นนั้นข้าจะลองไปเสี่ยงโชคที่ท่าเรือ ! หากภายในสองวันนี้ข้าขายมันไม่ได้ ข้าก็จะฆ่ามันแล้วขายเนื้อกับหนังแทน ! หลินเว่ยเว่ยมองไปยังแมวป่าที่แกล้งตายจนเปิดเปลือกตาขาว นางจึงแกล้งแหย่มันเล่น
เมื่อมาถึงในเมือง หลินเว่ยเว่ยจึงแยกกับพรานหวังแล้วเดินไปยังโรงปักผ้าตระกูลอู๋
หลงจู๊โรงปักผ้าได้รับคำสั่งจากคุณชายมาก่อน เมื่อเห็นฝีมือการปักที่คุ้นเคยนี้จึงกล่าวกับหลินเว่ยเว่ยว่า นางเฝิงจากหมู่บ้านฉือหลี่โกวได้ฝากผ้าปักนี้ให้เจ้านำมาส่งใช่หรือไม่ ! ถ้าเป็นเช่นนั้นเจ้าจงนำผ้าปักกลับไปแล้วบอกนางว่าโรงปักผ้าของข้าไม่รับซื้องานปักของนางแล้ว
หลินเว่ยเว่ยจึงถามกลับด้วยความโมโห เพราะเหตุใดกัน ? ทั้งที่ฝีมือดีเพียงนี้ เหตุใดไม่รับซื้อ ? จะว่าไปแล้วก็ต้องมีเหตุผลสิ จริงหรือไม่ ?
หลงจู๊โรงปักผ้าจึงกล่าวพร้อมแสดงสีหน้าหยิ่งยโสออกมา ก็ให้นางไปถามบุตรชายเองสิ !
บัณฑิตหนุ่มคนนั้นน่ะหรือ ? นิสัยและถ้อยคำของเขาพาลหาเรื่องจริง ! ดังนั้นหลินเว่ยเว่ยจึงเก็บงานปักของนางเฝิงแล้วเดินไปทางท่าเรือ
ณ ท่าเรือของเขตเริ่นอันมีเรือจอดอยู่หลายลำ บรรดาลูกจ้างขนของบนเรือต่างก็ทำงานกันอย่างขะมักเขม้น มีทั้งเสียงตะโกนของพ่อค้าหาบเร่และเสียงตะโกนสั่งงานผสมผสานเข้าด้วยกันจึงทำให้กลายเป็นภาพที่มีชีวิตชีวามากนัก
นางวางแมวป่าลงพื้น จากนั้นก็แก้เชือกที่มัดขามันออกแล้วถอดตะกร้อครอบปากให้จนเหลือไว้เพียงเชือกเส้นใหญ่ซึ่งล่ามคอมันไว้
แมวป่าแยกเขี้ยวใส่ หลินเว่ยเว่ยจึงยกกำปั้นขึ้นมาเตือนมันจึงทำให้มันหน้าจ๋อยทันทีแล้วก็รีบแกล้งนอนตายอยู่บนพื้น
หลินเว่ยเว่ยเห็นเช่นนั้นจึงแกล้งขู่มัน ตายแล้วหรือ ? เช่นนั้นข้าจะถลกหนังของเจ้า !
แมวป่าที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบลุกพรวดทันที ขนหนาฟูของมันสั่นสะท้านแล้วมองนางอย่างไม่ยอม
ฮ่าฮ่าฮ่า…เจ้าสัตว์ป่าตัวนี้น่าสนใจไม่น้อย ! เสียงชายหนุ่มที่ดูแข็งแกร่งดังขึ้นจากข้างหลังของนาง
หลินเว่ยเว่ยจึงหันกลับไปมอง นางไม่รู้ว่ามีคุณชายตระกูลสูงศักดิ์ที่อายุประมาณ 20 ปีโผล่มาจากที่ใดตั้งสองคน คนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีแดงเข้มและมีดิ้นสีทองปักอยู่รอบคอเสื้อกับแขนเสื้อ รอบเอวผูกด้วยแถบเมฆมงคลลวดลายประณีตสีเดียวกับชุด มวยผมของเขาถูกครอบด้วยกวาน2 สีเงินแวววาวซึ่งถูกประดับด้วยหยกขาวทรงคุณค่าอย่างยิ่ง
หากเจียงโม่หานยืนอยู่ตรงนี้ด้วย แค่มองปราดเดียวเขาก็สามารถจดจำบุรุษในชุดสีแดงเข้มได้เป็นอย่างดี นั่นเพราะว่าชายคนนี้คือพระโอรสลำดับที่เจ็ดแห่งราชวงศ์ปัจจุบัน และถ้าให้เอ่ยถึงผู้ที่เจียงโม่หานเกลียดชังที่สุด องค์ชายเจ็ดพระองค์นี้ก็คือหนึ่งในนั้น
ส่วนชายอีกคนหนึ่งสวมชุดคลุมสีดำทั้งตัว ตรงเอวห้อยแถบพู่เอาไว้ แขนทั้งสองข้างกอดอกไว้แน่น คิ้วที่คมประดุจกระบี่ของเขาเลิกขึ้นเล็กน้อยและดวงตาที่คมกริบทำให้เขาดูเหมือนคนที่ไม่มีความอดทนเท่าใดนัก
คุณชายผู้สูงศักดิ์สองท่านนี้ดูรูปงามและมีบุคลิกไม่ธรรมดา ทว่าในสายตาของหลินเว่ยเว่ยเห็นทั้งคู่ไม่ต่างอันใดจากกิมตุ้งเดินได้ !
1 ทังหยวน คือขนมดั้งเดิมของชาวจีนทำจากแป้งข้าวเหนียวปั้นเป็นก้อนกลมใส่ไส้ หน้าตาคล้ายขนมหัวล้านของไทยแต่ลูกใหญ่กว่า นิยมรับประทานกันในวันเทศกาลหยวนเซียว หรือ เทศกาลโคมไฟของทุกปี
2 กวาน คือ สิ่งที่ชนชั้นสูงใช้สวมครอบมวยผมบนศีรษะเพื่อเป็นเครื่องบอกระดับยศศักดิ์
ตอนต่อไป