ตอนที่ 65 บัณฑิตหนุ่มใกล้ระเบิดแล้ว
หลินเว่ยเว่ยจัดผลชิงป่าอบแห้งลงกระบุงไปครึ่งหนึ่งแล้วกล่าวกับนางเฝิงว่า ข้าขอไปสำรวจราคาในเมืองก่อน แล้วจะซื้อน้ำตาลสีแดงกลับมาด้วย อีกไม่กี่วันลูกท้อในป่าท้อคงจะสุกแล้ว หากขายดีพวกเราก็ทำลูกท้ออบแห้งต่อเลย
นางเฝิงมีความเชื่อมั่นในผลชิงอบแห้งของตนเป็นอย่างมาก ทว่าตอนนี้ภัยแล้งรุนแรง ชาวบ้านหลายคนแม้แต่ข้าวยังทานไม่อิ่มท้อง แล้วจะเอาเงินมาซื้อขนมทานได้เช่นไร ?
สำหรับความกังวลใจของนางนั้นหลินเว่ยเว่ยเห็นต่างออกไป ผู้ที่ซื้อผลไม้อบแห้งนั้นแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ใช่ชาวบ้านทั่วไป เขตเริ่นอันไม่ใช่เล็ก ๆ คุณหนูคุณชายมีเงินยังเป็นกลุ่มคนที่ใช้เงินเก่ง เช่นนั้นหอซุ่ยเซียนคงไม่มีคนเต็มร้านทุกวันหรอก !
นางเฝิงมาส่งที่ปากทางเข้าหมู่บ้านแล้วบอกว่า รีบไปรีบกลับ หากขายไม่ได้ก็อย่าดึงดัน
เหตุใดจะขายไม่ได้ ? แม้ผลไม้อบแห้งของพวกนางต้นทุนต่ำกว่าของผู้อื่นหลายเท่า แต่คุณภาพของสินค้าก็ถือว่าเหนือชั้น กลัวว่าจะไม่พอขายเสียมากกว่า ! หากคนในเขตเริ่นอันไม่นิยมสินค้าดี ๆ เช่นนี้ อีกไม่กี่วันตอนที่นางไปซื้อเสบียงที่อำเภอจิงหยุนก็ค่อยไปเปิดตลาดที่นั่นยังไม่สาย
บัณฑิตน้อย มีของสิ่งใดที่ต้องการฝากซื้อหรือไม่ ? หลินเว่ยเว่ยมองไปยังเจียงโม่หานที่เดินผ่านมาแล้วโบกมือแรง ๆ ให้เขา
เจียงโม่หานเดินเข้ามาช้า ๆ แล้วทิ้งคำกล่าวไว้ว่า ไม่จำเป็น ข้าจะไปเอง !
อากาศร้อนเช่นนี้ ขยับนิดขยับหน่อยก็เหงื่อท่วมแล้ว ร่างกายเช่นเจ้าหากเป็นลมแดดแล้ว ข้ากับน้าเฝิงก็ต้องมาดูแลอีก เจ้ามีสิ่งใดที่ต้องการจะซื้อก็ให้ข้าช่วยซื้อกลับมาดีกว่า
เสื้อผ้าที่หลินเว่ยเว่ยใส่ยังเป็นเสื้อตัวเก่าของบิดา แต่ว่าไม่มีรอยปะและถูกนางเฝิงแก้จนพอดีตัวไปแล้ว ส่วนผมของนางได้ถูกเกล้าเป็นมวย มองแล้วราวกับชายหนุ่มอายุสิบหกสิบเจ็ดปี
ข้าไม่ได้อ่อนแอเหมือนที่เจ้าคิด ! เจียงโม่หานกล่าวพร้อมแยกเขี้ยวยิงฟัน
หลินเว่ยเว่ยถอนหายใจออกมาแล้วกล่าวอย่างเป็นกังวลว่า เอาเถิด หากเจ้าไม่สบายก็บอก ไม่ต้องฝืน น้ำหนักตัวไม่กี่จินเช่นเจ้า ข้าแบกไหวอยู่แล้ว !
เจียงโม่หานกัดฟันกรอดแล้วกล่าวว่า ข้าบอกไปแล้วว่าไม่จำเป็น ! !
แม้ดวงอาทิตย์เพิ่งขึ้นได้ไม่นาน ทว่าตอนนี้มันแสดงพลังออกมาอย่างเต็มที่ หลังเดินไปได้ไม่ไกล เจียงโม่หานก็รู้สึกว่าบนหลังเริ่มมีเหงื่อออกและตรงหน้าผากก็มีเหงื่อซึมอีกด้วย
เขาโบกพัดด้วยท่าทางใจร้อนไม่เป็นสุขแล้วมองไปยังเด็กอ้วนที่ทิ้งห่างออกไปเรื่อย ๆ นางแบกผลชิงตากแห้งที่หนักตั้งหลายสิบชั่งทว่าท่วงท่าการเดินช่างอ่อนช้อย ส่วนฝีเท้าก็เร็วราวกับลอยได้ นี่นางเป็นสตรีจริงหรือ ?
