พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – บทที่ 1901 เริ่มลงมือ

บทที่ 1901 เริ่มลงมือ

เฉินเชียนชิวที่ได้รับการชี้แนะจากเบื้องบนกระโดดลงจากเตียง พาลูกน้องสามคนเข้าไปในลานบ้าน แล้วเดินไปเดินมาขณะเฝ้ารอ

ผ่านไปไม่นาน ผู้จัดการเซี่ยก็รีบร้อนเข้ามาในลานบ้าน เขาไม่อ้อมค้อม พอเข้ามาก็กุมหมัดคารวะทันที “ท่านบุรุษโยว ของที่ให้ท่านไว้ก่อนหน้านี้จะต้องตรวจสอบสักหน่อย”

เฉินเชียนชิวนำแหวนเก็บสมบัติที่รับไว้ก่อนหน้านี้ยื่นให้อีกฝ่ายทันที

พอรับของมาไว้ในมือ ผู้จัดการเซี่ยก็ร่ายอิทธิฤทธิ์เข้าไปตรวจดูในแหวนเก็บสมบัติ ผนึกที่คล้ายกับลูกแก้วน้ำยังอยู่ พิสูจน์แล้วว่าหลังจากอีกฝ่ายรับของไปแล้วไม่ได้ถือวิสาสะสอดแนม จึงใช้สองมือคืนแหวนเก็บสมบัติให้ทันที

พอรับแหวนเก็บสมบัติมาแล้ว เฉินเชียนชิวก็นำลูกแก้วน้ำที่ผนึกอยู่ในแหวนเก็บสมบัติออกมาอย่างเป็นทางการ ชั่วพริบตาที่ถือขึ้นมา ลูกแก้วน้ำก็กลายเป็นไอหมอกสลายหายไป แผ่นหยกแผ่นหนึ่งตกลงในมือ หลังจากเฉินเชียนชิวตรวจอ่านเนื้อหาในแผ่นหยกแล้ว ก็สูดหายใจลึกด้วยความตระหนก ถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ผู้จัดการเซี่ย ต่อไปยังต้องการความร่วมมือจากท่าน”

ผู้จัดการเซี่ยพยักหน้า “ได้รับคำสั่งมาจากเบื้องบนแล้ว ฝั่งพวกเราจะให้ความร่วมมือกับท่านบุรุษโยวเต็มที่”

“ดี!” เฉินเชียนชิวกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าต้องรู้ความเคลื่อนไหวของผู้บัญชาการใหญ่ที่ตำหนักคุ้มเมืองทันที”

ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ว่าต้องทำอะไร จนกระทั่งได้รับข่าวจากเบื้องบนเมื่อครู่นี้ เขาถึงได้รู้ชัดว่าตัวเองต้องทำอะไร เบื้องบนบอกว่าคนของตระกูลเซี่ยโห้วที่อยู่ตลาดสวรรค์จะให้ความร่วมมือกับปฏิบัติการของเขาเต็มที่

ส่วนผู้จัดการเซี่ย ก่อนหน้านี้ก็ไม่รู้เช่นกันว่าต้องให้ความร่วมมืออะไรกับเฉินเชียนชิว แต่เบื้องบนกลับมีอีกเรื่องหนึ่งให้เขาไปทำก่อน ตอนนี้เพิ่งเข้าใจว่าเรื่องที่เบื้องบนให้ตนเตรียมการไว้ล่วงหน้าล้วนทำเพื่อให้ความร่วมมือกับท่านนี้ จึงพยักหน้าทันที “ข้ามีข่าวความเคลื่อนไหวของตำหนักคุ้มเมืองแล้ว ตอนนี้เถี่ยฟางเจวี๋ยผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์กำลังอยู่ในตำหนักคุ้มเมือง”

“พาข้าไปที่ตำหนักคุ้มเมือง ข้าต้องการพบเขาเดี๋ยวนี้” เฉินเชียนชิวกล่าว

ลูกน้องสามคนข้างหลังเขามองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้ว่านี่คือสถานการณ์แบบไหน

“ตอนนี้หรือ?” ผู้จัดการเซี่ยลังเลนิดหน่อย “รีบขนาดนี้เชียวหรือ?”

“เดี๋ยวนี้ ตอนนี้ ต่อให้แลกทุกอย่างข้าก็ต้องพบเขาให้ได้” เฉินเชียนชิวกล่าวเสียงต่ำ

“ได้! ข้าจะจัดการให้เร็วที่สุด” ผู้จัดการเซี่ยรับปาก แล้วยื่นมือ “เชิญ!”

คนกลุ่มนี้เร่งฝีเท้าเดินออกมาทันที ระหว่างทาง เฉินเชียนชิวก็ถ่ายทอดเสียงอีก “คนของฝั่งท่านเตรียมตัวเรียบร้อยแล้วหรือยัง?”

ผู้จัดการเซี่ยที่เดินอยู่ข้างๆ ตอบว่า “เตรียมตัวไว้หมดแล้ว รอฟังคำสั่งระดมพลได้ทุกเมื่อ”

เฉินเชียนชิวพยักหน้า จากนั้นก็เริ่มกำชับลูกน้องสามคนให้เตรียมตัวให้ความร่วมมือ

ระหว่างทาง ผู้จัดการเซี่ยก็ติดต่อกับผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เถี่ยฟางเจวี๋ยแล้ว บอกว่ามีธุระขอเข้าพบ เน้นด้วยว่าเป็นเรื่องดี

อิทธิพลของตระกูลเซี่ยโห้วที่มีต่อตลาดสวรรค์ย่อมไม่มีอะไรน่าสงสัย ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ก็ต้องไว้หน้าบ้าง อย่างไรเสียก็รับสินบนจากอีกฝ่ายทุกปี

ถือเป็นข้อดี โชคดีที่มีความสัมพันธ์ระดับนี้อยู่ ไม่อย่างนั้นถ้าพวกเฉินเชียนชิวอยากจะพบเถี่ยฟางเจวี๋ยก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น อย่างน้อยก็ไม่สามารถพบได้โดยตรง นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ต้องขอความร่วมมือจากตระกูลเซี่ยโห้ว

ตอนที่คนกลุ่มนี้เดินมาถึงตำหนักคุ้มเมือง ทหารยามที่ได้ข่าวแล้วก็ปล่อยให้เข้าไป ตอนที่พวกเขาเดินขึ้นบันได พลทหารคนหนึ่งก็ยืนกุมหมัดคารวะอยู่ตรงประตูแล้ว “ผู้จัดการหนาน,ผู้บัญชาการใหญ่กำลังรออยู่ข้างในขอรับ”

เฉินเชียนชิวชำเลืองมองผู้จัดการเซี่ยที่อยู่ข้างๆ ที่แท้ท่านนี้ก็แซ่หนานนี่เอง

“รบกวนแล้ว รบกวนแล้ว!” หลังจากผู้จัดการเซี่ยกุมหมัดคารวะตอบ แล้วถือโอกาสยัดแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งใส่มืออีกฝ่าย

พลหารคนนั้นหรี่ตายิ้มทันที แต่พอเห็นพวกเฉินเชียนชิวแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย “เหล่านี้คือ?” สื่อเจตนาสอบสวนชัดเจนมาก

“ล้วนเป็นคนที่มาคุยธุระด้วยกัน ทำไมหรือ? หรือว่าคนที่หนานพามารับประกันด้วยตัวเอง ขุนพลหนิวยังไม่เชื่ออีก?” ผู้จัดการเซี่ยมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ใช้อำนาจกดดันเล็กน้อย

พลทหารที่ถูกเรียกว่าขุนพลหนิวคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าเห็นด้วย มีคนมากขนาดนี้เห็นกับตาตัวเอง ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ ตระกูลเซี่ยโห้วก็ต้องรับผิดชอบ อีกฝ่ายคงไม่กล้าทำอะไรซี้ซั้ว ประกอบกับตัวเองเพิ่งได้รับผลประโยชน์จากอีกฝ่าย จึงตอบพร้อมหัวเราะเสียงดังทันที “ผู้จัดการหนานกล่าวเกินไปแล้ว เชิญด้านใน!”

“เชิญ!” ผู้จัดการเซี่ยก็ยื่นมือเชิญอย่างสุภาพเช่นกัน แล้วเดินเคียงบ่ากันเข้าไปทันที พวกเฉินเชียนชิวเดินตามหลังไปอย่างแนบเนียน

ในโถงหลักที่ใช้รับรองแขกของตำหนักคุ้มเมือง หลังจากพวกเขามาถึงแล้วก็รออีกสักครู่หนึ่ง ก็ช่วยไม่ได้ อีกฝ่ายผู้บัญชาการใหญ่ ต้องมีวางมาดบ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะให้อีกฝ่ายมารอพวกเขา

ผ่านไปครู่เดียว ขุนพลหนิวก็นำชายชาตรีรูปร่างกำยำแต่งกายชุดลำลองคนหนึ่งเข้ามา ผู้จัดการเซี่ยกุมหมัดคารวะด้วรอยยิ้มทันที “ผู้บัญชาการใหญ่ รบกวนแล้ว รบกวนแล้ว”

พอได้ยินคำเรียกนี้ พวกเฉินเชียนชิวก็รู้ทันทีว่าท่านนนี้คือเถี่ยฟางเจวี๋ย

“ผู้จัดการหนาน เจ้าเองก็รู้สถานการณ์ตอนนี้ เป็นช่วงที่มีเรื่องเยอะ มีธุระด่วนอะไรต้องมาพบข้า?” เถี่ยฟางเจวี๋ยพูดทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ แล้วหันตัวกลับไปนั่งที่หัวโต๊ะ สายตาหยุดอยู่บนตัวพวกเฉินเชียนชิวแล้ว

ผู้จัดการเซี่ยยืนหลีกไปด้านข้าง แล้วชี้พวกเฉินเชียนชิว “ข้าก็แค่นำทางมเท่านั้น พวกเขาอยากพบผู้บัญชาการใหญ่”

“อ้อ!” เถี่ยฟางเจวี๋ยเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ผู้จัดการเซี่ยติดต่อเขาบอกว่ามีเรื่องดี ความคิดแรกของข้าก็คือจะต้องมีผลประโยชน์อะไรสักอย่าง สายตาเขามองประเมินพวกเฉินเชียนชิวพร้อมถามว่า “ไม่ทราบพวกท่านเป็นปราชญ์เทพจากแห่งหนใด?”

เฉินเชียนชิวหยิบแผ่นหยกประจำตำแหน่งโยนออกมาเสียเลย

เถี่ยฟางเจวี๋ยยกมือคว้าไว้ เห็นว่าเป็นของของทางการ หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูเล็กน้อย เขาก็ตะลึงงันไปชั่วขณะ เงยหน้าถามอย่างงุนงงว่า “คนของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลเหรอ?”

เฉินเชียนชิวตอบอย่างใจเย็น “แก้ไขให้ถูกสักหน่อย พวกเราสี่คนคือผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้ตรวจการใหญ่หนิว ทูตลาดตระเวนตลาดสวรรค์ ได้รับคำสั่งให้มาตรวจตราที่นี่”

ขุนพลหนิวที่อยู่ข้างๆ ตะลึงค้าง เถี่ยฟางเจวี๋ยลุกขึ้นยืนช้าๆ จ้องผู้จัดการเซี่ยพร้อมกล่าวเสียงต่ำ “ผู้จัดการหนาน ทำแบบนี้หมายความว่ายังไง?”

เฉินเชียนชิวพูดดักว่า “หรือว่าผู้บัญชาการใหญ่รู้สึกว่านายท่านทูตลาดตระเวนไม่มีอำนาจที่จะตรวจตราที่นี่?”

“ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น” เถี่ยฟางเจวี๋ยโบกมือ “เพียงแต่ข้ายังไม่ได้รับแจ้งจากเบื้องบน จึงไม่สามารถยืนยันตัวตนของพวกท่านได้”

“การตรวจตรามีการตรวจอย่างเปิดเผยและตรวจอย่างลับๆ ที่เฉินได้รับคำสั่งให้มาครั้งนี้เป็นการตรวจอย่างลับๆ หวังว่าผู้บัญชาการใหญ่จะให้ความร่วมมือ” เฉินเชียนชิกล่าว

ผู้จัดการเซี่ยชำเลืองมองเฉินเชียนชิวแวบหนึ่ง พึมพำในใจว่า ที่แท้ท่านนี้ก็แซ่เฉินนี่เอง

“ย่อมต้องให้ความร่วมมืออยู่แล้ว แต่ต้องให้เถี่ยผู้นี้ขอคำชี้แนะจากเบื้องบนสักหน่อย” เถี่ยฟางเจวี๋ยหยิบระฆังดาราออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหล่ตามองผู้จัดการเซี่ยเบาๆ ในช่วงเวลาที่อ่อนไหวแบบนี้ กอปรกับเบื้องหลังของผู้จัดการเซี่ย เขาตระหนักได้แล้วว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล เขาเป็นคนของอ๋องสวรรค์ฮ่าว จะยอมให้ความร่วมมือง่ายๆ ได้อย่างไร

เห็นเงาคนแฉลบมาตรงหน้า เฉินเชียนชิวมาถึงตรงหน้าเถี่ยฟางเจวี๋ยแล้ว คว้าข้อมือเถี่ยฟางเจวี๋ยที่ถือระฆังดาราเอาไว้ แล้วจ้องอีกฝ่ายอย่างเยียบเย็น “ผู้บัญชาการใหญ่เถี่ย ข้าบอกแล้วว่าเป็นการตรวจอย่างลับๆ เรื่องที่ตรวจสอบเกี่ยวข้องกับผู้บังคับบัญชาสูงสุดของพวกเจ้า เพื่อไม่ให้แหวกหญ้าให้งูตื่น เจ้าให้ความร่วมมือดีกว่า ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าเฉินผู้นี้ปฏิบัติตามกฎอย่างไร้ความปรานี!”

ขุนพลหนิวที่อยู่ข้างๆ ตกใจมาก ขณะกำลังจะถลันตัวออกไป ก็ถูกคนถลันตัวมาขวางแล้ว

เถี่ยฟางเจวี๋ยพบว่าอีกฝ่ายวรยุทธ์สูงกว่าตัวเอง ตัวเองไม่มีความสามารถจะขัดขืนได้เลย จึงกัดฟันบอกว่า “นี่เจ้ากำลังข่มขู่ข้า ต่อให้พวกเจ้าเป็นคนของทูตลาดตระเวน พวกเจ้าก็ไม่มีอำนาจทำอย่างนี้!”

เฉินเชียนชิวหยิบแผ่นหยกออกมาอีก แล้วยัดใส่มืออีกฝ่าย “ดูเอาเอง!”

เถี่ยฟางเจวี๋ยใช้ฝ่ามือข้างเดียวถือแผ่นหยกร่ายอิทธิฤทธิ์อ่าน อ่านไปอ่านมาก็หนังตากระตุก พบว่าเป็นคำสั่งของราชินีสวรรค์ แม้จะไม่รู้ว่าเป็นตราอิทธิฤทธิ์ของเบื้องบนจริงหรือไม่ แต่เนื้อหาข้างในก็ทำให้เขาอกสั่นขวัญแขวน

เฉินเชียนชิวแย่งแผ่นหยกกลับมา แล้วใช้กระบี่วิเศษจ่อคอเถี่ยฟางเจวี๋ย “คำสั่งของเหนียงเหนียง ใครขัดคำสั่งก็ประหารก่อนแล้วค่อยรายงาน! นายท่านเถี่ย ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง ตกลงจะให้ความร่วมมือมั้ย?”

เถี่ยฟางเจวี๋ยคิดว่าคำสั่งนี้คงเป็นของจริง ไม่อย่างนั้นผู้จัดการหนานคงไม่ใจกล้าขนาดนั้น ต่อให้ตระกูลเซี่ยโห้วจะเก่งกาจแค่ไหน แต่ก็ไม่กล้าทำเรื่องพรรค์นี้อย่างเปิดเผย หมายความว่าอีกฝ่ายได้รับคำสั่งมาว่าให้ประหารก่อนแล้วค่อยรายงาน ถ้าฆ่าตนทิ้งก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไรเลย เพียงแต่แบบนี้ถือว่าข้ามขั้นตอน กระโดดข้ามผู้บังคับบัญชาของเขาไปโดยตรง สิ่งนี้ไม่สอดคล้องกับสามัญสำนึก

สิ่งที่เรียกว่าสามัญสำนึกก็ต้องดูสถานการณ์เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นภายใต้สถานการณ์ที่ประมุขชิงให้เกียรติจอมพลของสี่ทัพ โดยทั่วไปยามจะออกคำสั่งก็ล้วนขอความคิดเห็นจากบรรดาจอมพลล่วงหน้าก่อน ไม่อย่างนั้นถ้าฝืนถ่ายทอดคำสั่งลงมา แล้วเบื้องล่างหาข้ออ้างต่างๆ เพื่อไม่ให้ความร่วมมือ แบบนั้นก็จะเป็นปัญหาเช่นกัน ถึงตอนนั้นก็จะเหมือนประมุขชิงตบหน้าตัวเอง หลักการนี้ก็ใช้กับราชินีสวรรค์ในการควบคุมตลาดสวรรค์เช่นกัน แต่ดูจากเหตุการณ์ตรงหน้า ก็เห็นได้ชัดว่าราชินีสวรรค์กำลังบังคับโดยไม่สนใจว่าเบื้องล่างจะให้ความร่วมมือหรือไม่ การปฏิบัติจะได้ผลเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ แต่คำสั่งนี้ได้ผลจริงๆ

สุดท้ายเถี่ยฟางเจวี๋ยก็ไม่มีความกล้าที่จะสู้ เพราะไม่คุ้มค่า ทำได้เพียงบอกว่า “น้อมรับบัญชาของราชินีสวรรค์!”

ใช้เวลาไม่นาน ทั้งตลาดสวรรค์ก็ตกอยู่ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด กำลังพลของสี่เขตเมืองเทรังออกมา ภายใต้การกำกับดูแลของสมาชิกตระกูลเซี่ยโห้ว ทหารพุ่งเข้าไปที่ร้านค้าของตระกูลอิ๋งที่ตลาดสวรรค์สิบกว่าร้าน จับคน ยึดสินค้า ปิดร้าน ปล้นแบบขนเกลี้ยงบ้าน

คนในร้านค้าของตระกูลอิ๋งไม่รู้สถานการณ์ชัดเจนเลย ไม่มีใครกล้าขัดขืนการจับกุมอย่างเปิดเผย ร้านค้าทั้งเล็กทั้งใหญ่ถูกกำจัดอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ

จู่ๆ ตลาดสวรรค์ก็เกิดสถานการณ์อย่างนี้ขึ้น พวกลูกค้าไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร กลัวจะติดร่างแหไปด้วย จึงทยอยกันหนีไปนอกเมือง

ใครจะคิดว่าพอวิ่งไปถึงประตูเมือง ประตูเมืองทั้งสี่ด้านก็ถูกปิดไว้แล้ว

“เป็นอะไรกันไปแล้ว?”

“ทำไมต้องปิดประตูเมือง?”

“ที่โดนยึดทรัพย์เหมือนจะเป็นร้านค้าของตระกูลอิ๋ง”

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ จู่ๆ ก็มีคนชี้บนประกาศที่เพิ่งติดใหม่บนกำแพงเมือง พร้อมอุทานว่า “รีบดูนั่นสิ!”

คนบนถนนทั้งใกล้ทั้งไกลใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไป เห็นประกาศบนนั้นเขียนว่า ร้านค้าบางร้านที่ซ่อนสินค้าผิดกฎหมายเอาไว้ถูกตรวจสอบและยึดทรัพย์ ตอนนี้กำลังตรวจค้นพวกนักโทษหลบหนีของร้านค้าบางร้าน ปิดเมืองชั่วคราว ขอให้ทุกคนเข้าใจและให้ความร่วมมือ

ขณะที่ฝั่งของเฉินเชียนชิวกำลังลงมือ เซียวหลิงโป สหายเก่าของเขา คนที่ไปสมัครเข้าจวนแม่ทัพภาคทัพภาคด้วยกันกับเขาก็เข้าไปที่ตำหนักคุ้มเมืองดาวเทียนหยวนเช่นกัน มี ‘ผู้จัดการเซี่ย’ พาเข้าไปอย่างราบรื่นเช่นเดียวกัน

ฝูชิงเอามือไขว้หลังยืนตรงอยู่บนบันไดนอกโถงรับแขก กำลังรอคอยพวกเขา

ผู้จัดการเซี่ยแนะนำคนแล้วถอยออกไปยืนด้านข้าง เซียวหลิงโปโยนแผ่นหยกของตัวเองออกมา แต่ใครจะคิดว่าฝูชิงจะไม่รับไว้ สะบัดแผ่นหยกกลับไปเสียเลย

เซียวหลิงที่รับแผ่นหยกของตัวเองไว้พลันหรี่ตา สามคนข้างหลังทำสายตาไม่เป็นมิตรแล้ว คนที่ผ่านศึกใหญ่สระน้ำมังกรดำมาก่อน บนตัวมีความมั่นใจอีกแบบเพิ่มขึ้นมา

ในขณะนี้เอง ในโถงรับแขกข้างหลังฝูชิงก็มีคนสี่คนเดินออกมาอย่างไม่รีบร้อน ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเหมียวอี้ หยางเจาชิง ชิงเยว่และซิงนั่นเอง

พวกเซียวหลิงโปงงงวยทันที จากนั้นก็รีบกุมหมัดคารวะ “คารวะผู้ตรวจการใหญ่”

เหมียวอี้ที่ยืนอยู่บนบันไดมองลงมา แล้วเอ่ยสั่งด้วยน้ำเสียงสบายๆ “เรื่องที่นี่พวกเจ้าไม่ต้องกังวล กำลังพลตลาดสวรรค์จะให้ความร่วมมือกับพวกเจ้าเต็มที่ อย่าให้คนอื่นรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ ไปทำงานของพวกเจ้าต่อเถอะ”

………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา!

เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’

เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น

เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง

ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง!

หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน

แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น

ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด

ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท