หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง – ตอนที่ 39 หางจิ้งจอก

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 39 หางจิ้งจอก

ที่จริงเจ้าก็สามารถเรียนการเย็บปักถักร้อยได้นี่ ! เช่นมารดาของหลิวว่ายจื่อที่มีฝีมือเย็บปักไม่ธรรมดา ในแต่ละปีนางสามารถนำงานปักไปแลกเงินได้หลายตำลึงเชียวนะ ! ไหนจะน้าเฝิงที่อยู่ข้างบ้านเจ้าอีก ลำพังผ้าที่นางปักก็สามารถส่งลูกชายไปเรียนในเมืองได้แล้ว แต่ละเดือนนางต้องมีรายได้มิน้อยเช่นกัน ! ซุนเอ้อร์หยากล่าวอย่างอิจฉา

มารดาของหลิวว่ายจื่อขึ้นชื่อเรื่องของการมีฝีปากแก่กล้า หลายคนอยากให้นางสอนการเย็บปัก ทว่านางก็ด่าทอจนคนเหล่านั้นกลับบ้านแทบไม่ทัน ส่วนนางเฝิงในยามปกติก็รักสันโดษ ไม่ค่อยสุงสิงกับคนในหมู่บ้านสักเท่าไร

ทว่ากับตระกูลหลินไม่เหมือนกัน ! เพราะบุตรสาวคนรองมีบุญคุณที่ช่วยชีวิตของทั้งสองครอบครัวนี้เอาไว้ หากบุตรสาวคนโตของตระกูลหลินอยากเรียนเรื่องเหล่านี้ พวกเขาต้องไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน

เมื่อนางคิดแล้วก็พบสิ่งที่สหายกล่าวออกมามีเหตุผล ตอนเย็นวันนั้นหลังจากน้ำแกงกระดูกหมูต้มเสร็จแล้วนางจึงชิงตักไปหนึ่งถ้วยเพื่อเอาไปให้นางเฝิง

หลินเว่ยเว่ยอยากเตือนว่านางได้แบ่งกระดูกหมูให้บัณฑิตหนุ่มไปแล้ว ทว่าพี่สาวกลัวโดนแย่งโอกาสนี้ไปจึงรีบวิ่งอย่างรวดเร็ว ! ในขณะนางที่กำลังจะเอ่ยปากเตือนพี่สาวก็ไปถึงประตูใหญ่แล้ว ช่างเถิด ปล่อยไปแล้วกัน !

น้าเฝิง วันนี้ที่บ้านของข้าได้ต้มน้ำแกงกระดูกใส่ฟัก ท่านแม่จึงให้ข้านำมาให้ ! บุตรสาวคนโตเลียนแบบน้ำเสียงของหลินเว่ยเว่ยทำให้น้ำเสียงของนางหวานเป็นอย่างมาก

นางเฝิงก็ยกชามบะหมี่ที่ต้มในน้ำแกงจากกระดูกชิ้นนั้นออกมาวางไว้บนโต๊ะพอดี เมื่อได้ยินเช่นนั้นนางจึงกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า แม่ของเจ้าช่างใจดีเหลือเกิน แต่เมื่อวานน้องรองของเจ้าก็นำกระดูกหมูมาแบ่งให้พวกเราแล้วมิใช่หรือ ? เย็นวันนี้ครอบครัวของเราก็ต้มน้ำแกงกระดูกหมูเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ฝากขอบใจแม่ของเจ้าด้วย !

สีหน้าของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อยพลางก่นด่าหลินเว่ยเว่ยในใจชุดใหญ่ เจ้านำกระดูกมาแบ่งให้น้าเฝิงไปแล้ว เหตุใดไม่ยอมบอกข้า เจ้าจงใจทำให้ข้าขายหน้าใช่หรือไม่ !

นางยืนหน้าแดงก่ำอยู่ที่เดิมแล้วทำท่าทีเงอะงะราวกับจะเข้าไปก็มิเข้า จะถอยกลับก็ไม่ถอย นางเฝิงเห็นเช่นนั้นจึงกล่าวว่า จริงสิ หานเอ๋อร์ของข้าบ่นว่าอยากทานน้ำแกงกระดูกหมูใส่แตงพอดี ! วันนี้ข้าต้มน้ำแกงและทำแป้งทอด ดังนั้นจึงเอาน้ำแกงก้นหม้อมาทำเป็นบะหมี่ เจ้ารอก่อนเถิด ประเดี๋ยวข้าจะเอาน้ำแกงที่แม่เจ้าฝากมาเทใส่ชามแล้วตักน้ำแกงที่ข้าทำให้แม่ของเจ้าลองชิมฝีมือ !

