ตอนที่ 132 เด็กที่ไม่มีใครต้องการ
ทันใดนั้นเจ้าหนูน้อยก็เริ่มอ้าปากกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาก็แดงราวกับลูกกระต่ายและคลอไปด้วยหยาดน้ำใส “พี่รอง ท่านโกหก ! ข้าเป็นลูกแท้ ๆ ของท่านแม่ ไม่ใช่เด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยง ! ”
“ข้าไม่ได้โกหก…” หลินเว่ยเว่ยเห็นมารดาเดินเข้ามาทางประตูหน้าบ้าน “ถ้าไม่เชื่อก็ถามท่านแม่เองสิ…ท่านแม่เจ้าคะ น้องสี่ถามว่าเขามาที่นี่ได้อย่างไร ! ”
นางหวงคลี่ยิ้มแล้วตอบคำถามเหมือนที่มารดาทุกคนตอบ “จะมาได้อย่างไร ? ก็ต้องเก็บมาจากข้างถนนน่ะสิ ! ”
“หา…” นี่ถือเป็นการแหย่รังแตนเพราะเจ้าหนูน้อยอ้าปากค้างจนเห็นลิ้นไก่ จากนั้นก็เริ่มร้องไห้โฮออกมา “ข้าไม่ได้ถูกเก็บมาเลี้ยง ข้าเป็นลูกแท้ ๆ ของท่านแม่ ! ข้าไม่เชื่อ…ฮือฮือฮือ…”
นางหวงตกใจแล้วรีบมองไปทางบุตรชายและบุตรสาว “เขาเป็นอันใดไป ? ”
“ท่านแม่ขอรับ…หากข้าไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของท่าน แล้วข้าเป็นลูกของใคร ? ” เจ้าหนูน้อยร้องไห้โฮแต่ก็ยังไม่ลืมถาม
พอหลินเว่ยเว่ยนำขนมไหว้พระจันทร์บัวหิมะไปไว้ในห้องใต้ดินแล้วก็ออกมาได้ยินประโยคนี้พอดี นางจึงพูดไปตามน้ำว่า “เจ้าก็ได้ยินแล้วไม่ใช่หรือ ? เก็บมาจากข้างถนน แล้วใครจะรู้ว่าคนที่โยนเจ้าทิ้งไว้เป็นผู้ใด ไม่รู้ว่ามีเด็กตั้งกี่คนที่โดนโยนทิ้งระหว่างทางหลบหนี…ท่านแม่ของพวกเรามีจิตใจงดงามจึงทนมองชีวิตน้อย ๆ เช่นเจ้าโดนทิ้งอยู่ข้างถนนไม่ได้ ! ”
เจ้าหนูน้อยปาดน้ำตาแล้วมองไปที่หลินเว่ยเว่ยด้วยท่าทางสะอึกสะอื้น “พี่รอง ท่านก็โดนครอบครัวทิ้งแล้วท่านแม่เก็บมาเหมือนกัน ใช่หรือไม่ ? พวกเขาชอบพูดว่าท่านไม่เหมือนพี่ใหญ่และพี่สาม ! ”
“ไอหยา ! หาพรรคพวกแล้วหรือ ? ทำไม ? ต้องให้ข้าถูกเก็บมาด้วย เจ้าถึงจะรู้สึกสบายใจขึ้นหน่อยหรือ ? ” หลินเว่ยเว่ยเริ่มเตรียมวัตถุดิบเพื่อทำมื้อเย็นในวันนี้
เจ้าหนูน้อยสูดน้ำมูก “พี่รอง ท่านกับข้าล้วนโดนเก็บมาเลี้ยง พวกเรา…หัว…หัวอกเดียวกัน ! พอข้าโตแล้วจะดูแลท่านอย่างดีแน่ ส่วนตอนนี้ท่านก็ดีกับข้าหน่อย…ฮือ…เพราะเราสองคนล้วนเป็นเด็กน่าสงสารที่ไม่มีผู้ใดต้องการ ! ”
ยิ่งเจ้าหนูน้อยนึกถึงเรื่องนี้มากเท่าไรก็ยิ่งเศร้ามากขึ้นเท่านั้น แล้วเขาก็เริ่มร้องไห้อีกครั้ง !
นางหวงกลืนไม่เข้าคายไม่ออกจึงดึงตัวเจ้าหนูน้อยเข้ามาในอ้อมแขน “เด็กโง่ ! ผู้อื่นกล่าวสิ่งใด เจ้าก็เชื่อหมดหรือ ? พวกเจ้าล้วนเป็นลูกแท้ ๆ ของแม่ทั้งนั้น ! ”
ดวงตาของเจ้าหนูน้อยเต็มไปด้วยน้ำตา “ตะ…แต่พี่รองบอกว่าข้าถูกเก็บมาเลี้ยง ท่านแม่ก็กล่าวเช่นนั้น พวกท่านไม่ใช่คนอื่นเสียหน่อย ! ”
“แม่กับพี่รองหยอกเจ้าเล่น ! ” นางหวงใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดใบหน้ามอมแมมของบุตรชายคนเล็ก เจ้าเด็กโง่ ผู้อื่นกล่าวสิ่งใดเจ้าก็เชื่อหมด !
หลินจื่อเหยียนชี้ไปที่ศีรษะของตนแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ตอนที่หลบหนีในเวลานั้น พี่รองยังเป็นเช่นนั้นอยู่เลย จะรู้ว่าเจ้าโดนเก็บมาเลี้ยงได้อย่างไร ? น้องสี่ เวลาเผชิญกับสิ่งใด เจ้าก็ควรใช้สมองเสียบ้าง ! ”
เจ้าหนูน้อยกะพริบตา “จริงสิ ! พี่รองเป็นคนโง่เขลา ถ้าจะทิ้งก็ต้องทิ้งนางสิ ข้าน่ารักถึงเพียงนี้ ทั้งฉลาดและขยัน บ้านใดมีลูกชายเช่นข้าก็ต้องปกป้องราวสมบัติล้ำค่าอยู่แล้ว จะทำใจทิ้งลงได้อย่างไร ? พี่รอง ข้าคิดว่า…ถ้าบ้านเรามีคนโดนเก็บมาเลี้ยงจริง ๆ ก็ต้องเป็นท่าน ! ท่านกินเยอะ สมองก็ไม่ดี พ่อแม่จึงเกลียดท่านเลยโยนทิ้งไว้ข้างถนน แต่ท่านแม่ใจดีเลยเก็บท่านกลับมา…”
ทันใดนั้นนางหวงก็ตีก้นเขา “อย่าพูดเหลวไหล ! ”
ส่วนหลินเว่ยเว่ยถอนหายใจเล็กน้อย นางรู้สึกหดหู่จน ‘สะอื้น’ แล้วกล่าวว่า “โดนจับได้เสียแล้ว…ใช่ ข้าถูกเก็บมาเลี้ยง ! น้าเฝิง ท่านจะยอมรับเด็กน่าสงสารที่ไม่มีใครต้องการเช่นข้าหรือไม่ ? ”
นางเฝิงที่เพิ่งเดินเข้าประตูมาได้ยินเช่นนั้นก็ตกตะลึงทันที แต่นางก็กลับมาตอบสนองโดยเร็ว นางรีบกล่าวว่า “แน่นอนสิ ! ”
หลินเว่ยเว่ยเอ่ยกับเจ้าหนูน้อยต่อ “เด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยงอย่างข้าไม่ขออยู่เป็นตัวถ่วงที่บ้านหรอก ข้าจะไปเป็นลูกสาวของน้าเฝิง ต่อไปนี้…ข้าไม่ใช่พี่รองของเจ้าอีก ! ” หลังกล่าวจบนางก็เสียใจจนปิดหน้าร้องไห้
เจ้าหนูน้อยเอียงศีรษะมอง “ท่าน…จะไปเป็นถงหย่างสี1ให้พี่โม่หานหรือ ? ”
“ใครเป็นถงหย่างสี ? บัณฑิตน้อยใช่ว่าจะหาสตรีมาแต่งเมียไม่ได้เสียหน่อย ! แค่เขาโบกมือก็สามารถเรียกสาวน้อยสาวใหญ่มาแต่งงานกับเขาได้แล้ว ยังต้องการถงหย่างสีไปเพื่อเหตุใดอีก ? ” หลินเว่ยเว่ยถือปลาที่ล้างน้ำสะอาดแล้วกล่าวกับนางเฝิงว่า “ในเมื่อตอนนี้ข้าเป็นลูกสาวของน้าเฝิงแล้ว ท่านแม่เจ้าคะ ข้ากลับไปทำอาหารที่บ้านเราดีกว่า ! ”
นางเฝิงก็ร่วมเล่นด้วย “ไปเถิด อย่าให้เหนื่อยมากเล่า เพราะแม่จะปวดใจเอาได้ ! ”
หลินเว่ยเว่ยหันมามองเจ้าหนูน้อยปราดหนึ่ง ต่อจากนั้นนางก็จงใจกล่าวว่า “ต่อไปข้าจะทำอาหารให้แค่ท่านแม่และพี่โม่หานกิน ! เพราะพวกเขาไม่รังเกียจที่ข้าโง่เขลา ไม่รังเกียจที่ข้าถูกเก็บมาเลี้ยง ! ”
ทันใดนั้นเจ้าหนูน้อยก็รีบเข้าไปคว้าชายเสื้อนางไว้แล้วกล่าวพร้อมดวงตาสีแดงก่ำ “พี่รอง ข้าไม่ได้รังเกียจท่าน ! ท่านไม่ได้ถูกเก็บมาหรอก ใครจะเก็บเด็กโง่เขลากลับมาเป็นภาระครอบครัว ? ท่านจะต้องเป็นลูกแท้ ๆ ของท่านแม่แน่นอน ! เมื่อก่อนท่านแม่ไม่ยอมกินเพื่อประหยัดให้ท่านได้กินและเลี้ยงจนท่านตัวขาวอวบอ้วน…”
“ยังกล้าบอกว่าไม่รังเกียจข้าอีกหรือ ? เจ้าบอกว่าข้าเป็นคนโง่เขลาแถมยังบอกว่าข้าอ้วน ! ความสัมพันธ์ของเราสองพี่น้องจบลงวันนี้ ! ปลากระรอกทอดราดซอสเปรี้ยวหวานวันนี้ ข้าจะเพลิดเพลินกับมันแค่คนเดียว ! ” หลินเว่ยเว่ยเค้นเสียงด้วยความโมโห
นางเฝิงที่ช่วยล้างผักอยู่ก็หันมาหัวเราะ “น้าเฝิงไม่รังเกียจเจ้า ต่อไปเจ้าก็เป็นลูกสาวของบ้านข้าแล้วกัน ไป กลับบ้านเรากันเถิด ! ”
ทันใดนั้นเจ้าหนูน้อยก็รีบเข้ามากอดขาหลินเว่ยเว่ยเอาไว้ “พี่รอง ท่านอย่าไปเลย ข้ายอมรับผิดแล้ว ต่อไปข้าจะไม่พูดเช่นนี้กับท่านอีก ตอนนี้ท่านไม่อ้วนแม้แต่น้อย แถมงดงามมากด้วย ! พี่รอง ในบ้านของเรานี้ท่านฉลาด ฉลาดที่สุดแล้ว พี่สามก็ยังสู้ท่านไม่ได้เลย ! ”
หลินเว่ยเว่ยดิ้นพอเป็นพิธี ทันใดนั้นเจ้าหนูน้อยก็กอดแน่นกว่าเดิม นางจึงยิ้มแล้วเขกศีรษะเขาเบา ๆ “เจ้ากอดขาไว้แล้วข้าจะทำอาหารได้อย่างไร ? หรือมื้อเย็นในงานฉลองวันนี้เจ้าคิดจะให้พี่ใหญ่ทำ ? ”
เจ้าหนูน้อยเหมือนจะตกใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ยินเช่นนั้น เขาจึงรีบปล่อยมือทันที “ไม่ให้พี่ใหญ่ทำ ถ้าให้พี่ใหญ่ทำล่ะก็ บ้านเราอย่าคิดจะได้ฉลองเทศกาลดี ๆ กันเลย ! ”
บุตรสาวคนโตของตระกูลหลินที่กำลังก่อไฟอยู่ในห้องครัวถึงกับพูดไม่ออก
นางรีบถือท่อนฟืนออกมายืนที่หน้าห้องครัว จากนั้นก็ยกมืออีกข้างเท้าสะเอวแล้วชี้ฟืนไปที่หน้าเจ้าหนูน้อย “เจ้าเด็กไร้มโนธรรม ! เมื่อก่อนข้าก็เป็นคนทำกับข้าวให้คนในบ้านกินไม่ใช่หรือ ? ยังไม่เห็นเจ้ากินแล้วตายนี่ ! ดูท่าทางไม่เอาไหนของเจ้าเถิด รู้จักแต่จับเท้าเหม็นของผู้อื่น2 ! ”
“พี่ใหญ่ ทุกคนล้วนมีข้อดีและข้อเสียเป็นของตน ท่านควรรู้จักตัวเองให้ดีก่อนแล้วค่อยพัฒนาข้อดีมากลบข้อเสีย…ดังนั้นวันหน้าท่านอย่าทำอาหารอีกเลย จะสิ้นเปลืองวัตถุดิบเอาได้ ! ” เจ้าหนูน้อยทำหน้าทะเล้นใส่พี่ใหญ่
ส่วนหลินเว่ยเว่ยก็หัวเราะดังลั่น “จากที่เจ้ากล่าวมาคือต่อไปพี่ใหญ่ไม่ต้องทำสิ่งใดอีก เพราะถ้าทำก็จะเผยจุดอ่อนออกมาให้เห็น…”
“หลิน ! เว่ย ! เว่ย ! เจ้าหัวเราะพอหรือยัง ? ” พี่สาวคนโตลองคิดอยู่นานสองนานแต่ก็ยังหาข้อดีของตนไม่เจอเสียที หรือนางจะไม่มีข้อดีเลยจริง ๆ ?
ไม่ถูก ! จะโดนน้องรองทำให้ไขว้เขวไม่ได้ เพราะนางก็มีส่วนช่วยเหลือครอบครัวเหมือนกัน นอกจากเรียนทอผ้าจากตระกูลหลิวแล้ว ครึ่งวันที่เหลือนางก็เป็นคนซักผ้า กวาดบ้าน เกี่ยวหญ้าให้กระต่าย ช่วยที่บ้านทำผลไม้อบแห้ง เนื้อแผ่น…ไม่มีเวลาว่างแม้แต่น้อย เมื่อก่อนตอนน้องรองยังโง่เขลาอยู่ งานในงานนอกก็มีนางเป็นคนดูแลทั้งหมด !
ทว่า…เมื่อเทียบกับน้องรองในเวลานี้แล้วสิ่งที่นางทำยังเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย…รอให้นางเรียนทอผ้าสำเร็จเมื่อไรก็จะใช้งานทอผ้าสร้างรายได้ให้ครอบครัว แล้วคนในบ้านก็จะไม่ต้องบูชาแต่น้องรองคนเดียว !
1 ถงหย่างสี คือ การหาเด็กผู้หญิงมาเลี้ยง เมื่อโตเป็นสาวก็จะบังคับให้แต่งงานด้วย
2 จับเท้าเหม็นของผู้อื่น หมายถึง การประจบสอพลอ
ตอนต่อไป