หลินเว่ยเว่ยโบกมือปัด “ไม่เป็นไร ! อีกประเดี๋ยวค่อยนอนพิงตะกร้าไม้ไผ่บนเกวียนก็ได้ พอไปถึงเขตเริ่นอันข้าก็สามารถกระโดดโลดเต้นได้เหมือนมนุษย์เหล็กแล้ว ! ”
“มนุษย์เหล็ก ? เจ้าคิดว่าร่างกายทำมาจากเหล็กจริงหรือ ? เจ้าอย่าลืมว่าห้องแถวก็มีชื่อข้าเป็นเจ้าของด้วย ! ” เจียงโม่หานแสดงความห่วงใยออกมาอย่างขัดเขิน แม้สิ่งที่หลินเว่ยเว่ยได้ยินจะเป็นถ้อยคำที่เหมือนไม่พอใจของเขาก็ตาม
กระนั้นหลินเว่ยเว่ยก็ยังพูดหยอกล้อได้อยู่ “ข้ารู้ว่ามีชื่อเจ้าด้วย วางใจเถิด ข้าไม่ได้มีความคิดจะยึดไว้คนเดียวเสียหน่อย ! ”
ทันใดนั้นเจียงโม่หานก็หันไปถลึงตาใส่นาง ข้าหมายความเช่นนั้นที่ไหนกันเล่า ? เด็กตัวแสบ เหตุใดเจ้าไม่เข้าใจภาษามนุษย์ ! อารมณ์ไม่ดีก็พักผ่อนอยู่บ้านสักหนึ่งวันสิ ไม่มีเจ้าแล้วงานจะไม่เดินเลยหรือไร ?
“เหตุใดต้องโกรธอีกแล้ว ? พวกท่านก็เห็นว่าวันนี้ข้าไม่ได้หาเรื่องเขานะ เป็นเขาที่ชอบโมโหขึ้นมาเอง ! ” หลินเว่ยเว่ยกล่าวด้วยสีหน้าไร้เดียงสา
“ใช่ ! เป็นข้าที่โมโหขึ้นมาเอง ! ! ” เจียงโม่หานสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นก็หันหลังแล้วเดินออกไปทางประตูใหญ่เพราะถ้ายังเผชิญหน้ากับนางต่อไป เขาก็คงโมโหจนกระอักเลือด ! เด็กคนนี้ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณหรอก !
หลินเว่ยเว่ยแบกกระบุงเนื้อแผ่นหนักหนึ่งร้อยชั่งขึ้นหลัง จากนั้นก็ถือตะกร้าผลไม้อบแห้งที่หนักกว่าห้าสิบชั่งและยังห่อชงโหยวปิงไปอีกหนึ่งห่อด้วย…บัณฑิตหนุ่มก็เหลือเกิน แม้จะโมโหเช่นไรก็ควรกินให้อิ่มท้องก่อนสิ !
หลิวว่ายจื่อรออยู่ตรงหน้าหมู่บ้านแล้ว เมื่อเห็นเจียงโม่หานเดินออกมาก่อน เขาก็ชะโงกมองข้างหลังบัณฑิตหนุ่มปราดหนึ่ง “มีแค่เจ้าคนเดียวหรือ ? หลินเว่ยเว่ยไม่มาด้วยหรือ ? ”
เจียงโม่หานเหลือบมองอีกฝ่าย จากนั้นก็เดินต่อไปโดยไม่ลังเล ทว่าดวงตาที่เฉียบคมและแฝงไปด้วยความเย็นชาสามารถทำให้หลิวว่ายจื่อเผลอหดคอลงได้…บัณฑิตเจียงทำให้เขารู้สึกราวกับได้เผชิญหน้ากับนายอำเภอ น่าขนลุกใช้ได้เลย !
เมื่อเขาหันหลังกลับไปมองก็เห็นหลินเว่ยเว่ยเดินออกมาพร้อมตะกร้าใบน้อยและใบใหญ่ หลิวว่ายจื่อจึงรีบวิ่งเข้าไปหาแล้วรับตะกร้าจากมือของนางมาถือด้วยรอยยิ้ม “ส่งใบนี้มาให้ข้าเถิด ประเดี๋ยวข้าช่วยเจ้าถือเอง ! ”
สำหรับผู้ที่ไม่เคยทำงานหนักเยี่ยงหลิวว่ายจื่อ ผลไม้อบแห้งที่หนักกว่าห้าสิบชั่งจึงนับว่าค่อนข้างหนักพอสมควร ทว่าเพื่อทำดีต่อหน้าหลินเว่ยเว่ยแล้ว เขาก็กัดฟันพร้อมถือมันจนถึงเกวียน
หลังจากขึ้นมาบนเกวียนแล้ว หลิวว่ายจื่อก็พักหายใจอีกครู่ใหญ่ถึงจะกลับมามีแรงอีกครั้ง เมื่อเช็ดเหงื่อบนใบหน้าเสร็จแล้วก็หันไปหัวเราะกับหลินเว่ยเว่ย “เสี่ยวเว่ย เจ้าลำบากใช่ย่อย ! ถ้าข้าเป็นเจ้าล่ะก็คงจ่ายเงินเพื่อซื้อเกวียนสักคัน จะได้ประหยัดแรงมากกว่านี้ ! ”
จริงสิ ! เหตุใดนางคิดไม่ได้ ? ทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็ตบที่ต้นขาของตน “อีกประเดี๋ยวพอไปถึงในเมืองแล้วเราไปดูเกวียนกันเถิด ! ถ้าซื้อเกวียนเทียมวัวไม่ได้ก็ซื้อเกวียนเทียมล่อสักคัน ! ”
เพราะหลังจากห้องแถวปรับปรุงเสร็จก็ยังต้องปล่อยเช่า ดังนั้นต้องมีคนไปดูแลไม่ใช่หรือ ? ต่อไปโอกาสที่จะต้องเข้ามาในเมืองก็มากขึ้น ดังนั้นการมีเกวียนสักคันย่อมทำให้สะดวกขึ้นมาก
ดวงตาของหลิวว่ายจื่อกลิ้งกลอกไปมา ทันใดนั้นเขาก็ไปหาชายชราที่กำลังบังคับเกวียนอยู่ ขณะเดียวกันปากก็เรียกนายท่านครั้งแล้วครั้งเล่า ส่วนดวงตาคู่นั้นก็จับจ้องท่าทางการบังคับเกวียนของอีกฝ่ายและยังถามบางอย่างเป็นครั้งคราวด้วย
หลินเว่ยเว่ยและเจียงโม่หานส่งสายตาให้กัน หลิวว่ายจื่อผู้นี้ช่างเรียนรู้ได้เร็วเสียจริง พวกนางยังไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องอื่นด้วยซ้ำ นับว่าเอางานเอาการใช้ได้เลย !
ยังไม่ทันไปถึงในเมือง หลิวว่ายจื่อก็เรียนรู้วิธีบังคับเกวียนได้แล้ว ระยะทางสิบลี้สุดท้ายจึงมีเขาเป็นผู้บังคับแทน ส่วนชายชราก็ได้รู้จากหลิวว่ายจื่อแล้วว่าแม้อีกฝ่ายจะซื้อเกวียนก็ไม่ทับซ้อนกับเส้นทางทำมาหากินของตน ดังนั้นในเมื่ออีกฝ่ายอยากลองบังคับเกวียนจึงปล่อยให้ทำไป ส่วนตนก็ได้พักผ่อนอย่างสบายใจ
หลินเว่ยเว่ยหลับตลอดทางจนถึงจุดหมายและก็เป็นเหมือนเคยคือให้เงินชายชราเพิ่มอีก 2 อีแปะเพื่อให้เขาจอดเกวียนไว้ที่หน้าร้านขายขนมและผลไม้อบหนิงจี้
“โอ้ ! ป้ายร้านเปลี่ยนไปแล้ว ! ” หลินเว่ยเว่ยเห็นป้าย ‘ร้านขายขนมและผลไม้อบหนิงจี้’ แผ่นใหม่ นางจึงกล่าวกับคุณชายหนิงที่กำลังยืนอยู่ในร้านด้วยความยินดีว่า “ขอแสดงความยินดีกับคุณชายหนิง ธุรกิจเจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกแล้ว ! ”
“เพราะได้ความช่วยเหลือจากหลินกู่เหนียงทั้งนั้น ! ” คุณชายหนิงยกมือคารวะ ขณะที่มองนางแล้ว เขาก็คลี่ยิ้มพลางกล่าวว่า “ดูพวกเราสิ อีกคนเรียก ‘คุณชายหนิง’ อีกคนเรียก ‘หลินกู่เหนียง’ เห็นได้ชัดว่าห่างเหินกันเกินไป ข้าอายุมากกว่าหลินกู่เหนียงแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น หากท่านไม่รังเกียจก็เปลี่ยนคำเรียกข้าว่า ‘หนิงซานเกอ’ เถิด ! ”
เนื่องจากคุณชายหนิงเป็นบุตรคนที่สามของครอบครัวนั่นเอง
หลินเว่ยเว่ยพยักหน้า แต่ในขณะที่กำลังจะเปลี่ยนคำเรียกเป็น ‘หนิงซานเกอ’ ก็มีเสียงเย็นชาดังขัดขึ้นมาเสียก่อนว่า “ไม่เหมาะสม ! ”
คุณชายหนิงมองไปยังบุรุษรูปงามที่เข้ามายืนขวางตรงหน้าของหลินเว่ยเว่ย แม้เป็นบุรุษด้วยกัน แต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะเอ่ยชมในใจว่าชุดบัณฑิตที่พลิ้วไหวช่างให้อารมณ์เย็นเยือกและสูงส่งเหมือนป่าไผ่ที่สลับซับซ้อน !
“ท่านนี้คือ…” คุณชายหนิงเอนตัวไปด้านหน้าเล็กน้อยพร้อมถามหลินเว่ยเว่ยด้วยความสงสัย
หลินเว่ยเว่ยผลักบัณฑิตหนุ่มไปด้านข้างเบา ๆ จึงทำให้ฝ่ายตรงข้ามขมวดคิ้ว ส่วนนางก็ยิ้มแล้วกล่าวว่า “นี่คือพี่ชายข้างบ้าน ท่านเองก็รู้ว่าคนที่ศึกษาตำรามักเป็นคนอวดดีเล็กน้อย…”
สายตาที่เจียงโม่หานหันมามองจึงแฝงไปด้วยความไม่พอใจอย่างมาก…การป้องกันไม่ให้เจ้าเรียกบุรุษคนอื่นว่าพี่น้องเป็นเรื่องอวดดีหรือ ? เด็กตัวแสบ ตระกูลหนิงมีชาติกำเนิดเป็นพ่อค้า ในกระดูกของพ่อค้าล้วนมีแผนการแอบแฝงไว้ทั้งสิ้น ส่วนเจ้าเป็นแค่เด็กน้อยที่มีลูกไม้เพียงไม่กี่อย่าง แค่โดนอีกฝ่ายพูดเกลี้ยกล่อมไม่กี่ประโยค เจ้าก็ไม่รู้ว่าตนเองแซ่อะไรแล้ว !
แม้หนิงตงเซิ่งยังเยาว์วัย ทว่ามีความสามารถในการอ่านคนอยู่ไม่น้อย บัณฑิตหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในสระ1 ดังนั้นเขาจึงยกมือขึ้นคารวะแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าคิดไม่รอบคอบเอง ขอพี่ชายท่านนี้และหลินกู่เหนียงอย่าถือสาเลย ! ”
“ไม่ถือ ไม่ถือ ! ” หลินเว่ยเว่ยหัวเราะ แต่แล้วก็โดนบัณฑิตหนุ่มถลึงตาใส่อีกครา นางจึงถลึงตากลับ…คิดทำสิ่งใดกันแน่ ? เทียบกันว่าผู้ใดตาโตกว่ากันหรือ ? ข้าเองก็ไม่ได้แพ้เจ้าสักเท่าไรหรอก !
คิ้วของหนิงตงเซิ่งกระตุกขึ้นเล็กน้อย บางทีบัณฑิตท่านนี้กับสาวน้อยข้างบ้านคง…
ส่วนหลิวว่ายจื่อที่ยืนอยู่หน้าร้านอย่างเชื่อฟังก็ร้อนใจจนเกาศีรษะไม่หยุด เมื่อใดจะถึงเวลาเอ่ยเรื่องของข้า ? นายน้อยท่านนี้จะเห็นด้วยหรือไม่ ? ไอหยา ร้อนใจจะตายอยู่แล้ว !
ขณะเดียวกันดวงตาของหลินเว่ยเว่ยก็เหลือบไปเห็นหลิวว่ายจื่อที่กำลังเดินวนไปเวียนมาตรงหน้าร้าน “หนิง…คุณชายหนิง ขอคุยธุระหน่อยเถิด ! ” เดิมทีนางคิดจะเรียกว่า ‘หนิงซานเกอ’ แต่แล้วลิ้นของนางก็ต้องพันกันเพราะโดนบัณฑิตหนุ่มถลึงตาใส่อีกครา
ต่อจากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็หยิบขนมไหว้พระจันทร์ไส้ธัญพืชห้าชนิดที่ทำให้เจ้าหนูน้อยเมื่อคืนออกมาหนึ่งชิ้นแล้วยื่นให้หนิงตงเซิ่ง “ลองชิมสิ”
“นี่คือ…ขนมไหว้พระจันทร์หรือ ? ” หนิงตงเซิ่งพิจารณา ภายนอกก็ดูเหมือนขนมไหว้พระจันทร์ทั่วไป หลังลองชิมแล้วถึงได้พบว่ามันแตกต่างจากขนมไหว้พระจันทร์แบบดั้งเดิมเพราะตัวแป้งกรอบกว่า แค่กัดแป้งก็ร่วนออกทันทีและไส้ด้านในทั้งหอมและกรุบกรอบ ไม่หวานเลี่ยนเหมือนขนมไหว้พระจันทร์ทั่วไป วัตถุดิบที่ใช้ก็ดีและหอมยิ่งกว่าขนมไหว้พระจันทร์ไส้ธัญพืชห้าชนิดตามปกติด้วย
หนิงตงเซิ่งไม่ได้ลังเลแต่อย่างใด เขารีบหยิบตั๋วเงิน 200 ตำลึงออกมาทันที “ข้าขอซื้อสูตรขนมนี้ ! ”
“เอ่อ…ไม่ต้อง คุณชายหนิงซื้อสูตรข้าไปเยอะแล้ว สูตรนี้ข้ายกให้เลย” ขณะมองตั๋วเงิน แม้หลินเว่ยเว่ยจะรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ทว่าหากหวังจะตกได้ปลาตัวใหญ่ก็ต้องวางแผนในระยะยาวโดยไม่รีบร้อน อย่างน้อยก็ต้องให้อีกฝ่ายได้ลิ้มลองรสชาติหอมหวานเสียบ้าง
หนิงตงเซิ่งรู้สึกขำขันต่อสายตาอาลัยอาวรณ์ของนาง การแต่งกายของอีกฝ่ายไม่เหมือนผู้ที่เกิดในครอบครัวมีฐานะร่ำรวย เงิน 200 ตำลึงนี้แม้แต่ครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวยในเขตเริ่นอันก็ยังไม่ปฏิเสธที่จะรับ สาวน้อยคนนี้ช่างน่าชื่นชมเสียจริง…อย่างน้อยนางก็ไม่ละทิ้งสัญญาของทั้งสองฝ่ายโดยง่ายเพียงเพราะได้รับผลประโยชน์ที่มากกว่า
1 ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในสระ เป็นการเปรียบเปรยถึงบุคคลที่กำลังจะก้าวหน้าในวันใดวันหนึ่ง
ตอนต่อไป