หลินเว่ยเว่ยเอื้อมมือไปลูบขนมันเงาของเจ้าเทา ส่วนจ่าฝูงเจ้าเทาผู้สูงส่งก็ให้เกียรติโดยการเลียมือของนางอยู่พักหนึ่ง
หลินเว่ยเว่ยเทน้ำจากมิติน้ำพุวิญญาณที่อยู่ในกระบอกไม้ไผ่ออกมาให้มันดื่มแล้วกล่าวว่า “เจ้าทำได้ดีมาก โอกาสในการได้กินเนื้อมนุษย์มีแค่ศูนย์หรือนับครั้งไม่ถ้วน เมื่อเผชิญหน้ากับอาหารอันโอชะพร้อมกลิ่นคาวเลือดชวนกระหายหิว เจ้าก็ยังไม่ขยับปากและห้ามฝูงของตนด้วย ประเดี๋ยวข้าจะเอาซากสัตว์จากมิติน้ำพุวิญญาณมาเป็นรางวัลให้เจ้า ! ”
ในสมองของชายชุดดำมีเพียงประโยคที่ว่า ‘อาหารอันโอชะพร้อมกลิ่นคาวเลือดชวนกระหายหิว…’
เมื่อหลบให้พ้นสายตาของชายชุดดำแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็นำซากกวางสองตัวและกระต่ายอีกหลายตัวออกมาจากมิติน้ำพุวิญญาณ จากนั้นก็โยนไปให้ฝูงหมาป่า “นี่คือรางวัลสำหรับพวกเจ้า อาหารมีไม่มาก ตัวหนึ่งก็กินสองสามคำถือว่าได้ลับคมเขี้ยวก็แล้วกัน ! ”
จากนั้นนางก็เทน้ำจากมิติน้ำพุวิญญาณลงสู่แอ่งหิน ทันใดนั้นฝูงหมาป่าก็ไม่สนอาหารตรงหน้าอีกต่อไปแต่พวกมันมาแย่งกันดื่มน้ำแทน
เป้าหมายของนางคือต้องการทำให้ฝูงหมาป่าเข้าใจว่าหากไม่กินเนื้อมนุษย์แล้ว พวกมันจะมีทั้งอาหารและน้ำจากมิติน้ำพุวิญญาณให้กิน เมื่อเวลาผ่านไปนางก็จะสร้างนิสัยไม่จู่โจมหรือทำร้ายมนุษย์แก่พวกมันได้
หลังจากลูบศีรษะของเจ้าเทาแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็กลับไปหาผู้บาดเจ็บอีกครั้ง “เจ้า…ดื่มน้ำหน่อยหรือไม่ ? ”
ชายชุดดำผู้มีนามว่า หลีชิง กำลังมองนางอย่างตกตะลึง
กระบอกไม้ไผ่นี้ไม่ได้เพิ่งเอาไปให้หมาป่ากินหรอกหรือ ? เขาไม่รู้ว่าควรรู้สึก…เป็นเกียรติที่ได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับหมาป่าดีหรือไม่ ?
จากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็หยิบหญ้าที่มีสรรพคุณสำหรับห้ามเลือดขึ้นมาหนึ่งกำมือแล้วใช้กิ่งไม้บดมันพลางมองชายชุดดำ “เจ้าจะถอดเองหรือให้ข้าช่วยถอด ? ”
หลีชิงรู้ว่านางกำลังจะช่วยรักษาบาดแผลให้ แต่การที่ตัวเขาจะรักษาสติไว้ได้ก็ถือเป็นเรื่องยากมาก ดังนั้นในขณะที่พยายามนั่งพิงต้นไม้ ดวงตาก็เริ่มพร่ามัวและอาการเวียนศีรษะก็เข้าครอบงำ…
เขาจึงกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินว่า “เช่นนั้น…ต้องรบกวนกู่เหนียงแล้ว ! ”
หลินเว่ยเว่ยจึงเริ่มแก้เสื้อของเขาออกอย่างไม่ขัดเขินราวกับเขาไม่ใช่ผู้ชายและเป็นรูปปั้นแกะสลักที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้แทน
“ถือว่าเจ้าดวงแข็งมากเพราะบาดแผลฉกรรจ์จนเกือบถึงแก่ชีวิต เลือดก็ไหลออกมาเยอะมาก ไม่รู้ว่าเจ้ายังรักษาสติมาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร ถ้าไม่ได้มาเจอข้าล่ะก็ ชีวิตของเจ้าคงจบลงที่ภูเขาแห่งนี้แล้ว มีแค่ฝูงหมาป่าเท่านั้นที่จะคอยเก็บศพให้เจ้า…” หลินเว่ยเว่ยทำความสะอาดบาดแผลแล้วใส่หญ้าห้ามเลือดพลางบ่นไปพร้อมกัน
หลีชิงกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “เจ้าไม่กลัวข้าเป็นคนชั่วหรือ ? เมื่อพ้นขีดอันตรายแล้วก็สังหารเจ้าเพื่อปิดปาก”
“ฆ่าปิดปากข้า ? เช่นนั้นเจ้าต้องมีความสามารถมากพอก่อน ! ” ทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็หันไปทุบหินด้านข้าง หินก้อนนั้นแตกเป็นชิ้นในทันที “เห็นหรือไม่ ? คิดว่าศีรษะของเจ้าหรือหินแข็งกว่ากัน ? ”
“กู่เหนียงรู้วรยุทธด้วยหรือ ? ไม่ทราบว่าอาจารย์ของเจ้าคือผู้ใด ? ” หลีชิงนึกถึงสถานการณ์ในปัจจุบันของตนจึงถามอย่างระแวดระวัง
“แรงเยอะเป็นสิ่งที่มีมาแต่กำเนิด ข้าไม่เคยฝึกวรยุทธมาก่อน” หลังพันแผลให้เขาเสร็จแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็เหลือบมองไปที่กางเกงของเขา “ยังมีแผลที่อื่นหรือไม่ ? ”
ในที่สุดใบหน้าที่ไร้สีเลือดของหลีชิงก็กลับมามีสีแดงจาง ๆ อีกครั้ง พร้อมกันนั้นเขาก็จับเข็มขัดของตนไว้แน่น “ไม่มีแล้ว ที่อื่นไม่มีบาดแผลแล้ว ! ”
นะ…นี่คือเรื่องบ้าอันใด ? สตรีแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ?
หลินเว่ยเว่ยกลอกตาใส่ จะจับไว้แน่นเพื่อเหตุใด ? เจ้าคิดจริงหรือว่าข้าอยากถอดกางเกงของเจ้า ? แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นบัณฑิตหนุ่มล่ะก็ ข้าอาจจะ…
หากให้บัณฑิตหนุ่มรู้ความคิดของนางก็เกรงว่าเขาจะต้องปั้นหน้าแล้วเทศนานางยกใหญ่แน่นอน !
“หา! ฟ้ามืดแล้ว เจ้าจะรักษาตัวในถ้ำบนภูเขาหรือจะตามข้ากลับไป ? เฮ้…เฮ้ ! ” ไม่ขยับตัวแล้วหรือ ? หลินเว่ยเว่ยเขย่าตัวชายชุดดำ ให้ตายเถิด ! สลบเวลาใดไม่สลบ ดันมาสลบในเวลานี้เสียได้ !
จะปล่อยไว้เป็นอาหารหมาป่าก็ไม่ได้ แม้ว่าฝูงของเจ้าเทาจะไม่กินเขา แต่ในป่าก็ยังมีสัตว์อื่นใช่หรือไม่ ? ในเมื่อช่วยแล้วก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด…หลินเว่ยเว่ยจึงตัดสินใจแบกเขาขึ้นหลังอย่างคนที่ยอมรับในชะตากรรม
เมื่อเดินมาถึงเชิงเขาแล้วฟ้าก็มืดสนิท เนื่องจากใกล้ถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์จึงทำให้แสงจันทร์ส่องสว่างพอใช้ มันสว่างพอให้นางเห็นทางลงเขาได้
ทันใดนั้นก็มีเสียงการเคลื่อนไหวบางอย่างเกิดขึ้นตรงระหว่างทางที่จะเลี้ยวลงเขา หลินเว่ยเว่ยจึงหยุดเดินพลางคิดว่ากลิ่นเลือดของชายชุดดำคงไม่ล่อสัตว์ตัวอื่นมาหรอกกระมัง ?
ภายใต้แสงจันทร์ บุรุษรูปงามราวกับต้นไม้หยกก็ปรากฏกายขึ้น สายลมพัดชายเสื้อของเขาและเส้นผมให้ปลิวไสว ใบหน้างดงามไร้ที่ติราวกับเทพเซียนที่ลอยมาจากดวงจันทรา…
“น้ำลายจะหกแล้ว ! ” เสียงแผ่วเบาของชายหนุ่มดังขึ้นที่ข้างหู
หลินเว่ยเว่ยเค้นเสียง เฮอะ แสดงความขัดใจออกมาแล้วกล่าวว่า “เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดแล้ว เจ้ายังมีกะจิตกะใจมาล้อข้าอีกหรือ ? ถ้าทำให้ข้ารำคาญล่ะก็ เชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถโยนเจ้าทิ้งได้ ? ”
“พี่รอง ท่านพูดกับใคร ? ” แท้จริงก็ไม่ได้มีแค่บัณฑิตหนุ่มที่กำลังรอนางอยู่ เพราะหลินจื่อเหยียนก็เดินออกมาจากเงาของต้นไม้ด้วย
หลินเว่ยเว่ยสาวเท้าก้าวใหญ่มาหาบัณฑิตหนุ่ม นางเอียงศีรษะมองเขาอย่างทะเล้นแล้วหัวเราะ “บัณฑิตน้อย เจ้ารอข้าอยู่หรือ ? แสงจันทร์คืนนี้สวยมาก ทำให้ข้าอดไม่ได้ที่จะนึกถึงบทกวี ‘จันทร์เฉิดฉายเหนือกิ่งหลิว นัดพบยามสนธยา’ ”
เจียงโม่หานทำเหมือนไม่ได้ยินถ้อยคำของนาง สายตาของเขากวาดมองใบหน้าของคนบนหลังนางต่างหาก ทันใดนั้นเจียงโม่หานก็ต้องตกตะลึง หลีชิงอย่างนั้นหรือ ? เหตุใดจึงเป็นเขาไปได้ ?
ในอดีตชาติหลังจากที่หลีชิงถูกข้าช่วยชีวิตไว้แล้วยังมีข้าเป็นคนชี้แนะแนวทาง แค้นก็ถูกชำระให้ ต่อจากนั้นหลีชิงก็กลายเป็นลูกน้องที่ซื่อสัตย์ของข้า แล้วสุดท้ายก็รับลูกธนูแทนข้าอีก…
จริงสิ หากเทียบกับเวลาของชาติที่แล้วก็คงเป็นอีกสองวันข้างหน้า จำได้ว่าข้าอดกลั้นความรู้สึกปวดศีรษะเอาไว้ขณะเดินบนถนนที่นำไปสู่หมู่บ้านแล้วข้าก็ได้พบหลีชิง เวลานั้นหลีชิงบาดเจ็บสาหัสจนแทบสิ้นลม ข้าไม่ได้ช่วยคนเพราะความหวังดีอย่างแท้จริงหรอก แค่อยากหาองครักษ์และหาคนที่สามารถทำงานแทนตนได้เท่านั้น
ต่อมาข้าก็ทรงอำนาจมากขึ้น หลีชิงจึงฝึกฝนองครักษ์ที่ซื่อสัตย์ให้ข้า ทั้งยังปล้นชิงและลอบสังหาร…แม้ต้องฆ่าคนนับไม่ถ้วน แต่หลีชิงก็ไม่เคยบ่นแม้แต่คำเดียว หลีชิงมักจะกล่าวว่าเขาเป็นหนี้ชีวิตข้า ! และท้ายที่สุดยังตอบแทนด้วยชีวิต…
พอมาคิดให้ดีแล้วหลีชิงไม่ได้เป็นหนี้ชีวิตข้าหรอก ตรงกันข้ามคือตัวข้าต่างหากที่ติดหนี้อีกฝ่ายมากมาย ! ในยามที่ข้าโดนจับมัดไว้ตรงหน้าประตูอู่1ก็ได้ตระหนักว่าหลีชิงเป็นหนึ่งในคนที่ข้ารู้สึกละอายใจด้วยยิ่งนัก ตอนนั้นข้าจึงคิดว่า…ถ้ามีโอกาสได้เกิดใหม่อีกคราก็หวังว่าหลีชิงจะไม่ต้องมาเจอข้าอีก…
คาดไม่ถึงว่าสวรรค์จะได้ยินเสียงภาวนาของข้า ในชาตินี้เด็กตัวเหม็นจึงเป็นคนช่วยชีวิตของหลีชิงเอาไว้ ! เช่นนี้ก็ดีเหมือนกันเพราะหลีชิงเป็นคนรู้คุณคน แม้นางจะทำสิ่งใดโดยไม่คิด แต่จิตใจของนางก็อ่อนโยนและมีเมตตา ดังนั้นในชาตินี้หลีชิงน่าจะได้อยู่ห่างจากกระแสน้ำเชี่ยวกรากและได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข !
หลีชิงมองหลินเว่ยเว่ย จากนั้นก็หันไปมองเจียงโม่หานแล้วหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะพูดว่า “ที่แท้เทพธิดาก็มีใจ แต่เซียนอ๋องไร้รัก ! ”
“หุบปาก! ถ้ายังพูดอีกแม้แต่ประโยคเดียว ข้าจะทำให้เจ้าพูดไม่ได้อีกในชาตินี้ ! ” คนตายไม่มีทางพูดได้ หลินเว่ยเว่ยเริ่มรู้สึกผิดแล้วที่ช่วยอีกฝ่ายไว้
หลังขมวดคิ้วพลางจ้องหน้าหลีชิงอยู่นาน หลินจื่อเหยียนก็พูดกับหลินเว่ยเว่ยว่า “พี่รอง เขาเป็นใคร ! เหตุใดเหมือนไม่ใช่คนดีเลย ! ”
“น้องชาย เจ้ามองคนที่รูปร่างหน้าตาภายนอกได้อย่างไร ? ” หลีชิงเริ่มมีแรงแล้วจึงดิ้นลงจากหลังของหลินเว่ยเว่ย…ข้าเป็นถึงนายน้อยแห่งสำนักหลิงหูที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วหล้าแล้วจะไม่ใช่คนดีได้อย่างไร ?
1 ประตูอู่ คือประตูใหญ่ที่สุดของวังหลวง เป็นประตูชั้นที่สามของพระราชวัง ขนาดกำแพงของประตูมีความสูง 12 เมตร เมื่อมีพระราชโองการหรือประกาศกำหนดการณ์ต่าง ๆ ข้าราชการฝ่ายพลเรือนและทหารจะมารวมตัวกันอยู่ที่จัตุรัสหน้าประตูอู่เพื่อรอรับฟัง
ตอนต่อไป