ตอนนี้นางยืนอยู่ในบ้านของนางเฝิงแล้ว จากนั้นสายตาของนางก็มองซ้ายทีขวาทีอย่างไม่สงบ เมื่อหันไปเห็นผ้าปักที่นางเฝิงปักได้ครึ่งหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ นางก็เดินไปหยิบดูอย่างพินิจพิเคราะห์ บนผ้าปักเป็นรูปมู่ตาน1กำลังเบ่งบาน ซึ่งชั้นของกลีบดอกมีสีสันสวยงามเรียงตัวเป็นชั้นราวกับของจริง ทำให้ไม่อาจละสายตาได้

เจียงโม่หานที่กำลังมองนางผ่านทางหน้าต่างห้องนอนได้เห็นการกระทำทุกอย่างรวมถึงแววตาของนางเป็นอย่างดี ทันใดนั้นเขาก็ขมวดคิ้วพลางคิดในใจว่า ตอนที่เด็กอ้วนมาที่บ้านของเขา ในดวงตาของนางสุกใสและมีความอยากรู้อยากเห็นหลายสิ่ง ทว่านางรู้สิ่งใดควรดู สิ่งใดมิควรดู สิ่งใดควรแตะต้องและสิ่งใดมิควรแตะต้อง ทั้งที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาจากมารดาคนเดียวกัน เหตุใดพวกนางทั้งสองจึงมีนิสัยแตกต่างกันเพียงนี้ ?

ตอนที่นางเฝิงยกชามน้ำแกงออกมา หลินเฉียงเอ๋อร์ก็ได้กล่าวชื่นชมโดยการแสดงน้ำเสียงประจบประแจงอย่างชัดเจน น้าเฝิง งานปักของท่านช่างละเอียดและยอดเยี่ยมมาก ในหมู่บ้านฉือหลี่โกวของเราไม่มีผู้ใดฝีมือเทียบท่านได้แล้ว !

ข้าไม่กล้าเอ่ยถึงเพียงนั้นหรอกเพราะเหนือฟ้ายังมีฟ้าเหนือคนเก่งย่อมมีคนที่เก่งกว่า งานปักของข้าไม่ได้ดีมากเพียงนั้นหรอก นางเฝิงอยากยื่นชามน้ำแกงให้อีกฝ่ายแต่ก็กลัวว่าจะทำให้ผ้าปักที่ตนปักมาอย่างยากลำบากต้องเปรอะเปื้อน

น้าเฝิง ฝีมือของท่านช่างอัศจรรย์เหลือเกิน ! ข้าอยากปักดอกไม้ให้ออกมางดงามเช่นท่านบ้าง หากเป็นเช่นนั้นก็คงดีไม่น้อย ! ดูเหมือนว่าหลินเฉียงเอ๋อร์กล่าวออกมาโดยไม่ตั้งใจ แต่อันที่จริงแล้วแววตาของนางกำลังลอบมองปฏิกิริยาของนางเฝิงตลอดเวลา !

นางเฝิงได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยออกเช่นนั้นก็ทราบเจตนาทันที หลังเกิดความลังเลครู่หนึ่งนางเฝิงจึงกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า หากเจ้าอยากเรียน ข้าก็จะสอนให้ !

จริงหรือน้าเฝิง ? เช่นนั้นจะเป็นการรบกวนเวลาปักผ้าของท่านหรือไม่ ? บุตรสาวคนโตของตระกูลหลินรอคำนี้อยู่แล้ว เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจจนเกือบทึ้งผ้าปักในมือเสียเต็มแรง

นางเฝิงวางชามบนเก้าอี้แล้วรับผ้าปักมาจากมืออีกฝ่ายอย่างทุลักทุเลพลางกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า เช่นนั้นในช่วงบ่ายของแต่ละวันเจ้าก็มาที่นี่เป็นเวลา 1 ชั่วยาม ข้าจะสอนเรื่องการวาดลายเส้นและสีให้เจ้าก่อน

หลินเฉียงเอ๋อร์พยักหน้าราวไก่จิกข้าวเปลือกพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าที่ไม่อาจถูกปกปิดไว้ได้ วันพรุ่งข้าจะมาอีกที ขอบใจน้าเฝิงมาก !

หลังกล่าวจบนางก็วิ่งออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจกระทั่งชามบะหมี่และเพราะนางเฝิงตะโกนเรียกให้กลับมาเอา นางจึงวิ่งกลับมาแล้วยกชามออกไปอย่างอารมณ์ดี

เป็นเช่นประโยคนั้นไม่มีผิด โลกนี้ไม่มีสิ่งใดได้มาโดยเปล่า ไม่มีผลประโยชน์ให้โดยไม่หวังผล ! เจียงโม่หานเดินออกมาจากในห้องนอน เขาแทบอยากคว่ำชามน้ำแกงกระดูกหมูใส่ฟักด้วยความโมโห !

นางเฝิงยิ้มอย่างใจกว้างแล้วกล่าวว่า อย่าเอ่ยเช่นนี้เลย การที่สตรีวัยสาวอยากเรียนรู้งานฝีมือถือเป็นเรื่องปกติ การสอนปักผ้ามิได้ใช้แรงมากเพียงนั้น คิดเสียว่าเป็นการพักผ่อนหลังปักผ้าก็แล้วกัน

ไม่มีผู้ใดทำดีโดยไม่หวังผล ซึ่งสิ่งที่แย่กว่านั้นคือการที่อีกฝ่ายมาทำดีกับเราโดยที่เราไม่รู้ว่ามีจุดประสงค์ใดแอบแฝงอยู่กันแน่ !

ทันใดนั้นเจียงโม่หานก็นึกถึงเด็กอ้วนขึ้นมาทันที เขาเหลือบมองผนังบ้านข้าง ๆ พลางคิดในใจว่าสักวันข้าจะดึงหางจิ้งจอกของเจ้าออกมา !

หลังทานมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้วหลินเว่ยเว่ยก็ไปขอความช่วยเหลือจากลุงต้าซวนผู้มีความสามารถในการก่ออิฐเพื่อให้เขามาช่วยสร้างรังกระต่ายให้ นางออกแบบรังกระต่ายไว้สองชั้น โดยแต่ละชั้นจะมีช่องไม้ไผ่อยู่ซึ่งมูลของกระต่ายจะตกมาจากซี่ไม้ไผ่นั้นและสามารถทำความสะอาดได้ง่าย

รังกระต่ายของนางมีลานที่ถูกปูด้วยอิฐเล็ก ๆ และมีสนามหญ้าที่ปูด้วยอิฐก้อนใหญ่ เมื่ออากาศดี กระต่ายจะได้ออกมาเดินเล่น และนางก็ไม่ต้องกังวลเรื่องที่มันจะขุดรูหนีไป

อิฐที่เหลือถูกนำไปก่อเป็นคอกเลี้ยงสัตว์อีกด้านหนึ่งของหลังบ้าน ซึ่งภายในนั้นสามารถเลี้ยงไก่ เป็ดหรือหมูก็ได้ตามสะดวก ! พื้นที่หลังบ้านของพวกนางกว่าครึ่งหมู่ถูกแปลงผักครอบครองไปครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งก็ถูกครอบครองโดยรังกระต่ายและคอกสัตว์ !

โครงสร้างของรังกระต่ายมิได้ซับซ้อนมากจึงทำให้สร้างเสร็จตั้งแต่ตอนที่แสงของดวงจันทร์เริ่มโผล่ขึ้นมาบนขอบฟ้า เจ้าหนูน้อยอดใจมิไหวที่จะเอากระต่ายตัวใหญ่ทั้งสองตัวและลูกกระต่ายตัวเล็กอีกห้าตัวเข้าไปไว้บนชั้นสองในรังของพวกมัน เนื่องจากโคลนยังไม่แห้ง เด็กน้อยจึงเอาหญ้ามาปูที่มุมหนึ่งของลานแล้ววางหญ้าที่ล้างน้ำสะอาดไว้อีกด้านหนึ่งโดยอ้างว่าเอาไว้ให้กระต่ายกินเผื่อหิวตอนกลางคืน

กระต่ายป่าตัวแรกที่จับมานั้นพรานหวังช่วยดูเพศของมันแล้วว่าเป็นกระต่ายตัวผู้ ส่วนกระต่ายป่าที่จับมาพร้อมลูกเป็นกระต่ายตัวเมียพอดี ไม่แน่ว่าเด็กน้อยอาจได้ลูกกระต่ายคอกใหม่ในมิช้านี้ !

เจ้าหนูน้อยเอาแต่เฝ้ารังกระต่ายในสวนหลังบ้าน เขาแทบอยากนอนเป็นเพื่อนพวกมันอยู่แล้ว หลินเว่ยเว่ยเห็นเช่นนั้นจึงลากน้องชายกลับมา แต่น้องชายก็ยังพูดเจื้อยแจ้วว่า กระต่ายน้อยเพิ่งย้ายบ้านใหม่ ไม่รู้ว่าพวกมันจะกลัวหรือไม่

พวกมันมีแม่อยู่เป็นเพื่อน จะกลัวได้อย่างไร ? นี่ก็ดึกมากแล้ว หากเจ้ายังไม่นอนอีก ระวังตัวไม่สูงเอาได้ ! หลินเว่ยเว่ยแกล้งอีกฝ่าย

เจ้าหนูน้อยถูกหิ้วเข้ามาในห้องของนางหวง จากนั้นหลินเว่ยเว่ยเทน้ำอุ่นใส่อ่างให้เขาและเนื่องจากตอนนี้อากาศเริ่มร้อนแล้วทำให้เด็กน้อยผู้ที่ช่วยขนอิฐมีเหงื่อท่วมตัวจนตัวเหม็นหึ่ง

น้องสี่จับเสื้อผ้าของตนไว้แน่นแล้วพยายามขัดขืนหลินเว่ยเว่ย พี่รอง ชายหญิงมิควรแตะเนื้อต้องตัวกัน ! พี่รองออกไปเถิด ข้าจะถอดเสื้อผ้าเองและจะซักเองด้วย !

ในตำราบอกว่า ‘ชายหญิงมิควรถูกเนื้อต้องตัวกันเมื่ออายุ 7 ขวบ’ แต่เจ้าเพิ่งอายุ 6 ขวบ ! เด็กน้อยไม่แบ่งเพศกันหรอก ! เจ้าหนูน้อยที่เนื้อตัวผอมแห้งจะมาสู้แรงของหลินเว่ยเว่ยได้เช่นไร เพียงชั่วพริบตาเขาก็ถูกถอดเสื้อผ้าออกเสียล่อนจ้อนและโดนอุ้มลงอ่างน้ำไปแล้ว

1 มู่ตาน คือ ดอกโบตั๋น

ตอนต่อไป

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

Status: Ongoing
นักศึกษาเรียนดีจากวิทยาลัยเกษตรทะลุมิติมาเป็นเด็กสาวชาวนาผู้โง่เขลาและมีนิสัยป่าเถื่อน บิดาก็ตาย มารดาก็อ่อนแอ น้องชายดันมาตีตัวออกห่าง ส่วนพี่สาวก็มักจะคิดว่าเธอเป็นภาระเสมอ แต่โชคดีที่เธอมีมิติน้ำพุวิญญาณอยู่ในมือ เธอทั้งกลายเป็นนักล่าหมูป่า ทำให้ฝูงหมาป่าตกใจ ใช้น้ำพุวิญญาณมาปลูกพืชพันธุ์จนได้ผลผลิตดีงาม ทำสวนก็ได้ผลผลิตดี เลี้ยงสัตว์ก็เติบโต ไหนจะเสน่ห์ปลายจวักอีก เด็กโง่เขลาคนนี้นี่แหละจะนำพาทั้งครอบครัวไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองเอง ! ทว่าบัณฑิตหนุ่มหน้าหวานจอมหยิ่งคนข้างบ้านเนี่ย คิดว่าตัวเองหล่อแล้วจะทำอะไรก็ได้หรือไง ? คิดว่าเป็นขุนนางแล้วใครจะทำอะไรไม่ได้หรือ ? สุดท้ายก็ถูกเด็กโง่คนนี้กำราบไม่ใช่หรือไง ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท