หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง – ตอนที่ 109 ไม่ใช่คนนอก

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

หลินจื่อเหยียนพยักหน้าแล้วพูดคล้อยตาม “พี่รองพูดได้ถูกต้อง ! ไม่ใช่คนเดินบนเส้นทางเดียวกัน ไม่ช้าก็เร็วต้องมีปัญหาจนเลิกรา ! พี่รอง ท่านกำลังจะทำสิ่งใด ? อยากให้ข้าช่วยหรือไม่ ? “

“ระหว่างที่พวกของป้ากุ้ยฮวากับพี่หยาเอ๋อร์กลับไปกินข้าวกลางวัน ข้าจะใช้เตาที่ว่างนี้ทำนมแพะย่างให้พวกเจ้ากิน”

หากใช้กระทะที่ใช้ทำเนื้อแผ่น ผลลัพธ์ที่ได้จะไม่ค่อยดีสักเท่าไร คราวนี้หลินเว่ยเว่ยจึงตัดสินใจใช้ก้อนอิฐและแผ่นเหล็กที่สั่งทำเป็นเตาอบ เจ้าเตาอบถูกแบ่งออกเป็นสองชั้นจึงสามารถอบเนื้อแผ่นได้ในเวลาเดียวกันถึง 2 เตา พื้นที่ของเตาอบค่อนข้างใหญ่ เนื้อแผ่นที่อบออกมาจึงมีขนาดใหญ่กว่ากระทะปกติถึงสองเท่า สามารถเพิ่มผลผลิตและคุณภาพได้อย่างมากทีเดียว

เนื้อแผ่นที่ผ่านการอบแล้วมีกลิ่นหอมยิ่งกว่าเวลาใช้กระทะปกติ ขั้นตอนการทำก็ง่ายกว่า ขอเพียงควบคุมไฟให้ดี พลิกเพียงครั้งเดียวก็สามารถรับประทานได้แล้ว

เมื่อมีเตาอบที่เรียบง่ายเช่นนี้ หลินเว่ยเว่ยก็คิดอาหารใหม่ เช่น การอบเค้กชิ้นเล็ก ๆ หรือปีกไก่ซึ่งจะสะดวกสบายมากขึ้น

ต่อจากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็หยิบหม้อดินขึ้นมาแล้วเทนมแพะลงไป ตามด้วยเห่งยิ้งเพื่อขจัดกลิ่นคาวของนมแพะ เมื่อนมเดือดแล้วก็ใส่น้ำตาล ไข่แดงและแป้งข้าวโพดที่ผ่านการกรองมาแล้วสองรอบ หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ เคี่ยวด้วยไฟอ่อนจนนมแพะเริ่มเหนียวข้นค่อยเทใส่ถาดสี่เหลี่ยมและทิ้งให้เย็นตัวประมาณครึ่งชั่วยามในห้องใต้ดินแล้วค่อยนำออกมาใช้ เมื่อหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วก็ทาไข่แดงบนหน้าขนม จากนั้นก็อบต่อในเตาประมาณ 1 เค่อ

นมแพะที่ย่างเสร็จแล้วจะมีสีเหลืองทอง ผิวบนสุดเป็นสีน้ำตาล รสชาตินุ่มละมุนลิ้นและหอมกลิ่นนมแพะอันเข้มข้น อย่าว่าแต่เด็กที่กำลังโตเยี่ยงหลินจื่อเหยียนเลย แม้แต่น้าเฝิงและนางหวงก็ยังอดหลงใหลในรสชาติของนมแพะย่างไม่ได้

ในบ้านยังมีเนื้อกวางอยู่ หลินเว่ยเว่ยจึงนำมาทำเป็นเนื้อกวางห่อฟองเต้าหู้ทอด เอ็นกวางตุ๋นแป้งข้าวโพด ยังมีบะหมี่อีกสองชนิดที่เส้นทำมาจากแป้งข้าวโพดและแป้งสาลีด้วย ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะนางยังนำผักป่ามาทำเป็นผักดองแล้วก็ผัดบวบอีกหนึ่งจาน

น้ำซุปก็คือซุปซี่โครง…ตั้งแต่ครอบครัวของนางทำการค้าเนื้อแผ่น เครื่องใน ซี่โครงและพวกเนื้อติดกระดูกก็มีให้พวกนางกินจนเหลือเสมอ

คนงานสามคนที่มาช่วยงานก็พลอยได้ผลประโยชน์ไปด้วย ในบ้านมีกลิ่นหอมของเนื้อทุกสองวัน ชีวิตของพวกนางไม่เป็นเหมือนอดีตที่จะได้กินเศษเนื้อเพียงเล็กน้อยเฉพาะช่วงปีใหม่อีกต่อไป !

หลินจื่อเหยียนเอ่ยด้วยความรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย “ข้าไม่ใช่คนนอกเสียหน่อย นี่มากเกินไปแล้ว ! ” เขาเข้าใจผิดว่าพี่รองเห็นตนไม่ค่อยได้กินของดี ๆ ในสำนักศึกษาจึงตั้งใจทำมื้ออาหารแสนพิเศษให้เช่นนี้

แต่เจ้าหนูน้อยทำลายความซาบซึ้งใจของเขาอย่างไม่ไยดี “ปกติพวกเราก็กินกันแบบนี้ ! แม้พี่สามจะกลับมาก็แค่เพิ่มตะเกียบอีกคู่เท่านั้น ! ”

หลินจื่อเหยียนใช้ตะเกียบเคาะศีรษะน้องชาย “เจ้าอย่าทำตัวน่าเบื่อได้หรือไม่ ? บอกว่าเตรียมไว้เพื่อข้าแล้วจะตายหรืออย่างไร ? ”

“พี่รองเคยพูดไว้ว่าเป็นมนุษย์ต้องซื่อสัตย์และจริงใจ ! สิ่งที่ข้ากล่าวไปนั้นเป็นเรื่องจริง เหตุใดต้องตีข้าด้วย ? ” เจ้าหนูน้อยคีบนมแพะย่างเข้าปากหนึ่งชิ้นด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ…เขารู้สึกว่ามีเพียงขนมแสนอร่อยเท่านั้นถึงจะเติมเต็มความรู้สึกน้อยใจได้

เมื่อหลินเว่ยเว่ยเห็นเช่นนั้นก็ปัดมือน้อย ๆ ของเขาออกจากนมแพะย่างทันที “กินขนมเช่นนี้ ประเดี๋ยวจะกินข้าวได้อีกหรือ ? กินข้าวก่อน ! ”

เจ้าหนูน้อยไม่กล้าหัวรั้นแต่ยังบ่นพึมพำว่า “พี่รองกินขนมก็อิ่มได้เช่นกัน แล้วต่างอันใดจากกินข้าวหรือ ? ”

“ขนมเป็นของหวาน กินมากแล้วจะฟันผุ ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องฟันผุหรอก พอผ่านไปนานเข้ากรดในกระเพาะจะเพิ่มสูงแล้วทำร้ายกระเพาะได้ หากเด็กน้อยกินของหวานมากไปจะเปลี่ยนเป็นคนโง่เขลาและไม่เติบโตสมวัย หรือเจ้าอยากกลายเป็นคนโง่ตัวเตี้ย ? ” หลินเว่ยเว่ยคีบเนื้อกวางห่อฟองเต้าหู้ทอดใส่ปากของน้องสี่

เจ้าหนูน้อยเชื่อในถ้อยคำของพี่รองมาโดยตลอด นอกจากนี้มารดาที่อยู่ทางด้านหนึ่งยังช่วยพูดอีกแรง “พี่รองรักเจ้าถึงเพียงนี้ ถ้าขนมอร่อยมาก นางจะไม่ให้เจ้ากินหรือ ? เชื่อฟังพี่รองของเจ้า กินข้าวเยอะ ๆ ส่วนนมแพะย่างเอาไว้เป็นขนมตบท้าย ! ”

เจ้าหนูน้อยพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ข้าเชื่อฟังพี่รอง พี่รองดีกับข้าที่สุด ! ”

“เช่นนั้นแม่ไม่ดีกับเจ้าหรือ ? ” นางหวงก็คีบเอ็นกวางตุ๋นแป้งข้าวโพดให้ จากนั้นก็จิ้มหน้าผากเขาแล้วแสร้งทำเหมือนไม่มีความสุข

ทันใดนั้นเจ้าหนูน้อยก็ทำปากหวานขึ้นมา “ท่านแม่ก็ดีกับข้าที่สุด พี่ชาย พี่สาวแล้วก็น้าเฝิงกับพี่โม่หานดีกับข้าที่สุดทั้งนั้น ชีวิตของข้าโชคดีมากขอรับ ! ”

“ไม่รู้เหมือนใครถึงได้ปากหวานเช่นนี้ ! ” นางหวงส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม

หลังมื้อเที่ยงหลินจื่อเหยียนก็เดินตามติดเจียงโม่หานไปยังสถานที่อันเงียบสงบบนภูเขาเพื่อหาสถานที่อ่านตำราโดยเฉพาะ นอกจากนี้หากเจอเนื้อหาที่ไม่เข้าใจ เจียงโม่หานก็จะคอยชี้แนะอยู่ด้านข้าง เขาอธิบายเนื้อหาที่ยากให้ฟังเข้าใจง่ายกว่าเวลาอาจารย์สอนเสียอีก ดังนั้นหลินจื่อเหยียนจึงได้รับความรู้มากมายในช่วงบ่ายนี้

แยมบลูเบอร์รี่ก็เสร็จในคืนนั้น บลูเบอร์รี่อบแห้งก็ทำออกมาได้ประมาณ 20 ชั่ง พอวันรุ่งขึ้นมาถึงหลินเว่ยเว่ยก็ทำเค้กแยมบลูเบอร์รี่หนึ่งถาด เค้กข้าวบลูเบอร์รี่หนึ่งถาด นมแพะย่างหนึ่งถาดแล้ววางซ้อนพวกมันลงในตะกร้าไม้ไผ่ จากนั้นก็แบกขึ้นหลังเพื่อออกไปส่งเนื้อแผ่นและผลไม้อบแห้งของวันนี้

ทุกครั้งที่มีสินค้าใหม่ หลินเว่ยเว่ยจะเข้ามาส่งด้วยตนเอง คราวนี้นางต้องการขายเค้กแยมบลูเบอร์รี่และเค้กข้าวบลูเบอร์รี่ซึ่งนางเชื่อว่าคุณชายหนิงต้องตื่นเต้นมาก !

เมื่อมาถึงในเมือง นางก็ตรงมาที่ร้านขายขนมและผลไม้อบหนิงจี้ทันที ช่วงนี้ใกล้เทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปเยี่ยมญาติหรือต้อนรับแขก ผลไม้อบแห้งและเนื้อแผ่นล้วนทำให้ดูมีฐานะทั้งสิ้น บริเวณหน้าร้านมีลูกค้ามายืนต่อแถวจนยาวเหยียด รอเพียงนางนำเนื้อแผ่นและผลไม้อบแห้งมาส่งให้เท่านั้น

ไม่รู้ว่าเถียนฟู่กุยยืดคอมองกี่คราแล้ว พอเห็นร่างของหลินเว่ยเว่ย เขาก็รีบพานางเข้าร้านทันที จากนั้นก็รีบชั่งน้ำหนัก ทำตามลำดับลูกค้าที่มาต่อแถว ห่อให้เรียบร้อยแล้วส่งไปยังหน้าร้าน

หลังรับเงินจากเถียนฟู่กุยแล้ว นางก็ถามเขาว่า “ไม่ทราบว่าคุณชายหนิงอยู่ในเมืองหรือไม่ ? คราวนี้ข้านำบลูเบอร์รี่อบแห้งแล้วยังมีขนมอีกสองสามชนิดมาด้วย ! ”

“ยะ อยู่ ! ” ตีนกาของเถียนฟู่กุยจมลึกกว่าเดิม ปากก็ฉีกจนจะถึงติ่งหูแล้ว ต่อจากนั้นเขาก็สั่งให้ลูกจ้างในร้านไปเชิญคุณชายหนิงมาที่นี่

