ตอนที่ 97 มีรากฐานอันมั่นคง
นางหวงได้ยินเช่นนั้นจึงไม่พูดอันใดอีกเพราะนางเองก็รู้สึกสงสารบุตรสาวเช่นกัน หลินเว่ยเว่ยเพิ่งอายุ 14 ปีก็ต้องแบกรับภาระเลี้ยงดูคนทั้งครอบครัวแล้ว ในแต่ละวันต้องทำงานจนไม่ได้เว้นว่าง เฮ้อ ! หากสามีของนางยังอยู่ก็คงดีกว่านี้ ถ้าจะโทษคงต้องโทษมารดาเยี่ยงนางที่ไร้ประโยชน์ ไม่สามารถช่วยอันใดได้ !
หลินเว่ยเว่ยง่วนอยู่กับการทำเนื้อแผ่นตลอดทั้งบ่ายไปจนถึงช่วงเย็น สามารถทำเนื้อหมูแผ่นออกมาได้ 30 ชั่ง เช้าวันต่อมานางก็เอาไปส่งในเมืองด้วยตนเอง
หนิงตงเซิ่งรออยู่ที่ร้านแล้ว เมื่อเขาเห็นว่าหลินเว่ยเว่ยเป็นคนเอาสินค้ามาส่งด้วยตนเอง ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมาพลางรีบเข้ามาต้อนรับนางอย่างกระตือรือร้นแล้วถามอย่างใจร้อนว่า “หลินกู่เหนียง ข้าไม่เห็นเจ้าเข้ามาในเมืองนานแล้ว…”
หลินเว่ยเว่ยเชิดหน้าเล็กน้อย นานอันใดกันเล่า เพิ่งผ่านไปแค่สองวันเท่านั้น พี่ชายสุดหล่ออยากเจอข้าก็พูดมาตามตรงเถิด อย่าเฉไฉทำเป็นบอกว่าไม่เจอกันนานสิ…แม้ว่าท่านจะหน้าตาดีแต่ก็ยังห่างชั้นจากบัณฑิตหนุ่มอยู่มากโข…
“เนื้อกวางแผ่นที่เจ้านำมาขายเมื่อวานยังมีอยู่หรือไม่ ? ”
อ้าว ! ฮ่าฮ่า เข้าใจผิดเสียแล้ว ที่เขาพูดดีและเป็นมิตรด้วยก็เพราะเนื้อแผ่นต่างหาก
หลินเว่ยเว่ยวางกระบุงไม้ไผ่ที่ใส่ผลไม้อบแห้งมาเต็มลงกับพื้น ลูกจ้างของร้านเห็นเช่นนั้นก็รีบมารับและคำนวณเงินอย่างรวดเร็ว หลังจัดการทุกอย่างแล้ว นางก็ตบตะกร้าที่อุ้มอยู่ในอ้อมแขนแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กวางหนึ่งตัวทำเนื้อกวางแผ่นได้แปดสิบกว่าชั่ง เมื่อวานข้าให้ท่านน้ามาส่ง 30 ชั่งและยังเหลืออีก 50 ชั่ง วันนี้ข้าจึงนำมาให้ท่านทั้งหมด ! ”
หนิงตงเซิ่งยิ้มกว้างกว่าเดิม เมื่อวานนี้เขานำเนื้อกวางแผ่นมาบรรจุกล่องของขวัญอย่างงดงามประณีต มีลูกค้าเก่าอยู่หลายคนมาซื้อผลไม้อบแห้งและพวกเมล็ดแตงโม หลังจากที่ให้พวกเขาได้ชิมแล้วต่างก็ชมไม่ขาดปาก ต่างคนต่างซื้อติดมือไปคนละสามถึงห้าชั่ง ส่วนที่เหลืออีกสิบกว่าชั่งได้ถูกอาจารย์กัวที่จะจัดงานฉลองวันคล้ายวันเกิดในวันพรุ่งนี้เหมาไปหมดแล้ว ! โดยบอกว่าจะนำไปต้อนรับแขกที่มาร่วมอวยพรวันเกิด
อาจารย์กัวเป็นผู้ทรงอิทธิพลและมีหน้ามีตาอยู่ไม่น้อย พอถึงตอนนั้นน่าจะมีเศรษฐีหลายคนมาร่วมอวยพรวันเกิดเขาล่วงหน้า หนิงตงเซิ่งมีความมั่นใจในรสชาติเนื้อกวางแผ่นของร้านตน ขอเพียงพวกเขาได้ลองชิมก็รับรองได้เลยว่าพวกเขาไม่มีทางลืมรสชาติของมันแน่นอน และถ้าพวกเขาถามถึงก็รับรองเลยว่าร้านขายขนมของตนจะต้องมีชื่อเสียงไปทั่วหล้า !
เพียงแต่เนื้อแผ่นเหล่านี้…มีเพียงห้าสิบกว่าชั่งเท่านั้น มันน้อยเกินไป ! ความกังวลใจนี้ปรากฏบนใบหน้าของหนิงตงเซิ่งที่มองมายังหลินเว่ยเว่ยแล้วถามว่า “ในภายหน้า…ยังจะมีเนื้อกวางหรือไม่ ? ”
“เนื้อกวางคงไม่มีแล้ว…” หลินเว่ยเว่ยส่ายหน้า จากนั้นนางก็เอ่ยออกมาอีกคราในขณะที่หนิงตงเซิ่งแสดงสีหน้าผิดหวัง “แต่…”
“แต่อันใดหรือ ? ” หนิงตงเซิ่งมองนางอย่างมีความหวังเล็กน้อย
“มีเนื้อหมูป่าแผ่น ! เมื่อวานข้าล่าหมูป่าตัวใหญ่ได้จึงทำเนื้อหมูป่าแผ่นขึ้นมา 50 ชั่ง ไม่ทราบว่าคุณชายหนิงสนใจหรือไม่ ! ” หลินเว่ยเว่ยยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยขณะมองไปยังใบหน้ารูปงามของคุณชายหนิง
เมื่อหนิงตงเซิ่งได้ชิมเนื้อหมูป่าแผ่นแล้วจึงตกลงซื้อขายกับนางทันที “ต่อไปนี้หากกู่เหนียงทําเนื้อแผ่นก็นำมาส่งที่ร้านข้าโดยเร็ว มีเท่าไรข้าจะรับซื้อไว้ทั้งหมด ! ข้าจะให้ราคาเนื้อหมูแผ่นที่ชั่งละ 500 อีแปะ กู่เหนียงคิดเช่นไร ? ”
วันนี้เนื้อหมูป่าแผ่นที่นางนำมาส่งให้ ไม่ว่าด้านสีสัน ความหอมและรสชาติก็ล้วนไม่ด้อยไปกว่าเนื้อกวางแผ่น ยิ่งไปกว่านั้นยังเคี้ยวหนึบกว่า กินแล้วให้รสชาติที่แปลกใหม่ออกไป หนิงตงเซิ่งคาดการณ์ว่าร้านของตนจะมีรากฐานอันมั่นคงเพราะเนื้อแผ่นของตระกูลหลินแน่นอน ในภายภาคหน้าเขาก็จะเป็นร้านที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปยังเขตอื่นรวมถึงเลื่องลือไปในระดับมณฑลเลยก็ได้ !
และสามปีหลังจากนี้ ณ งานประชุมของสมาชิกในตระกูล เขาจะทำให้ผู้อาวุโสในตระกูลมองตนในมุมใหม่ด้วยความชื่นชม และเขาจะเหยียบย่ำบรรดาพี่น้องที่เคยดูถูกกันเอาไว้ !
เห็นได้ชัดว่ากู่เหนียงผู้ที่แต่งกายเป็นบุรุษคือแขกคนพิเศษในชีวิตของเขา ไม่ว่าจะเป็นผลชิงอบแห้ง ผลท้ออบแห้งหรือเนื้อแผ่นในตอนนี้ก็ล้วนเป็นสินค้าขายดีของร้านทั้งสิ้น หากเป็นผู้อื่นนำมาส่งก็อาจไม่ได้คุณภาพเท่าของนาง ยิ่งกว่านั้นยังมีขนมหวานที่นางเคยเอ่ยถึงอีกด้วย…ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้เขาตั้งตารอคอยเหลือเกิน !
เขาต้องผูกมิตรกับคนเช่นนี้ให้ดี ! ต่อให้ต้องจ่ายในราคาที่สูงแล้วได้กำไรลดลงบ้าง ทว่าเขาต้องทำให้อีกฝ่ายรู้ถึงความจริงใจให้จงได้ !
หลินเว่ยเว่ยพอใจกับราคานี้มาก นางยิ้มร่าพลางตบบ่าหนิงตงเซิ่ง “คุณชายหนิง ท่านช่างกล้าได้กล้าเสียจริง ๆ ข้าชอบคบค้ากับคนเช่นท่านนี่แหละ”
หนิงตงเซิ่งโดนฝ่ามือเหล็กของนางตบจนต้องกัดฟันแน่นเพื่อข่มความเจ็บ ‘กู่เหนียงผู้นี้แรงเยอะเหลือเกิน ! ’
หลังส่งหลินเว่ยเว่ยกลับไปแล้ว หนิงตงเซิ่งก็เพิ่มเงินเดือนให้เถียนฟู่กุยเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้อีกฝ่ายตั้งใจทำงาน และถ้ามีโอกาสเขาก็จะผลักดันให้เถียนฟู่กุยไปเป็นหลงจู๊ประจำร้านในตัวอำเภอ
เถียนฟู่กุยมองตามแผ่นหลังของหลินเว่ยเว่ยที่เดินห่างไปไกล ในใจก็อดคิดไม่ได้ว่าตอนแรกที่เขารับซื้อผลชิงอบแห้งจากนางเพราะต้องการตอบแทนบุญคุณ คาดไม่ถึงเลยว่าจะทำให้เจ้าของร้านมองเขาในมุมใหม่ ยิ่งไปกว่านั้นยังบอกว่านางเป็นแขกคนสำคัญในชีวิตของคุณชาย แล้วจะไม่ใช่แขกคนสำคัญในชีวิตของเถียนฟู่กุยได้อย่างไร ?
เถียนฟู่กุยซื้อขนมที่มารดาชอบกินที่สุดติดมือกลับมาบ้าน ยิ่งไปกว่านั้นยังซื้อชุดใหม่ให้นางอีกหนึ่งชุด หลังจากที่ภรรยาของเขาเห็นว่าเขาซื้อของให้มารดามากมายเพียงนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อย ๆ เลือนหายไป
ใช่ว่านางเป็นคนอกตัญญู แต่ที่บ้านต้องเลี้ยงดูบุตรถึง 5 คน ไหนจะคนชราอีก 2 คน ลำพังแค่เงินเดือนของสามีคนเดียวคงไม่พอ ยิ่งตอนนี้ราคาข้าวของแพงขึ้น แม้บรรดาบุตรของพวกตนอยากกินเนื้อสักคำก็ทำได้แค่มองเป็นของฟุ่มเฟือยเท่านั้น
ท่านก็ช่างดีเหลือเกิน ยังมีใจซื้อขนมราคาแพงมาให้มารดาของตน นางเพิ่งตัดเสื้อให้แม่สามีได้ไม่นาน เขาก็ซื้อผ้าใหม่มาอีกแล้ว เช่นนี้ครอบครัวของนางจะใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างไร !
เถียนฟู่กุยเห็นว่าภรรยาแอบเข้าไปปาดน้ำตาอยู่ในห้องครัวก็รู้แล้วว่านางกำลังคิดอันใดอยู่ เขาจึงเดินเข้าไปคว้าไหล่ของนางไว้แล้วเล่าเรื่องราวในวันนี้ให้ฟัง “เพราะบุตรสาวคนรองของตระกูลหลินทำเนื้อแผ่นมาส่ง ทำให้คุณชายเพิ่มเงินเดือนให้ข้าอีก 50 อีแปะ ไม่แน่ว่าในภายภาคหน้าเขาอาจย้ายข้าไปเป็นหลงจู๊ประจำร้านในอำเภอ แน่นอนว่าเงินเดือนของข้าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ครอบครัวของเราจะได้ใช้ชีวิตสุขสบายขึ้น เจ้าเชื่อข้าเถิด ! ”
ภรรยาของเถียนฟู่กุยรู้เรื่องของแม่สามีกับบุตรสาวคนรองตระกูลหลินดี หากสามีได้มีอนาคตสดใสแล้ว ขนมห่อนั้นรวมถึงผ้าที่เขาซื้อมาจะเทียบกันได้อย่างไร เมื่อคิดได้นางก็หัวเราะทั้งน้ำตา
“ฟู่กุย ต้านเอ๋อร์ไม่ได้กลับบ้านมาหลายวันแล้ว เจ้าไปรับน้องสาวกลับมาบ้านสักสองวันสิ ! ” ย่าเถียนปรากฏตัวขึ้นที่ประตูห้องครัว ภรรยาของเถียนฟู่กุยรีบผละออกจากอ้อมกอดของสามีด้วยใบหน้าแดงก่ำ จากนั้นก็ง่วนอยู่กับการทำอาหารเที่ยง
เถียนฟู่กุยได้ยินเช่นนั้นก็พูดปลอบมารดาว่า “ท่านแม่ขอรับ มีบุตรสาวบ้านไหนบ้างที่แต่งงานไปแล้วยังกลับมาบ้านมารดาบ่อย ๆ มันไม่เหมาะสมสักเท่าไร หากข้าไปรับน้องกลับมา แล้วครอบครัวทางฝั่งสามีนางจะคิดเช่นไร ? ”
ย่าเถียนได้ยินเช่นนั้นก็กลับเข้าห้องโดยไม่พูดไม่จา จากนั้นก็เอาขนมที่เถียนฟู่กุยเพิ่งจะซื้อมายัดใส่กระเป๋าแล้วดึงมือของสามีพลางกล่าวว่า “ต้านเอ๋อร์ชอบกินขนมหวานที่สุด ไปกันเถิด พวกเรานำไปให้ต้านเอ๋อร์ จะได้ถือโอกาสกลับหมู่บ้านสักสองวัน…”
เถียนฟู่กุยดึงมารดาเอาไว้ “ท่านแม่ขอรับ ข้าซื้อมา 2 ห่อ อีกห่อข้าให้คนเอากลับไปที่หมู่บ้านฉือหลี่โกว ส่วนห่อนี้เป็นของท่าน ! ต้านเอ๋อร์เป็นคนกตัญญูมาตั้งแต่เด็ก หากท่านเอาไปให้นางด้วยตนเอง นางต้องไม่ยอมกินแน่นอน ! ”
“ใช่ ! ต้านเอ๋อร์ของข้ากตัญญูที่สุด ! ” ย่าเถียนนึกถึงภาพจำของบุตรสาวเมื่อตอนอายุสองขวบ ตอนนั้นต้านเอ๋อร์ก็รู้จักป้อนขนมให้มารดาแล้ว
ภรรยาของเถียนฟู่กุยถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ท่านพี่ มีโอกาสหรือไม่ที่…น้องต้านเอ๋อร์อาจได้พบกับครอบครัวร่ำรวย แล้วตอนนี้ก็แต่งงานมีครอบครัวอยู่ที่ใดสักแห่งซึ่งเราไม่รู้ บางทีนางอาจมีชีวิตที่สุขสบายก็ได้”
เถียนฟู่กุยนึกถึงตอนที่เดินตามบิดามารดาไปใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในยุคสงคราม ช่วงสงครามแม้แต่ชายชาตรียังใช้ชีวิตเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย นับประสาอันใดกับเด็กสาวที่มีอายุเพียงสิบกว่าปีเท่านั้น ? เขาจึงได้แต่ถอนหายใจออกมาแล้วกล่าวว่า “ข้าก็หวังให้เป็นเช่นนั้น…”
ตอนต่อไป