วันต่อมา ขณะที่ฟ้ายังไม่ทันสว่างหลินเว่ยเว่ยก็ลุกจากเตียง เมื่อล้างหน้าแปรงฟันแล้วนางก็แบกกระบุงไม้ไผ่ขึ้นหลังเพื่อเตรียมขึ้นเขา นางก็อยากนอนตื่นสายบ้างเช่นกัน แต่ชีวิตไม่เอื้ออำนวยเอาเสียเลย !
นางเคยชินกับชีวิตที่ต้องตื่นไปทำงานตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง กลับบ้านมาทีก็ตอนอาทิตย์ใกล้ตกดิน เมื่อชาติที่แล้วเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยในฝัน ทุกวันนางต้องตื่นตั้งแต่เช้ามืด จากนั้นก็ตั้งใจเรียนตลอดทั้งวัน พอตกกลางคืนก็ออกไปทำงานพิเศษเพื่อหาเงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ได้นอนแค่วันละไม่กี่ชั่วโมงก็ทำให้พอใจแล้ว
สิ่งที่เหนื่อยสุดไม่ใช่ร่างกายแต่เป็นความโดดเดี่ยวและความเหนื่อยล้าภายในจิตใจต่างหาก เพราะนางเหมือนวัชพืชในน้ำที่ไม่รู้ว่าจะลอยไปทางใด…
โชคดีที่สวรรค์ยังเมตตาทำให้ในชาตินี้นางมีครอบครัวซึ่งไม่เคยได้มี ชาตินี้นางมีมารดาที่รักตนมากรวมถึงมีน้องเล็กที่น่ารัก ต่อให้นางจะเหนื่อยเพียงใดก็สู้ !
ตอนนี้นางมีเสบียงกักตุนเอาไว้มากมาย ทั้งยังมีธุรกิจผลไม้อบแห้ง มีรายได้เข้ามาตลอด ทำให้นางไม่ต้องกังวลเรื่องยาที่จะนำมาใช้รักษามารดา ตอนนี้ครอบครัวมีแต่จะก้าวไปสู่ความเจริญและนางเชื่อว่าในอนาคตต้องดีกว่านี้แน่นอน! หลินเว่ยเว่ยโบกมือขึ้นฟ้าอย่างร่าเริงคล้ายเป็นการเติมกำลังใจและขอบคุณสวรรค์ที่เมตตา
เจียงโม่หานที่เมื่อวานนอนพักในห้องของหลินจื่อเหยียนตลอดทั้งคืนได้เห็นภาพนั้นแล้วก็ถึงกับพูดไม่ออก
เหตุใดเด็กอ้วนผู้นี้มักกระปรี้กระเปร่าราวกับคนที่มีพลังงานไม่หมดสิ้น นางดูสดใสเหมือนว่าความทุกข์ทรมานทั้งหลายไม่อาจกดทับบ่าของนางได้ คล้ายว่าความลำบากเหล่านั้นไม่อาจพรากรอยยิ้มไปจากนางได้เช่นกัน นางมักทำให้ผู้อื่นมองเห็นแสงสว่างและความหวังจากตัวนางเสมอ…
บัณฑิตน้อย เหตุใดเจ้าตื่นนอนเร็วเช่นนี้ ? บาดแผลบนไหล่ยังเจ็บอยู่หรือไม่ ? รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า ? หลินเว่ยเว่ยเอ่ยทักทายบัณฑิตหนุ่มอย่างร่าเริง
การได้ตื่นเช้ามาเห็นบุรุษรูปงามราวกับหลุดมาจากในภาพวาดช่างเป็นสิ่งจรรโลงใจเหลือเกิน! บัณฑิตหนุ่มถือเป็นอาหารตาชั้นยอด !
พูดถึงแผลบนไหล่ เจียงโม่หานก็รู้สึกไม่สบายตัวขึ้นมาทันที จำได้ว่าก่อนจะหมดสติไปนั้นความอบอุ่นและความนุ่มนวลยังตราตรึงในใจไม่คลาย ทำเอาเขาอดมองไปยังริมฝีปากของหลินเว่ยเว่ยไม่ได้ ปากเล็กเรียวบางสีชมพูนี้…เหมือนผลอิงเถาที่เขาโปรดปรานในชาติก่อน มันช่างดูมีกลิ่นหอมน่าดึงดูดใจ…
เมื่อตระหนักได้ว่าตนเอาแต่คิดเรื่องที่ไม่สมควร เจียงโม่หานก็หันหน้าเข้าไปในห้องแล้วออกแรงเคาะศีรษะตนเอง วิญญาณร้ายมาเข้าสิงข้าหรือไร ? เหตุใดข้าจึงคิดว่าริมฝีปากของเด็กอ้วนดึงดูดใจได้ ? หรือว่านัยน์ตาของข้าโดนมูลสัตว์บดบังเอาไว้ ? เด็กคนนี้ตัวก็อ้วน รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาก็ไม่เห็นงดงามสักเท่าไร แถมพฤติกรรมของนางยังไม่เหมือนสตรีแม้แต่น้อย แล้วข้าเอาสิ่งใดมามองว่านางน่าดึงดูดใจ ?
หลินเว่ยเว่ยคุ้นชินต่อการทักทายด้วยท่าทีเย็นชาของบัณฑิตหนุ่มเสียแล้ว ไม่รู้เพราะสิ่งใดและเหตุใดบัณฑิตหนุ่มผู้เย่อหยิ่งจึงโกรธนางอีกแล้ว ! พ่อคนเจ้าอารมณ์ !
ในตอนเช้านางขึ้นไปเก็บผักป่าบนภูเขาและวางกับดักล่าสัตว์ จากนั้นก็ไปเก็บผลชิงป่า พอตอนลงเขามา หลินเว่ยเว่ยก็แบกกระบุงที่อัดแน่นไปด้วยผลชิง แถมในมือยังมีตะกร้าที่ใส่ผักป่าไว้จนเต็ม บัดนี้ฟ้าส่องแสงสว่างเจิดจ้าแล้ว ท้องฟ้าเหนือหลังคาบ้านแต่ละหลังจึงเต็มไปด้วยควันไฟจากการหุงหาอาหาร
ปกติแล้วมื้อเช้าในบ้านจะเป็นฝีมือของนางหวงที่มักต้มโจ๊กข้าวฟ่าง ชงโหยวปิงและจัดโต๊ะพร้อมแตงกวาดอง หลินเว่ยเว่ยสังเกตเห็นว่าชงโหยวปิงในมือมีไข่ไก่เพิ่มเข้ามาในขณะที่ของผู้อื่นไม่มี
ดังนั้นนางจึงแบ่งชงโหยวปิงออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งยกให้นางหวง ขณะที่อีกส่วนยัดใส่มือของบัณฑิตหนุ่ม ไข่ไก่ช่วยบำรุงร่างกาย พวกท่านคนหนึ่งป่วย อีกคนได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นต้องกินของดีหน่อยจึงจะหายเร็ว ข้าเป็นคนร่างกายแข็งแรง เอามาให้ข้ากินเช่นนี้ไม่สิ้นเปลืองแย่หรือ ?
บุตรสาวคนโตเห็นเช่นนั้นก็มุ่ยปากแล้วพึมพำเสียงเบาว่า แค่ข้าวมื้อเดียว คนอื่นกินแค่ชงโหยวปิงแผ่นเดียวก็พอแล้ว แต่เจ้ากินตั้งสามแผ่น รู้ตัวด้วยหรือว่าตนกำลังทำให้สิ้นเปลืองวัตถุดิบอยู่ ?
นางหวงดึงชายเสื้อของบุตรสาวคนโตเบา ๆ เพื่อบอกให้หยุดพูดเหลวไหล สองพี่น้องจะได้ไม่ต้องทะเลาะกันอีก จากนั้นนางก็หันไปกล่าวกับหลินเว่ยเว่ยด้วยรอยยิ้มว่า เจ้าทำงานตั้งแต่เช้าจรดเย็นโดยไม่ได้พักผ่อน หากไม่กินของดีหน่อยแล้วจะเอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใด ?
ท่านแม่เจ้าคะ ท่านไม่ต้องกังวลเพราะข้าดูแลสุขภาพเป็นอย่างดี ! หลินเว่ยเว่ยม้วนชงโหยวปิงยัดไส้แตงกวาดอง จากนั้นก็กัดคำโต จะว่าไปแล้วการวิ่งขึ้นลงเขารอบหนึ่งก็ทำให้นางหิวมากจริง ๆ
นางเฝิงขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วกินชงโหยวปิงอย่างเงียบ ๆ คล้ายกำลังคิดบางอย่างอยู่ หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จแล้วนางจึงเอ่ยกับหลินเว่ยเว่ยว่า ข้ามีเรื่องอยากคุยด้วย นั่งลงก่อนเถิด !
หลินเว่ยเว่ยที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะจัดการกับผลชิงป่าแล้วค่อยออกไปข้างนอก เมื่อได้ยินนางเฝิงกล่าวเช่นนั้นก็ยอมนั่งลงแต่โดยดี นางหวงเหลือบมองพลางคิดในใจว่า ‘ไม่เห็นเจ้าเชื่อฟังแม่เช่นนี้เลย’
เสี่ยวเว่ย ในแต่ละวันเจ้ามักขึ้นเขาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง จากนั้นก็เอาสินค้าไปส่งในเมือง พอใกล้ค่ำก็ต้องกลับมารดน้ำที่แปลงนา หากยังทำเช่นนี้ทุกวัน ต่อให้เป็นมนุษย์เหล็กก็ทนไม่ไหว !
นางหวงได้ยินคำพูดของนางเฝิงก็ออกแรงพยักหน้าเห็นด้วย บุตรสาวคนรอง…ต้องมาตกระกำลำบากจริง ๆ ต้องโทษที่ตัวนางไม่แข็งแกร่งมากพอจึงช่วยอันใดบุตรสาวไม่ได้สักอย่าง มีแต่จะเป็นภาระให้…
นางเฝิงยกมือปรามหลินเว่ยเว่ยที่กำลังจะพูด ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่ว่าเจ้าจะเหนื่อยหรือไม่ เพราะช่วงเวลาที่ฟ้ายังไม่สว่างเป็นช่วงที่สัตว์ป่าออกหาอาหาร รวมถึงตอนพลบค่ำที่เจ้าขึ้นเขาไปตักน้ำด้วย เวลานั้นไม่ปลอดภัยเช่นกัน ดังนั้นเจ้าไม่ต้องไปส่งสินค้าในเมืองแล้ว !
หากข้าไม่ไปแล้วผู้ใดจะไป ? ให้บัณฑิตน้อยไปหรือ ? หากต้องให้เขามาเสียเวลาบนท้องถนนกว่าครึ่งวัน เช่นนั้นท่านยังจะให้เขาเรียนหนังสืออยู่หรือ ? หลินเว่ยเว่ยเหลือบมองคนในครอบครัว มารดาของนางก็ป่วย น้องสี่ก็เด็กเกินไป…ส่วนพี่สาวคนโตแค่อยากทอผ้าหาเงินเท่านั้น ฝากความหวังไม่ได้หรอก !
นางเฝิงคิดดีแล้วจึงกล่าวว่า ข้าจะเอาไปส่งเอง ! เจ้าดูสิ ผลไม้อบแห้งที่พวกเราทำมีมากถึงห้าหกร้อยชั่ง ในแต่ละวันตอนเช้าข้าจะทำเพียงเล็กน้อย จากนั้นพอกลับถึงบ้านช่วงใกล้ค่ำก็จะทำอีกหน่อย แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับส่งขายในเมืองแล้ว
ไม่ได้ เช่นนั้นลำบากท่านเกินไป กระดูกของท่านก็ไม่ค่อยดีหากเหนื่อยจนป่วยขึ้นมาแล้วจะทำอย่างไร ? เจียงโม่หานกำลังขยับปากจะพูด แต่หลินเว่ยเว่ยเป็นฝ่ายชิงพูดเสียก่อน
นางเฝิงอธิบายต่อ ไปกลับในเมืองมีเกวียนให้ขึ้นไม่ใช่หรือ ? ถ้าเจ้ากลัวว่าข้าจะเหนื่อยก็เอาของไปส่งให้ข้าที่ปากทางขึ้นเกวียน พอถึงในเมืองข้าก็จะเพิ่มเงินให้คนบังคับเกวียนเสียหน่อย จากนั้นก็ให้พวกเขาเอาสินค้าไปส่งที่ร้านแทน หากมีคนช่วยขนสินค้าแล้วข้าจะเหนื่อยได้เช่นไร ? อีกอย่างถ้าทำผลไม้อบแห้งในช่วงเช้าและเย็น แม่ของเจ้าก็ยังมีพี่สาวคอยช่วยเป็นลูกมือให้…
ข้าสามารถช่วยก่อไฟได้ ! เจ้าหนูน้อยยกมืออาสาทันที
นางเฝิงลูบศีรษะของเด็กน้อยแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม ใช่แล้ว พวกเรายังมีน้องเล็กคอยช่วยอีกแรง แม้ดูเหมือนว่าพวกเรางานเยอะแต่ก็ไม่ได้เหนื่อยเหมือนที่เจ้าคิดหรอก เอาล่ะ ตกลงตามนี้แล้วกัน !
หลินเว่ยเว่ยมองสีหน้าท่าทางของนางเฝิงที่ยืนยันอย่างหนักแน่น ตอนแรกนางคิดอยากโน้มน้าวแต่ก็ถูกสายตาของบัณฑิตหนุ่มปรามเอาไว้ เจียงโม่หานรู้ว่าหากมารดาตัดสินใจทำสิ่งใดแล้วไม่ให้ได้ลองทำ นางก็จะไม่ยอมเปลี่ยนความคิดเด็ดขาด
หลินเว่ยเว่ยพูดอย่างไม่วางใจ เช่นนั้น…น้าเฝิงลองทำก่อนแล้วกัน ถ้าคิดว่าเหนื่อยเกินไปก็อย่าฝืน อย่าฝืนจนทำให้ตัวเองป่วยเหมือนแม่ข้าก็พอ !
นางหวงที่นอนอยู่บนเตียงถึงกับพูดไม่ออก
ส่วนนางเฝิงได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มรับ ข้ารู้ตัวดี !
เมื่อไปส่งนางเฝิงที่ปากทางขึ้นเกวียนแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็ยังไม่วางใจจึงพยายามขอตามนางเฝิงไปด้วยเพื่อถือเป็นการสอนให้คุ้นเคยกับการไปส่งของที่เขตเริ่นอัน
หากนั่งเกวียนไปในเมืองต้องจ่ายคราละ 5 อีแปะ ดังนั้นไปกลับก็จ่าย 10 อีแปะ คนส่วนใหญ่มักเสียดายเงินจึงนิยมเดินเท้าเข้าเมืองด้วยตนเอง แต่ผู้ที่ไปขายของเยี่ยงพวกนางมักมีของติดไปด้วยจำนวนมาก ดังนั้นพวกนางต้องยอมจ่ายเงินคราละ 5 อีแปะเพื่อนั่งเกวียนเข้าเมือง
ตอนต่อไป