หลินเว่ยเว่ยได้ยินเสียงฝีเท้าของบัณฑิตหนุ่มไกลออกไปเรื่อย ๆ นางจึงหยุดแล้วหันกลับไปมองเขา จากนั้นนางก็ให้กำลังใจเขาว่า สู้สู้ ! อีกไม่ไกลก็จะได้นั่งเกวียนแล้ว ! หากเจ้าแบกไม่ไหวก็บอก อย่าตายแค่เพราะต้องการรักษาหน้าเอาไว้
เจียงโม่หานหอบเล็กน้อยจากนั้นก็เอาผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อ เขากำหมัดแล้วคลายออกพลางกล่าวว่า ข้ายังอยู่ดี ไม่ต้องให้เจ้ามาเป็นห่วงหรอก !
เด็กอ้วนไม่มีเหงื่อตกแม้แต่น้อย ช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย คนอ้วนกลัวอากาศร้อนกันทุกคนไม่ใช่หรือ ? เจียงโม่หานมองไปยังหลินเว่ยเว่ย หืม ? เด็กอ้วนดูเหมือนว่าจะไม่ได้อ้วนถึงเพียงนั้นแล้ว นางผอมลงตั้งแต่เมื่อไร ?
เจ้าไหวหรือไม่ ? ให้ข้าแบกเจ้าดีหรือไม่ ? เช่นนั้นคงไปไม่ทันเกวียนของปู่หนิวจากหมู่บ้านเสี่ยวจ้งเอานะ ! หลินเว่ยเว่ยเอากระบุงไม้ไผ่ลงจากหลังแล้วถือไว้ในมือ จากนั้นนางก็ค่อย ๆ คุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขา
เขารู้สึกว่าโดนสบประมาท ! เจียงโม่หานจึงเดินฟึดฟัดอ้อมนางไป จากนั้นเขาก็เร่งความเร็วในการเดินแล้วมุ่งตรงไปข้างหน้า ตอนนี้ความเร็วของเขาเร็วกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อยและในยามมาถึงทางแยกพวกเขาก็ทันเกวียนจากหมู่บ้านเสี่ยวจ้งพอดี
บนเกวียนมีคนไม่เยอะมาก เจียงโม่หานที่นั่งอยู่บนเกวียนได้ออกแรงโบกพัดอย่างแรง ไม่ใช่เพราะว่าอากาศร้อนอย่างเดียวแต่ยังเป็นเพราะในใจกำลังมีไฟสุมอยู่
เดิมทีหลินเว่ยเว่ยไม่ชอบใจกับความเร็วของเกวียนที่ช้าและไม่อยากนั่ง แต่พอนางได้เห็นหน้าของบัณฑิตหนุ่มที่แดงก่ำและท่าทางการหายใจติดขัดของเขา นางก็กลัวว่าเขาจะเป็นลมแดดหรือเป็นอะไรไปจริง ๆ นางจึงมานั่งเกวียนข้างเขา
เหงื่อออกเยอะเช่นนี้ ดื่มน้ำหน่อยเถิด หลินเว่ยเว่ยนำกระบอกไม้ไผ่ที่พกมาเปิดฝาออกแล้วส่งให้บัณฑิตหนุ่ม
เจียงโม่หานไม่ปฏิเสธแล้วกระดกดื่มลงไป หลังจากดื่มน้ำเสร็จ ความร้อนรุ่มและความกลัดกลุ้มในใจก็เหมือนจางหายไปในชั่วพริบตา รู้สึกว่าสดชื่นขึ้นเป็นอย่างมาก เขามองกระบอกไม้ไผ่แล้วถามอย่างไม่เต็มใจ นี่คือน้ำอะไร ?
น้ำวิเศษ ! หลินเว่ยเว่ยพูดตามความจริง
เจียงโม่หานเหลือบมองนางเล็กน้อยและมีความรู้สึกที่อยากเอาน้ำสาดใส่หน้านาง หลินเว่ยเว่ยจึงรีบเอากระบอกไม้ไผ่ของตนกลับมา จากนั้นนางก็ดื่มไปสองอึกแล้วกล่าวว่า สิ่งนี้เรียกว่าน้ำเกลือแร่ มีส่วนผสมของเกลือและน้ำตาล หากดื่มในช่วงฤดูร้อนจะช่วยเพิ่มพละกำลัง ป้องกันการเป็นลมแดด
ตอนที่นางยกกระบอกไม้ไผ่ขึ้นดื่มนั้น เจียงโม่หานพยายามที่จะห้ามไว้ แต่มันก็สายไปแล้ว น้ำนั่น…เขาดื่มไปแล้ว นางเด็กน่าเกลียด ทำเช่นนี้ได้อย่างไร ? นี่ไม่เท่ากับว่า…จบสิ้นแล้ว เขาจะต้องเป็นลมแดดแน่นอน เหตุใดหูถึงได้ร้อนเช่นนี้เล่า ?
หลินเว่ยเว่ยมองเขาหนึ่งที จากนั้นก็เทน้ำลงผ้าเช็ดหน้าแล้วเช็ดคอให้เขา เหตุใดหูเจ้าแดง ? คงไม่ใช่เพราะร้อนหรอกนะ รีบเช็ดเร็ว !
เจียงโม่หานรีบหลบออกไปด้านข้างแล้วแย่งผ้าเช็ดหน้าของนางมาพลางกล่าวว่า ข้าทำเอง !
ตอนนี้ไม่รู้ว่าเกวียนไปเหยียบเข้ากับสิ่งใด ตัวรถถึงได้สั่นอย่างรุนแรงทำให้เจียงโม่หานสูญเสียการควบคุมจึงล้มไปบนตัวของหลินเว่ยเว่ย เขารีบใช้มือคว้าจับไม้กระดานของเกวียนและทำให้จมูกเกือบชนเข้ากับจมูกของหลินเว่ยเว่ย
นัยน์ตาของหลินเว่ยเว่ยส่องประกายความตื่นเต้น มีเสียงตะโกนออกมาดัง ๆ ในใจว่า ‘ฮ่าฮ่า เจ้าไม้กระดานเกวียน ! เจ้าเป็นไม้กระดานที่มีประโยชน์เสียจริง ! ’
ความร้อนบนใบหน้าของเจียงโม่หานพุ่งสูงขึ้นในพริบตา ผิวขาวใสบัดนี้เหมือนปูโดนต้มไม่มีผิด เขาร้อนรนคิดจะลุกขึ้นมานั่งอีกครั้ง แต่เกวียนก็สั่นอีกรอบ แขนของเขาอ่อนแรงทำเอาทั้งตัวฟุบลงหาหลินเว่ยเว่ยอีกครา
สายตาของหลินเว่ยเว่ยจ้องใบหน้าหล่อเหลาและริมฝีปากแสนเย้ายวนของบัณฑิตหนุ่ม ดูเหมือนว่ามันกำลังเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ทันใดนั้นในใจของนางเหมือนมีกระต่ายตัวหนึ่งจะกระโดดออกมา ‘อ่า หรือว่าจุมพิตแรกของนางกำลังจะมาถึงโดยทันตั้งตัว ? ’
ในขณะที่ริมฝีปากของทั้งสองกำลังจะประกบกัน เจียงโม่หานก็เบือนหน้าหลบทันที แก้มของเขาชนเข้ากับปากของหลินเว่ยเว่ย ส่วนหลินเว่ยเว่ยได้แต่แอบเสียดายอยู่ในใจ ‘ไอหยา เสียดายจัง ! ’
เจียงโม่หานพยายามลุกขึ้น ตอนนี้เขาหน้าแดงไปถึงต้นคอ เขาหันหลังให้หลินเว่ยเว่ยและไม่รู้ว่าควรทำตัวเช่นไร คนอื่นบนเกวียนก็ถูกแรงสั่นทำให้ล้มคว่ำไปคนละทิศละทาง บางคนก็หน้าอกชนกัน บางคนก็ไปดึงแขนของผู้อื่น…โชคดีที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นทั้งสองคน เช่นนั้นเจียงโม่หานอาจระเบิดตนเองก็ได้ !
ทั้งสองเงียบขรึมอยู่นาน หลินเว่ยเว่ยมองไปที่ท้ายทอยของอีกฝ่าย เมื่อมองจากใบหูที่แดงเถือกของเขา นางก็สามารถจินตนาการได้ถึงความอึดอัดใจของเขาทันที ‘ไอ้หยา คงไม่ได้ทำให้บัณฑิตน้อยอายไปแล้วหรอกนะ ? ’
ฮึ่ม ! บัณฑิตน้อย เจ้าอยากดื่มน้ำหรือไม่ ? หลินเว่ยเว่ยลองถามหยั่งเชิง
ทันใดนั้นเจียงโม่หานก็นึกถึงกระบอกไม้ไผ่ที่ทั้งสองใช้ร่วมกันโดยริมฝีปากประทับบนที่เดียวกันขึ้นมาอีกรอบ จากนั้นความร้อนผ่าวบนใบหน้าที่เดิมทีได้ลดลงไปแล้วก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
เขาเถียงตัวเองอยู่ในใจว่า ‘เด็กคนนี้ไม่เข้าใจจริง ๆ หรือแกล้งไม่เข้าใจกันแน่ ? ไม่ถูกต้องสิ หากจะกล่าวไปแล้วก็เป็นฝ่ายหญิงที่เสียเปรียบ เหตุใดเขาจึงคิดกับสตรีเช่นนั้น ? ไอหยา ! เด็กคนนี้โตแล้ว ป้าหลินไม่ได้สอนเรื่องความแตกต่างระหว่างชายหญิงให้แก่นางหรือ ? ’
ตอนต่อไป