หลินเว่ยเว่ยหยิบตะกร้าใบเล็กออกมาจากตะกร้าไม้ไผ่ ตะกร้าเล็กใบนี้ดูวิจิตรไม่เบา มีขนาดเล็กเท่าฝ่ามือผู้ชายเท่านั้นและด้านในก็ถูกวางประดับด้วยเค้กแยมบลูเบอร์รี่ 2 ชิ้น นมแพะย่าง 2 ชิ้นและเค้กข้าวบลูเบอร์รี่อีก 2 ชิ้น

“อาเถียน นี่ของฝากให้ย่าเถียน ตอนท่านกลับบ้านก็อย่าลืมเอาให้นางด้วย” หลินเว่ยเว่ยยื่นตะกร้าใบเล็กมาตรงหน้าเถียนฟู่กุย

เถียนฟู่กุยปฏิเสธแล้วกล่าวว่า “ตอนเที่ยงไปกินข้าวที่บ้านด้วยกันสิ ย่าเถียนคิดถึงเจ้าแล้ว”

“อีกประเดี๋ยวข้ายังมีธุระต่อ วันนี้คงไปไม่ได้ เอาไว้วันหลังข้าจะไปเยี่ยมย่าเถียนแน่นอน”

ระหว่างสนทนา หนิงตงเซิ่งก็รีบเดินเข้ามาจากทางหลังร้าน อาจเพราะรีบเดินเกินไป บริเวณหน้าผากของเขาจึงมีเหงื่อซึมออกมา

เมื่อเห็นหลินเว่ยเว่ยแล้ว ดวงตาของเขาก็เป็นประกายพร้อมกันนั้นหางตาก็เหลือบมองตะกร้าไม้ไผ่ในมือเถียนฟู่กุย จากนั้นมุมปากของเขาก็ค่อย ๆ ถูกยกขึ้น “หลินกู่เหนียง ได้ยินว่าเจ้ามีสินค้าใหม่มาให้ข้าดูหรือ ? ”

หลินเว่ยเว่ยพยักหน้ารับ “บลูเบอร์รี่บนภูเขาสุกแล้ว ข้าจึงทำเค้กแยมบลูเบอร์รี่แล้วยังมีพวกขนมจากบลูเบอร์รี่ คุณชายหนิงลองชิมสิ”

จากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็เปิดตะกร้าไม้ไผ่ออกมา กลิ่นหอมจากนมแพะย่างลอยตลบอบอวลทันที ตามด้วยกลิ่นหอมหวานของเค้กข้าวบลูเบอร์รี่และกลิ่นจากบลูเบอร์รี่ป่าผสมปนเปกันจนทำให้ผู้คนบริเวณนั้นอดน้ำลายไหลไม่ได้

ตอนต่อไป

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

Status: Ongoing
นักศึกษาเรียนดีจากวิทยาลัยเกษตรทะลุมิติมาเป็นเด็กสาวชาวนาผู้โง่เขลาและมีนิสัยป่าเถื่อน บิดาก็ตาย มารดาก็อ่อนแอ น้องชายดันมาตีตัวออกห่าง ส่วนพี่สาวก็มักจะคิดว่าเธอเป็นภาระเสมอ แต่โชคดีที่เธอมีมิติน้ำพุวิญญาณอยู่ในมือ เธอทั้งกลายเป็นนักล่าหมูป่า ทำให้ฝูงหมาป่าตกใจ ใช้น้ำพุวิญญาณมาปลูกพืชพันธุ์จนได้ผลผลิตดีงาม ทำสวนก็ได้ผลผลิตดี เลี้ยงสัตว์ก็เติบโต ไหนจะเสน่ห์ปลายจวักอีก เด็กโง่เขลาคนนี้นี่แหละจะนำพาทั้งครอบครัวไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองเอง ! ทว่าบัณฑิตหนุ่มหน้าหวานจอมหยิ่งคนข้างบ้านเนี่ย คิดว่าตัวเองหล่อแล้วจะทำอะไรก็ได้หรือไง ? คิดว่าเป็นขุนนางแล้วใครจะทำอะไรไม่ได้หรือ ? สุดท้ายก็ถูกเด็กโง่คนนี้กำราบไม่ใช่หรือไง ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท